ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ
     ฉบับภาษาไทย   บาลีอักษรไทย   บาลีอักษรโรมัน 
อ่านหัวข้อแรกอ่านหัวข้อที่แล้วแสดงหมายเลขหน้า
ในกรณี :- 
   บรรทัดแรกของแต่ละหน้าอ่านหัวข้อถัดไปอ่านหัวข้อสุดท้าย
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๔ พระอภิธรรมปิฎกเล่มที่ ๑ ธรรมสังคณีปกรณ์
             [๘๗๘] ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?
             กุศลในภูมิ ๔ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.
             ธรรมเป็นอกุศล เป็นไฉน?
             จิตตุปบาทฝ่ายอกุศล ๑๒ ดวง สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอกุศล.
             ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน?
             วิบากในภูมิ ๔ กิริยาอัพยากฤตในภูมิ ๓ รูป และนิพพาน สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า
ธรรมเป็นอัพยากฤต
             [๘๗๙] ธรรมสัมปยุตด้วยสุขเวทนา เป็นไฉน?
             จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยโสมนัสเวทนา ฝ่ายกามาวจรกุศล ๔ ดวง ฝ่ายอกุศล ๔ ดวง
ฝ่ายกามาวจรกุศลวิบาก และฝ่ายกิริยา (อย่างละ) ๕ ดวง ฌาน ๓ (ในจตุกกนัย) และ ๔ (ในปัญ-
*จกนัย) ที่เป็นรูปาวจร ฝ่ายกุศล ฝ่ายวิบาก และฝ่ายกิริยา, ฌาน ๓ และ ๔ ที่เป็นโลกุตตระ
ฝ่ายกุศล และฝ่ายวิบาก เว้นสุขเวทนาที่บังเกิดในจิตตุปบาทเหล่านี้เสีย สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า
ธรรมสัมปยุตด้วยสุขเวทนา.
             ธรรมที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา เป็นไฉน?
             จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยโทมนัสเวทนา ๒ ดวง กายวิญญาณที่สหรคตด้วยทุกขเวทนา
เว้นทุกขเวทนาที่บังเกิดในจิตตุปบาทเหล่านี้เสีย สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมสหรคตด้วยทุกข-
*เวทนา.
             ธรรมสหรคตด้วยอทุกขมสุขเวทนา เป็นไฉน?
             จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยอุเบกขาเวทนา  ฝ่ายกามาวจรกุศล ๔ ดวง ฝ่ายอกุศล ๖ ดวง
ฝ่ายกามาวจรกุศลวิบาก ๑๐ ดวง ฝ่ายอกุศลวิบาก ๖ ดวง ฝ่ายกิริยา ๖ ดวง รูปาวจรจตุตถฌาน
ฝ่ายกุศล ฝ่ายวิบาก และฝ่ายกิริยา อรูป ๔ ฝ่ายกุศล ฝ่ายวิบาก และฝ่ายกิริยา โลกุตตรจตุตถฌาน
ฝ่ายกุศล และฝ่ายวิบาก เว้นอทุกขมสุขเวทนาที่บังเกิดในจิตตุปบาทเหล่านี้เสีย สภาวธรรม
เหล่านี้ชื่อว่า ธรรมสัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา.
             เวทนาทั้ง ๓ รูป และนิพพาน สภาวธรรมเหล่านี้จะกล่าวว่า ธรรมสัมปยุตด้วยสุขเวทนา
ก็ไม่ได้ ว่าธรรมสัมปยุตด้วยทุกขเวทนาก็ไม่ได้ ว่าธรรมสัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนาก็ไม่ได้.
             [๘๘๐] ธรรมเป็นวิบาก เป็นไฉน?
             วิบากในภูมิ ๔ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นวิบาก.
             ธรรมเป็นเหตุแห่งวิบาก เป็นไฉน?
             กุศลในภูมิ ๔ อกุศล สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นเหตุแห่งวิบาก.
             ธรรมไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุแห่งวิบาก เป็นไฉน?
             กิริยาอัพยากฤตในภูมิ ๓ รูป และนิพพาน สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมไม่เป็นวิบาก
และไม่เป็นเหตุแห่งวิบาก.
