ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 34 / 1อ่านอรรถกถา 34 / 836อรรถกถา เล่มที่ 34 ข้อ 878อ่านอรรถกถา 34 / 900อ่านอรรถกถา 34 / 970
อรรถกถา ธรรมสังคณีปกรณ์
อัตถุทธารกัณท์ ติกะ

               อัฏฐกถากัณฑวรรณนา               
               อธิบายเนื้อความหมวดติกะ               
____________________________
๑- บาลีเป็น อัตถุทธารกัณฑ์.

               บัดนี้ ถึงลำดับการพรรณนาอัฏฐกถากัณฑ์ที่ท่านตั้งไว้ในลำดับแห่งนิกเขปกัณฑ์.
               ถามว่า ก็กัณฑ์นี้ ชื่อว่าอัฏฐกถากัณฑ์ เพราะเหตุไร?
               ตอบว่า เพราะยกเนื้อความพระพุทธพจน์คือพระไตรปิฎกขึ้นขยายความ.
               จริงอยู่ ความแตกต่างกันแห่งธรรมที่มาในปิฎกทั้ง ๓ ท่านได้กำหนดแยกแยะใคร่ครวญไว้ด้วยอัฏฐกถากัณฑ์นั่นแหละ ย่อมชื่อว่าเป็นคำอันท่านวินิจฉัยดีแล้ว. แม้จะกำหนดทางแห่งนัยในพระอภิธรรมปิฎกทั้งสิ้น ตลอดถึงการขยายความปัญหา การเป็นไปแห่งการนับในมหาปกรณ์ ไม่ได้ ก็ควรนำมาเปรียบเนื้อความดูจากอัฏฐกถากัณฑ์ได้.
               ถามว่า ก็อัฏฐกถากัณฑ์นี้ เกิดแต่ใคร?
               ตอบว่า เกิดแต่พระสารีบุตรเถระ.
               จริงอยู่ พระสารีบุตรเถระได้กล่าวอัฏฐกถากัณฑ์ให้สัทธิวิหาริกของท่านรูปหนึ่ง ซึ่งไม่อาจกำหนดขยายเนื้อความในนิกเขปกัณฑ์ได้ แต่อัฏฐกถากัณฑ์นี้ ท่านกล่าวคัดค้านไว้ในมหาอรรถกถาว่า ธรรมดาพระอภิธรรมไม่ใช่เป็นวิสัยของพระสาวก ไม่ใช่เป็นโคจรของพระสาวก พระอภิธรรมนี้เป็นพุทธวิสัย เป็นโคจรของพระพุทธเจ้า แต่พระธรรมเสนาบดีถูกสัทธิวิหาริกถามแล้ว จึงพาสัทธิวิหาริกนั้นไปสำนักพระศาสดา แล้วทูลถามต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสอัฏฐกถากัณฑ์ประทานแก่ภิกษุนั้น.
               ได้ตรัสประทานอย่างไร?
               คือ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า กตเม ธมฺมา กุสลา (ธรรมเป็นกุศลเป็นไฉน).
               อธิบายว่า เธอกำหนดว่า ธรรมดากุศลธรรมทั้งหลาย เป็นไฉน ดังนี้.
               ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงธรรมมีกุศลเป็นต้นด้วยอำนาจการขยายความกระทำให้เป็นช่อๆ เป็นพวงๆ เป็นกลุ่มๆ ประทานแก่ภิกษุผู้ดุษณีภาพนั้นโดยนัยนี้ว่า กุศลอันต่างโดยภูมิ ด้วยนัยมีอาทิว่า ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน? กามาวจรกุศลจิตเกิดขึ้นในสมัยใด ดังนี้ เราแสดงแล้วมิใช่หรือ กุศลจิตนั้นแม้ทั้งหมดในภูมิ ๔ สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล ดังนี้.
               ในคำพุทธพจน์เหล่านั้น บทว่า จตูสุ (ในภูมิ ๔) ได้แก่ กามาวจรภูมิ รูปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิและโลกุตรภูมิ.
               บทว่า กุสลํ (กุศล) ได้แก่ กุศลอันต่างด้วยกุศลมีผัสสะเป็นต้น.
               บทว่า อิเม ธมฺมา กุสลา (สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่าธรรมเป็นกุศล) ได้แก่ ธรรมเหล่านี้แม้ทั้งหมดมีผัสสะเป็นต้นที่ตรัสไว้ในภูมิ ๔ เหล่านั้น ชื่อว่าธรรมเป็นกุศล.
