บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ | |||||
พระไตรปิฏกเล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๖ [ฉบับมหาจุฬาฯ] มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ หน้าที่ ๓๖๘-๓๖๙.
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ [๔. วิภังควรรค]
๗. สฬายตนวิภังคสูตร
๗. สฬายตนวิภังคสูตร ว่าด้วยการจำแนกอายตนะ ๖ ประการ [๓๐๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของ อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตกรุงสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคได้รับสั่งเรียก ภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับสนองพระดำรัสแล้ว พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงสฬายตนวิภังค์แก่เธอ ทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟังสฬายตนวิภังค์นั้น จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับสนองพระดำรัสแล้ว พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสเรื่องนี้ว่า เธอทั้งหลายพึงทราบอายตนะภายใน ๖ อายตนะภายนอก ๖ หมวด วิญญาณ ๖ หมวดผัสสะ ๖ มโนปวิจาร๑- ๑๘ สัตตบท๒- ๓๖ ในธรรมเหล่านั้น เธอทั้งหลายอาศัยธรรมนี้แล้ว จงละธรรมนี้เสีย และพึงทราบสติปัฏฐาน ๓ ที่ พระอริยะเสพซึ่งเมื่อเสพอยู่ชื่อว่าเป็นศาสดาควรเพื่อสั่งสอนคณะ พระอริยศาสดา นั้นอันเราเรียกว่าเป็นสารถีผู้สามารถฝึกบุรุษที่ควรฝึกได้อย่างยอดเยี่ยมกว่าอาจารย์ ผู้ฝึกทั้งหลาย นี้เป็นอุทเทสแห่งสฬายตนวิภังค์ [๓๐๕] เรากล่าวคำนี้ไว้ว่า พึงทราบอายตนะภายใน ๖ เพราะอาศัยเหตุ อะไรเราจึงกล่าวไว้เช่นนั้น คือ ๑. จักขวายตนะ (อายตนะคือตา) ๒. โสตายตนะ (อายตนะคือหู) ๓. ฆานายตนะ (อายตนะคือจมูก) @เชิงอรรถ : @๑ มโนปวิจาร แปลว่า ความนึกหน่วงทางใจ หมายถึงวิตกและวิจาร (ม.อุ.อ. ๓/๓๐๔/๑๘๙) @๒ สัตตบท แปลว่า ทางดำเนินไปของสัตว์ทั้งหลายที่อาศัยวัฏฏะและวิวัฏฏะ ในที่นี้แบ่งออกเป็น ๒ คือ @(๑) วัฏฏบท ทางดำเนินไปสู่วัฏฏะ ๑๘ ทาง (๒) วิวัฏฏบท ทางดำเนินไปสู่วิวัฏฏะ ๑๘ ทาง รวม @วัฏฏบทกับวิวัฏฏบทเข้าด้วยกัน เรียกว่า สัตตบท ๓๖ ประการ (ม.อุ.อ. ๓/๓๐๔/๑๘๙) {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๑๔ หน้า : ๓๖๘}
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ [๔. วิภังควรรค]
๗. สฬายตนวิภังคสูตร
๔. ชิวหายตนะ (อายตนะคือลิ้น) ๕. กายายตนะ (อายตนะคือกาย) ๖. มนายตนะ (อายตนะคือใจ)๑- คำที่เรากล่าวไว้ว่า พึงทราบอายตนะภายใน ๖ นั่น เพราะอาศัยเหตุนี้ เราจึงกล่าวไว้ (๑) เรากล่าวคำนี้ไว้ว่า พึงทราบอายตนะภายนอก ๖ เพราะอาศัยเหตุอะไร เราจึงกล่าวไว้เช่นนั้น คือ ๑. รูปายตนะ (อายตนะคือรูป) ๒. สัททายตนะ (อายตนะคือเสียง) ๓. คันธายตนะ (อายตนะคือกลิ่น) ๔. รสายตนะ (อายตนะคือรส) ๕. โผฏฐัพพายตนะ (อายตนะคือสัมผัส) ๖. ธัมมายตนะ (อายตนะคือธรรมารมณ์) คำที่เรากล่าวไว้ว่า พึงทราบอายตนะภายนอก ๖ นั่น เพราะอาศัยเหตุนี้ เราจึงกล่าวไว้ (๒) เรากล่าวคำนี้ไว้ว่า พึงทราบหมวดวิญญาณ ๖ เพราะอาศัยเหตุอะไร เรา จึงกล่าวไว้เช่นนั้น คือ ๑. จักขุวิญญาณ (ความรู้แจ้งอารมณ์ทางตา) ๒. โสตวิญญาณ (ความรู้แจ้งอารมณ์ทางหู) ๓. ฆานวิญญาณ (ความรู้แจ้งอารมณ์ทางจมูก) ๔. ชิวหาวิญญาณ (ความรู้แจ้งอารมณ์ทางลิ้น) ๕. กายวิญญาณ (ความรู้แจ้งอารมณ์ทางกาย) ๖. มโนวิญญาณ (ความรู้แจ้งอารมณ์ทางใจ) คำที่เรากล่าวไว้ว่า พึงทราบหมวดวิญญาณ ๖ นั่น เพราะอาศัยเหตุนี้ เราจึงกล่าวไว้ (๓) @เชิงอรรถ : @๑ ดูเทียบ ม.มู. (แปล) ๑๒/๙๙/๙๔ {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๑๔ หน้า : ๓๖๙}
เนื้อความพระไตรปิฎกฉบับ มจร. เล่มที่ ๑๔ หน้าที่ ๓๖๘-๓๖๙. https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/read_page.php?book=14&page=368&pages=2&edition=mcu ศึกษาพระสูตร (เนื้อความ) นี้แยกตามสารบัญ :- https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/m_read.php?B=14&A=10795 https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/m_line.php?B=14&A=10795#p368 สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ 14 :- https://84000.org/tipitaka/read/?index_14 https://84000.org/tipitaka/read/?index_mcu14 https://84000.org/tipitaka/english/?index_14
จบการแสดงผล หน้าที่ ๓๖๘-๓๖๙.
บันทึก ๑๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๙. การแสดงผลนี้อ้างอิงข้อมูลจากพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]