             [๘๘๑] อุปาทินนุปาทานิยธรรม เป็นไฉน?
             วิบากในภูมิ ๓ และรูปที่กรรมแต่งขึ้น สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า อุปาทินนุปาทานิยธรรม.
             อนุปาทินนุปาทานิยธรรม เป็นไฉน?
             กุศลในภูมิ ๓ อกุศล กิริยาอัพยากฤตในภูมิ ๓ และรูปที่กรรมมิได้แต่งขึ้น สภาวธรรม
เหล่านี้ชื่อว่า อนุปาทินนุปาทานิยธรรม.
             อนุปาทินนานุปาทานิยธรรม เป็นไฉน?
             มรรค ๔ ที่เป็นโลกุตตระ สามัญญผล ๔ และนิพพาน สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า
อนุปาทินนานุปาทานิยธรรม.
             [๘๘๒] ธรรมเศร้าหมองและเป็นอารมณ์ของสังกิเลส เป็นไฉน?
             จิตตุปบาทฝ่ายอกุศล ๑๒ ดวง สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเศร้าหมองและเป็นอารมณ์
ของสังกิเลส.
             ธรรมไม่เศร้าหมองแต่เป็นอารมณ์ของสังกิเลส เป็นไฉน?
             กุศลในภูมิ ๓ วิบากในภูมิ ๓ กิริยาอัพยากฤตในภูมิ ๓ และรูปทั้งหมดสภาวธรรมเหล่านี้
ชื่อว่า ธรรมไม่เศร้าหมองแต่เป็นอารมณ์ของสังกิเลส.
             ธรรมไม่เศร้าหมองและไม่เป็นอารมณ์ของสังกิเลส เป็นไฉน?
             มรรค ๔ ซึ่งเป็นโลกุตตระ สามัญญผล ๔ และนิพพาน สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรม
ไม่เศร้าหมองและไม่เป็นอารมณ์ของสังกิเลส.
             [๘๘๓] ธรรมมีวิตกมีวิจาร เป็นไฉน?
             กามาวจรกุศล อกุศล จิตตุปบาทฝ่ายกามวจรกุศลวิบาก ๑๑ ดวง ฝ่ายอกุศลวิบาก ๒ ดวง
ฝ่ายกิริยา ๑๑ ดวง รูปาวจรปฐมฌาน ฝ่ายกุศล ฝ่ายวิบาก และฝ่ายกิริยา โลกุตตรปฐมฌาน
ฝ่ายกุศล และฝ่ายวิบาก เว้นวิตกและวิจารที่บังเกิดในจิตตุปบาทเหล่านี้เสีย  สภาวธรรมเหล่านี้
ชื่อว่า ธรรมมีวิตกมีวิจาร.
             ธรรมไม่มีวิตกแต่มีวิจาร เป็นไฉน?
             ทุติยฌานในรูปาวจรปัญจกนัย ฝ่ายกุศล ฝ่ายวิบาก และฝ่ายกิริยา ทุติยฌานในโลกุตตร-
*ปัญจกนัย  ฝ่ายกุศล และฝ่ายวิบาก เว้นวิจารที่บังเกิดในจิตตุปบาทเหล่านี้เสีย สภาวธรรมเหล่านี้
ชื่อว่า ธรรมไม่มีวิตกแต่มีวิจาร.
             ธรรมไม่มีวิตกไม่มีวิจาร เป็นไฉน?
             ปัญจวิญญาณทั้ง ๒ ฝ่าย ฌาน ๓ และ ๓ ที่เป็นรูปาวจร ฝ่ายกุศล ฝ่ายวิบาก และฝ่าย
กิริยา อรูป ๔ ฝ่ายกุศล ฝ่ายวิบาก และฝ่ายกิริยา ฌาน ๓ และ ๓ ที่เป็นโลกุตตระ ฝ่ายกุศล
และฝ่ายวิบาก วิจารที่บังเกิดในทุติยฌานในปัญจกนัย รูป และนิพพาน สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า
ธรรมไม่มีวิตกไม่มีวิจาร.
             วิจารที่บังเกิดร่วมกับวิตกจะกล่าวว่า มีวิตกมีวิจารก็ไม่ได้ ว่าไม่มีวิตกแต่มีวิจารก็ไม่ได้
ว่าไม่มีวิตกไม่มีวิจารก็ไม่ได้
             [๘๘๔] ธรรมสหรคตด้วยปีติ เป็นไฉน?
             จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยโสมนัสเวทนา ฝ่ายกามาวจรกุศล ๔ ดวง ฝ่ายอกุศล ๔ ดวง
ฝ่ายกามาวจรกุศลวิบาก ๕ ดวง ฝ่ายกิริยา ๕ ดวง ฌาน ๒ และ ๓ ที่เป็นรูปาวจร ฝ่ายกุศล
ฝ่ายวิบาก และฝ่ายกิริยา ฌาน ๒ และ ๓ ที่เป็นโลกุตตระ  ฝ่ายกุศล และฝ่ายวิบาก เว้นปีติ
ที่บังเกิดในจิตตุปบาทเหล่านี้เสีย สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมสหรคตด้วยปีติ.
             ธรรมสหรคตด้วยสุขเวทนา เป็นไฉน?
             จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยโสมนัสเวทนา ฝ่ายกามาวจรกุศล ๔ ดวง ฝ่ายอกุศล ๔ ดวง
ฝ่ายกามาวจรกุศลวิบาก ๖ ดวง ฝ่ายกิริยา ๕ ดวง ฌาน ๓ และ ๔ ที่เป็นรูปาวจร ฝ่ายกุศล
ฝ่ายวิบาก และฝ่ายกิริยา ฌาน ๓ และ ๔  ที่เป็นโลกุตตระ ฝ่ายกุศล และฝ่ายวิบาก เว้นสุข
เวทนาที่บังเกิดในจิตตุปบาทเหล่านี้เสีย สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมสหรคตด้วยสุขเวทนา.
             ธรรมสหรคตด้วยอุเบกขาเวทนา เป็นไฉน?
             จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยอุเบกขาเวทนา ฝ่ายกามาวจรกุศล ๔ ดวง ฝ่ายอกุศล ๖ ดวง
ฝ่ายกามาวจรกุศลวิบาก ๑๐ ดวง ฝ่ายอกุศลวิบาก ๖ ดวง ฝ่ายกิริยา ๖ ดวง รูปาวจรจตุตถฌาน
ฝ่ายกุศล ฝ่ายวิบาก และฝ่ายกิริยา อรูป ๔ ฝ่ายกุศล ฝ่ายวิบาก และฝ่ายกิริยา โลกุตตรจตุตฌาน
ฝ่ายกุศล และฝ่ายวิบากเว้นอุเบกขาเวทนาที่บังเกิดในจิตตุปบาทเหล่านี้เสีย สภาวธรรมเหล่านี้
ชื่อว่า ธรรมสหรคตด้วยอุเบกขาเวทนา.
             ปีติไม่สหรคตด้วยปีติ แต่สหรคตด้วยสุขเวทนา ไม่สหรคตด้วยอุเบกขาเวทนา.
             สุขเวทนาไม่สหรคตด้วยเวทนา แต่ที่สหรคตด้วยปีติ ไม่สหรคตด้วยอุเบกขาเวทนาก็มี
ที่จะกล่าวไม่ได้ว่า สหรคตด้วยปีติก็มี.
             จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยโทมนัสเวทนา ๒ ดวง กายวิญญาณที่สหรคตด้วยทุกขเวทนา
อุเบกขาเวทนา รูป และนิพพาน สภาวธรรมเหล่านี้ จะกล่าวว่าสหรคตด้วยปีติก็ไม่ได้ ว่าสหรคต
ด้วยสุขเวทนาก็ไม่ได้ ว่าสหรคตด้วยอุเบกขาเวทนาก็ไม่ได้.
             [๘๘๕] ธรรมอันโสดาปัตติมรรคประหาณ เป็นไฉน?
             จิตตุปบาทที่สัมปยุตด้วยทิฏฐิ ๔ ดวง จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาสภาวธรรมเหล่านี้
ชื่อว่า ธรรมอันโสดาปัตติมรรคประหาณ.
             ธรรมอันมรรคเบื้องสูง ๓ ประหาณ เป็นไฉน?
             จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมอันมรรคเบื้องสูง ๓
ประหาณ.
             จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยโลภะวิปปยุตจากทิฏฐิ ๔ ดวง จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยโทมนัส
เวทนา ๒ ดวง สภาวธรรมเหล่านี้ ที่เป็นธรรมอันโสดาปัตติมรรคประหาณก็มี ที่เป็นธรรมอันมรรค
เบื้องสูง ๓ ประหาณก็มี.
             ธรรมอันโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องสูง ๓ ไม่ประหาณ เป็นไฉน?
             กุศลในภูมิ ๔ วิบากในภูมิ ๔ กิริยาอัพยากฤตในภูมิ ๓ รูป และนิพพาน สภาวธรรม
เหล่านี้ชื่อว่า ธรรมอันโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องสูง ๓ ไม่ประหาณ.
             [๘๘๖] ธรรมมีสัมปยุตตเหตุอันโสดาปัตติมรรคประหาณ  เป็นไฉน?
             จิตตุปบาทที่สัมปยุตด้วยทิฏฐิ ๔ ดวง จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาเว้นโมหะที่บังเกิด
ในจิตตุปบาทเหล่านี้เสีย สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมมีสัมปยุตตเหตุอันโสดาปัตติมรรคประหาณ.
             ธรรมมีสัมปยุตตเหตุอันมรรคเบื้องสูง ๓ ประหาณ เป็นไฉน?
             จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ เว้นโมหะที่บังเกิดในจิตตุปบาทเหล่านี้เสีย สภาวธรรม
เหล่านี้ชื่อว่า ธรรมมีสัมปยุตตเหตุอันมรรคเบื้องสูง ๓ ประหาณ.
             จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยโลภะวิปปยุตจากทิฏฐิ ๔ ดวง จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยโทมนัส
เวทนา ๒ ดวง สภาวธรรมเหล่านี้ ที่เป็นธรรมมีสัมปยุตตเหตุอันโสดาปัตติมรรคประหาณก็มี
ที่เป็นธรรมมีสัมปยุตตเหตุอันมรรคเบื้องสูง ๓ ประหาณก็มี.
             ธรรมไม่มีสัมปยุตตเหตุอันโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องสูง ๓ จะประหาณ
เป็นไฉน?
             โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา โมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ กุศลในภูมิ ๔ วิบากในภูมิ ๔
กิริยาอัพยากฤตในภูมิ ๓ รูป และนิพพาน สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมไม่มีสัมปยุตตเหตุอัน
โสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องสูง ๓ จะประหาณ.
             [๘๘๗] ธรรมเป็นเหตุให้จุติปฏิสนธิ เป็นไฉน?
             กุศลในภูมิ ๓ และอกุศล สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นเหตุให้จุติปฏิสนธิ.
             ธรรมเป็นเหตุให้ถึงนิพพาน เป็นไฉน?
             มรรค ๔ ที่เป็นโลกุตตระ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นเหตุให้ถึงนิพพาน.
             ธรรมไม่เป็นเหตุให้จุติปฏิสนธิ และไม่เป็นเหตุให้ถึงนิพพาน เป็นไฉน?
             วิบากในภูมิ ๔ กิริยาอัพยากฤตในภูมิ ๓ รูป และนิพพาน สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า
ธรรมไม่เป็นเหตุให้จุติปฏิสนธิ และไม่เป็นเหตุให้ถึงนิพพาน.
             [๘๘๘] ธรรมเป็นของเสกขบุคคล เป็นไฉน?
             มรรค ๔ ที่เป็นโลกุตระ และสามัญญผล ๓ เบื้องต่ำ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็น
ของเสกขบุคคล.
             ธรรมเป็นของอเสกขบุคคล เป็นไฉน?
             อรหัตผลเบื้องสูง สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นของอเสกขบุคคล.
             ธรรมไม่เป็นของเสกขบุคคล และไม่เป็นของอเสกขบุคคล เป็นไฉน?
             กุศลในภูมิ ๓ อกุศล วิบากในภูมิ ๓ กิริยาอัพยากฤตในภูมิ ๓ รูปและนิพพาน
สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า ธรรมไม่เป็นของเสกขบุคคล และไม่เป็นของอเสกขบุคคล.