               ก็เพราะอกุศลธรรมทั้งหลายไม่มีความแตกต่างกันด้วยอำนาจภูมิ จึงตรัสว่า ทฺวาทส อกุสลจิตฺตุปฺปาทา (จิตตุปบาทฝ่ายอกุศล ๑๒ ดวง) ดังนี้.
               พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า อกุศลจิตตุปบาท นั้นต่อไป.
               ที่ชื่อว่า อุปปาโท (อุปบาทะ) เพราะอรรถว่าเกิดขึ้น. อุปปาทะคือจิตนั่นเอง ชื่อว่าจิตตุปปาทะ ก็คำว่า จิตตุปปาทะนี้เป็นประธานของเทศนา เหมือนอย่างที่เขากล่าวว่า พระราชาเสด็จมาแล้ว ดังนี้ ย่อมเป็นอันกล่าวถึงการมาแม้ของอำมาตย์เป็นต้น ฉันใด เมื่อพระองค์ตรัสว่า จิตตุปบาท ดังนี้ แม้สัมปยุตตธรรมทั้งหลายก็เป็นอันตรัสแล้วด้วยจิตตุปบาทเหล่านั้นฉันนั้นเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ด้วยศัพท์ว่าจิตตุปบาทในที่ทั้งหมด พึงทราบว่าทรงถือเอาจิตพร้อมทั้งสัมยุตธรรม ดังนี้.
               ก็จำเดิมแต่นี้ไป เนื้อความแห่งบทที่พึงจำแนกด้วยบทติกะและทุกะแม้ทั้งหมด มีอาทิว่า จตูสุ ภูมีสุ วิปาโก (วิบากในภูมิ ๔) และนวัตตัพพธรรม (คือธรรมที่ไม่พึงกล่าว) แห่งเวทนามีสุขเป็นต้นในเวทนาติกะเป็นต้น บัณฑิตใคร่ครวญพระบาลีและอรรถกถาในหนหลังแล้ว ก็พึงทราบได้โดยนัยที่กล่าวแล้วนั่นแหละ ข้าพเจ้าจักกล่าวแต่เนื้อความที่ต่างกันเท่านั้น.

               ว่าด้วยปริตตารัมมณติกะ               
               บรรดาติกะเหล่านั้น พึงทราบปริตตารัมมณติกะ (บาลีข้อ ๘๙๐) ก่อน.
               ในข้อว่า สพฺโพ กามาวจรสฺส วิปาโก (กามาวจรวิบากทั้งหมด) นี้ได้แก่ ทวิปัญจวิญญาณ (วิญญาณ ๑๐) ชื่อว่าธรรมมีอารมณ์เป็นปริตตะ (กามอารมณ์) เพราะอรรถาว่าอาศัยจักขุประสาทเป็นต้นแล้วเริ่มเป็นไปในธรรมคือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันต่างโดยเป็นอิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์เป็นต้น โดยแน่นอนทีเดียว. และมโนธาตุ ๒ คือ กุศลวิบากและอกุศลวิบาก ก็ชื่อว่าธรรมมีอารมณ์เป็นปริตตะ เพราะอรรถว่าอาศัยหทยวัตถุปรารภอารมณ์ทั้งหลายมีรูปเป็นต้นนั่นแหละเป็นไปในลำดับแห่งจักขุวิญญาณเป็นต้นโดยแน่นอน.
               อเหตุกมโนวิญญาณธาตุที่เป็นกุศลวิบาก สหรคด้วยโสมนัส ก็ชื่อว่าธรรมมีอารมณ์เป็นปริตตะ เพราะอรรถว่าปรารภอารมณ์กามาวจร ๖ มีรูปารมณ์เป็นต้น เป็นไปโดยแน่นอนคือด้วยอำนาจเป็นสันติรณะในทวาร ๕ ด้วยอำนาจเป็นตทารัมมณะในทวาร ๖.
               อเหตุกมโนวิญญาณธาตุที่เป็นกุศลวิบากและอกุศลวิบากทั้ง ๒ ก็ชื่อว่าธรรมมีอารมณ์เป็นปริตตะ เพราะอรรถว่าปรารภกามาวจรอารมณ์ ๖ มีรูปเป็นต้นนั่นแหละโดยแน่นอน เป็นไปด้วยอำนาจสันติรณะในปัญจทวาร ด้วยอำนาจตทารัมมณะในทวาร ๖ แม้เมื่อเป็นไปด้วยอำนาจปฏิสนธิก็ย่อมกระทำปริตกรรม หรือกรรมนิมิต หรือคตินิมิตให้เป็นอารมณ์ เมื่อเป็นไปด้วยอำนาจจุติในกาลเป็นที่สุดด้วยอำนาจภวังค์ในปวัตติ ก็กระทำปริตตอารมณ์นั้นนั่นแหละให้เป็นอารมณ์.