             [๘๘๙] ธรรมเป็นปริตตะ เป็นไฉน?
             กามาวจรกุศล อกุศล กามาวจรวิบากทั้งหมด กามาวจรกิริยาอัพยากฤตและรูปทั้งหมด
สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า ธรรมปริตตะ.
             ธรรมเป็นมหัคคตะ เป็นไฉน?
             กุศลธรรมและอัพยากตธรรม ที่เป็นรูปาวจร อรูปาวจร สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า
ธรรมเป็นมหัคคตะ.
             ธรรมเป็นอัปปมาณะ เป็นไฉน?
             มรรค ๔ ที่เป็นโลกุตตระ สามัญญผล ๔ และนิพพาน สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า
ธรรมเป็นอัปปมาณะ.
             [๘๙๐] ธรรมมีอารมณ์เป็นปริตตะ เป็นไฉน?
             กามาวจรวิบากทั้งหมด กิริยามโนธาตุ อเหตุกกิริยา มโนวิญญาณธาตุที่สหรคตด้วย
โสมนัสเวทนา สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า ธรรมมีอารมณ์เป็นปริตตะ.
             ธรรมมีอารมณ์เป็นมหัคคตะ เป็นไฉน?
             วิญญาณัญจายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า ธรรมมีอารมณ์
เป็นมหัคคตะ.
             ธรรมมีอารมณ์เป็นอัปปมาณะ เป็นไฉน?
             มรรค ๔ ที่เป็นโลกุตตระ และสามัญญผล ๔  สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า ธรรมมี
อารมณ์เป็นอัปปมาณะ.
             จิตตุปบาทที่เป็นญาณวิปปยุตฝ่ายกามาวจรกุศล ๔ ดวง จิตตุปบาทที่เป็นญาณวิปปยุต
ฝ่ายกิริยา ๔ ดวง อกุศลจิตทั้งหมด สภาวธรรมเหล่านี้ ที่มีอารมณ์เป็นปริตตะก็มี ที่มีอารมณ์
เป็นมหัคคตะ แต่ไม่มีอารมณ์เป็นอัปปมาณะก็มี ที่จะกล่าวว่ามีอารมณ์เป็นปริตตะก็ไม่ได้ ว่ามี
อารมณ์เป็นมหัคคตะก็ไม่ได้ก็มี.
             จิตตุปบาทที่เป็นญาณสัมปยุตฝ่ายกามาวจรกุศล ๔ ดวง จิตตุปบาทที่เป็นญาณสัมปยุต
ฝ่ายกิริยา ๔ ดวง รูปาวจรจตุตถฌาน ฝ่ายกุศล และฝ่ายกิริยา อเหตุกกิริยามโนวิญญาณธาตุที่
สหรคตด้วยอุเบกขา สภาวธรรมเหล่านี้ ที่มีอารมณ์เป็นปริตตะก็มี ที่มีอารมณ์เป็นมหัคคตะก็มี
ที่มีอารมณ์เป็นอัปปมาณะก็มี ที่จะกล่าวว่า มีอารมณ์เป็นปริตตะก็ไม่ได้ ว่ามีอารมณ์เป็นมหัคคตะ
ก็ไม่ได้ ว่ามีอารมณ์เป็นอัปปมาณะก็ไม่ได้ก็มี.
             ฌาน ๓ และ ๔ ที่เป็นรูปาวจร ฝ่ายกุศล ฝ่ายวิบาก และฝ่ายกิริยา จตุตถฌานวิบาก
อากาสานัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ สภาวธรรมเหล่านี้ จะกล่าวว่า มีอารมณ์เป็นปริตตะก็
ไม่ได้ ว่ามีอารมณ์เป็นมหัคคตะก็ไม่ได้ ว่ามีอารมณ์เป็นอัปปมาณะก็ไม่ได้.
             รูปและนิพพาน จัดเป็นอนารัมมณะ.
             [๘๙๑] ธรรมทราม เป็นไฉน?
             จิตตุปบาทที่เป็นอกุศล ๑๒ ดวง สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า ธรรมทราม.
             ธรรมปานกลาง เป็นไฉน?
             กุศลในภูมิ ๓ วิบากในภูมิ ๓ กิริยาอัพยากฤตในภูมิ ๓ และรูปทั้งหมด สภาวธรรม
เหล่านี้ ชื่อว่า ธรรมปานกลาง.
             ธรรมประณีต เป็นไฉน?
             มรรค ๔ ที่เป็นโลกุตตระ สามัญญผล ๔ และนิพพาน สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า
ธรรมประณีต.
             [๘๙๒] ธรรมเป็นมิจฉาสภาวะและให้ผลแน่นอน เป็นไฉน?
             จิตตุปบาทที่สัมปยุตด้วยทิฏฐิ ๔ ดวง จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยโทมนัสเวทนา ๒ ดวง
สภาวธรรมเหล่านี้ ที่เป็นมิจฉาสภาวะ และให้ผลแน่นอนก็มี ที่ให้ผลไม่แน่นอนก็มี.
             ธรรมเป็นสัมมาสภาวะและให้ผลแน่นอน เป็นไฉน?
             มรรค ๔ ที่เป็นโลกุตตระ สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า ธรรมเป็นสัมมาสภาวะ และให้
ผลแน่นอน.
             ธรรมให้ผลไม่แน่นอน เป็นไฉน?
             จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยโลภะวิปปยุตจากทิฏฐิ ๔ ดวง  จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา
จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ กุศลในภูมิ ๓ วิบากในภูมิ ๔ กิริยาอัพยากฤตในภูมิ ๓ รูป
และนิพพาน สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า ธรรมให้ผลไม่แน่นอน.
             [๘๙๓] ธรรมมีมรรคเป็นอารมณ์ เป็นไฉน?
             จิตตุปบาทที่เป็นญาณสัมปยุตฝ่ายกามาวจรกุศล ๔ ดวง จิตตุปบาทที่เป็นญาณสัมปยุต
ฝ่ายกิริยา ๔ ดวง สภาวธรรมเหล่านี้ ที่มีมรรคเป็นอารมณ์ แต่ไม่มีเหตุคือมรรคก็มี ที่มีมรรค
เป็นอธิบดี แต่จะกล่าวว่า มีมรรคเป็นอารมณ์ก็ไม่ได้ ว่ามีมรรคเป็นอธิบดีก็ไม่ได้ก็มี.
             อริยมรรค ๔ ไม่มีมรรคเป็นอารมณ์ แต่มีเหตุคือมรรค ที่มีมรรคเป็นอธิบดีก็มี ที่จะ
กล่าวไม่ได้ว่า มีมรรคเป็นอธิบดีก็มี.
             รูปาวจรจตุตถฌาน ฝ่ายกุศล และฝ่ายกิริยา อเหตุกกิริยามโนวิญญาณธาตุที่สหรคต
ด้วยอุเบกขา สภาวธรรมเหล่านี้ ที่มีมรรคเป็นอารมณ์ แต่ไม่มีเหตุคือมรรค ไม่มีมรรคเป็นอธิบดี
ก็มี ที่จะกล่าวไม่ได้ว่า มีมรรคเป็นอารมณ์ก็มี.
             จิตตุปบาทที่เป็นญาณวิปปยุตฝ่ายกามาวจรกุศล ๔ ดวง อกุศลทั้งหมด กามาวจรวิบาก
ทั้งหมด จิตตุปบาทฝ่ายกิริยา ๖ ดวง ฌาน ๓ และ ๔ ที่เป็นรูปาวจรฝ่ายกุศล ฝ่ายวิบาก และ
ฝ่ายกิริยา จตุตถฌานวิบาก อรูป ๔ ฝ่ายกุศล ฝ่ายวิบาก และฝ่ายกิริยา สามัญญผล ๔
สภาวธรรมเหล่านี้ จะกล่าวว่า มีมรรคเป็นอารมณ์ก็ไม่ได้ ว่ามีเหตุคือมรรคก็ไม่ได้ ว่ามีมรรค
เป็นอธิบดีก็ไม่ได้.
             รูปทั้งหมด และนิพพาน จัดเป็นอนารัมมณะ.
             [๘๙๔] ธรรมเกิดขึ้นแล้ว เป็นไฉน?
             วิบากในภูมิ ๔ และรูปที่กรรมแต่งขึ้น สภาวธรรมเหล่านี้ ที่เป็นธรรมเกิดขึ้นแล้วก็มี
ที่เป็นธรรมจักเกิดขึ้นก็มี แต่จะกล่าวไม่ได้ว่า เป็นธรรมยังไม่เกิดขึ้น.
             กุศลในภูมิ ๔ อกุศล กิริยาอัพยากฤตในภูมิ ๓ และรูปที่กรรมมิได้แต่งขึ้น สภาวธรรม
เหล่านี้ ที่เป็นธรรมเกิดขึ้นแล้วก็มี ที่เป็นธรรมยังไม่เกิดขึ้น แต่จะกล่าวไม่ได้ว่า เป็นธรรม
จักเกิดขึ้นก็มี.
             นิพพาน จะกล่าวว่า เป็นธรรมเกิดขึ้นแล้วก็ไม่ได้ ว่าเป็นธรรมยังไม่เกิดขึ้นก็ไม่ได้
ว่าเป็นธรรมจักเกิดขึ้นก็ไม่ได้.
             [๘๙๕] ธรรมทั้งปวง เว้นนิพพานเสีย ที่เป็นอดีตก็มี ที่เป็นอนาคตก็มี ที่เป็นปัจจุบัน
ก็มี.
             นิพพาน จะกล่าวว่าเป็นอดีตก็ไม่ได้ ว่าเป็นอนาคตก็ไม่ได้ ว่าเป็นปัจจุบันก็ไม่ได้.
             [๘๙๖] ธรรมมีอารมณ์เป็นอดีต เป็นไฉน?
             วิญญาณัญจายตนะ  เนวสัญญานาสัญญายตนะ สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า ธรรมมี
อารมณ์เป็นอดีต.
             ธรรมที่จัดว่ามีอารมณ์เป็นอนาคตโดยเฉพาะ ไม่มี.
             ธรรมมีอารมณ์เป็นปัจจุบัน เป็นไฉน?
             ปัญจวิญญาณทั้ง ๒ ฝ่าย มโนธาตุ ๓ สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า ธรรมมีอารมณ์เป็น
ปัจจุบัน.
             จิตตุปบาทฝ่ายกามาวจรกุศลวิบาก ๑๐ ดวง มโนวิญญาณธาตุที่สหรคตด้วยอุเบกขา ฝ่าย
อกุศลวิบาก อเหตุกกิริยามโนวิญญาณธาตุ ที่สหรคตด้วยโสมนัส สภาวธรรมเหล่านี้ ที่มีอารมณ์
เป็นอดีตก็มี ที่มีอารมณ์เป็นอนาคตก็มี ที่มีอารมณ์เป็นปัจจุบันก็มี.
             กามาวจรกุศล อกุศล จิตตุปบาทฝ่ายกิริยา ๙ ดวง รูปาวจรจตุตถฌาน ฝ่ายกุศล และ
ฝ่ายกิริยา สภาวธรรมเหล่านี้ ที่มีอารมณ์เป็นอดีตก็มี ที่มีอารมณ์เป็นอนาคตก็มี ที่มีอารมณ์เป็น
ปัจจุบันก็มี ที่จะกล่าวว่า มีอารมณ์เป็นอดีตก็ไม่ได้ว่ามีอารมณ์เป็นอนาคตก็ไม่ได้ ว่ามีอารมณ์
เป็นปัจจุบันก็ไม่ได้ก็มี.
             ฌาน ๓ และ ๔ ที่เป็นรูปาวจร ฝ่ายกุศล ฝ่ายวิบาก ฝ่ายกิริยา จตุตถฌานวิบาก
อากาสานัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ มรรค ๔ ที่เป็นโลกุตตระ และสามัญผล ๔ สภาวธรรม
เหล่านี้ จะกล่าวว่า มีอารมณ์เป็นอดีตก็ไม่ได้ ว่ามีอารมณ์เป็นอนาคตก็ไม่ได้ ว่ามีอารมณ์เป็น
ปัจจุบันก็ไม่ได้.
             รูป และนิพพาน จัดเป็นอนารัมมณะ.
             [๘๙๗] ธรรมทั้งปวง เว้นรูปที่ไม่เนื่องด้วยอินทรีย์ และนิพพาน ที่เป็นภายในก็มี
ที่เป็นภายนอกก็มี ที่เป็นทั้งภายในและภายนอกก็มี.
             รูปที่ไม่เนื่องด้วยอินทรีย์ และนิพพาน จัดเป็นภายนอก.
             [๘๙๘] ธรรมมีอารมณ์เป็นภายใน เป็นไฉน?
             วิญญาณัญจายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า ธรรมมีอารมณ์
เป็นภายใน.
             ธรรมมีอารมณ์เป็นภายนอก เป็นไฉน?
             ฌาน ๓ และ ๔ ที่เป็นรูปาวจร ฝ่ายกุศล ฝ่ายวิบาก ฝ่ายกิริยา จตุตถฌานวิบาก
อากาสานัญจายตนะ มรรค ๔ ที่เป็นโลกุตตระ และสามัญผล ๔ สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า
ธรรมมีอารมณ์เป็นภายนอก.
             กุศลธรรม อกุศลธรรม อัพยากตธรรม ที่เป็นกามาวจรทั้งหมด เว้นรูปเสีย,
รูปาวจรจตุตถฌาน ฝ่ายกุศล และฝ่ายกิริยา สภาวธรรมเหล่านี้ ที่มีอารมณ์เป็นภายในก็มี ที่มี
อารมณ์เป็นภายนอกก็มี ที่มีอารมณ์เป็นทั้งภายในและภายนอกก็มี.
             อากิญจัญญายตนะ จะกล่าวว่า มีอารมณ์เป็นภายในก็ไม่ได้ ว่ามีอารมณ์เป็นภายนอก
ก็ไม่ได้ ว่ามีอารมณ์เป็นทั้งภายในและภายนอกก็ไม่ได้.
             รูป และนิพพาน จัดเป็นอนารัมมณะ.
             [๘๙๙] ธรรมที่เห็นได้และกระทบได้ เป็นไฉน?
             รูปายตนะ สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า ธรรมที่เห็นได้และกระทบได้.
             ธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ เป็นไฉน?
             จักขายตนะ ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะ สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า ธรรมที่เห็นไม่ได้แต่
กระทบได้.
             ธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้ เป็นไฉน?
             กุศลในภูมิ ๔ อกุศล วิบากในภูมิ ๔ กิริยาอัพยากฤตในภูมิ ๓ รูปที่เห็นไม่ได้และ
กระทบไม่ได้ แต่นับเนื่องในธัมมายตนะ และนิพพาน สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า ธรรมที่เห็น
ไม่ได้และกระทบไม่ได้.
ติกะ จบ
-----------------------------------------------------
เหตุโคจฉกะ

             เนื้อความพระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๔ บรรทัดที่ ๗๕๘๕-๗๘๓๔ หน้าที่ ๓๐๒-๓๑๑. https://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=34&A=7585&Z=7834&pagebreak=0 https://84000.org/tipitaka/read/byitem.php?book=34&item=878&items=22&mode=bracket              อ่านโดยใช้เนื้อความเป็น เกณฑ์แบ่งข้อ :- https://84000.org/tipitaka/read/byitem.php?book=34&item=878&items=22              อ่านเทียบพระไตรปิฎกภาษาบาลีอักษรไทย :- https://84000.org/tipitaka/pali/pali_item.php?book=34&item=878&items=22&mode=bracket              อ่านเทียบพระไตรปิฎกภาษาบาลีอักษรโรมัน :- https://84000.org/tipitaka/read/roman_item.php?book=34&item=878&items=22&mode=bracket              ศึกษาอรรถกถานี้ที่ :- https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=34&i=878              สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๔ https://84000.org/tipitaka/read/?index_34 https://84000.org/tipitaka/english/?index_34

อ่านหัวข้อแรกอ่านหัวข้อที่แล้วแสดงหมายเลขหน้า
ในกรณี :- 
   บรรทัดแรกของแต่ละหน้าอ่านหัวข้อถัดไปอ่านหัวข้อสุดท้าย

บันทึก ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๖. บันทึกล่าสุด ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๙. การแสดงผลนี้อ้างอิงข้อมูลจากพระไตรปิฎก ฉบับหลวง. หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]