               อนึ่ง สเหตุกกุศลวิบากจิตตุปบาท ๘ ชื่อว่าธรรมมีอารมณ์เป็นปริตตะ เพราะปรารภปริตธรรมนั่นเองให้เป็นไปด้วยอำนาจตทารัมมณะ และด้วยอำนาจปฏิสนธิ ภวังค์และจุติ โดยนัยที่กล่าวในอเหตุกมโนวิญญาณธาตุที่เป็นกุศลวิบากและอกุศลวิบาก ๒ ดวงนั้นนั่นแหละ.
               กิริยามโนธาตุ (๑) ชื่อว่าธรรมมีอารมณ์เป็นปริตตะ เพราะปรารภอารมณ์มีรูปเป็นต้นเป็นไปในทวาร ๕. อเหตุกกิริยามโนวิญญาณธาตุที่สหรคตด้วยโสมนัส (๑) ชื่อว่าธรรมมีอารมณ์เป็นปริตตะ เพราะปรารภธรรมมีรูปเป็นต้นที่เป็นกามาพจรนั่นแหละที่เป็นปัจจุบันในทวาร ๖ แม้ที่เป็นอดีตและอนาคต และกระทำอาการร่าเริงให้เป็นไปแก่พระขีณาสพทั้งในมโนทวาร.
               จิตตุปบาท ๒๕ เหล่านี้ด้วยอาการอย่างนี้ พึงทราบว่ามีอารมณ์เป็นปริตตะ (กามอารมณ์) ส่วนเดียวเท่านั้น.

               ว่าด้วยธรรมมีอารมณ์เป็นมหัคคตะเป็นต้น               
               ธรรมคือวิญญาณัญจายตนะและเนวสัญญานาสัญญายตนะ ชื่อว่ามีอารมณ์เป็นมหัคคตะ เพราะปรารภสมาบัติเบื้องต่ำของตนๆ เป็นไป. ธรรมคือมรรคและผล ชื่อว่ามีอารมณ์เป็นอัปปมาณะ.
               จิตตุปบาทที่เป็นญาณวิปปยุต ๘ คือ ที่เป็นกุศล ๔ เป็นกิริยา ๔ ชื่อว่าธรรมมีอารมณ์เป็นปริตตะ ในเวลาที่เสกขบุคคล ปุถุชนและพระขีณาสพปรารภกามาวจรธรรมในเวลาให้ทาน การพิจารณา การฟังธรรมโดยไม่เคารพเป็นต้นเป็นไป ชื่อว่ามีอารมณ์เป็นมหัคคตะ ในเวลาที่พิจารณาธรรมมีปฐมฌานเป็นต้นที่คล่องแคล่วยิ่ง ชื่อว่าเป็นนวัตตัพพารัมมณะ ในการพิจารณาปัญญัติมีกสิณและนิมิตเป็นต้น. จิตตุปบาทที่เป็นทิฏฐิคตสัมปยุตตจิต ๔ ดวงฝ่ายอกุศล ชื่อว่ามีอารมณ์เป็นปริตตะ ในเวลาที่ยินดีเพลิดเพลินด้วยความเห็นกามาวจรธรรม ๕๕ ดวงว่าเป็นสัตว์มีอัตตา ชื่อว่ามีอารมณ์เป็นมหัคคตะ ในเวลาปรารภมหัคคตธรรม ๒๗ ดวง เป็นไปโดยอาการเห็นผิดนั้นนั่นแหละ ชื่อว่ามีอารมณ์เป็นนวัตตัพพะ ในเวลาที่ที่ปรารภบัญญัติธรรมเป็นไป. จิตตุปบาทที่เป็นทิฏฐิวิปปยุต พึงทราบว่ามีอารมณ์เป็นปริตตะ มหัคคตะและนวัตตัพพะ ในเวลาปรารภธรรมเหล่านั้นนั่นแหละเป็นไปด้วยอำนาจความยินดีเพลิดเพลินอย่างเดียว. และจิตตุปบาทที่เป็นปฏิฆสัมปยุต พึงทราบว่า มีอารมณ์เป็นปริตตะ มหัคคตะและนวัตตัพพะ ในเวลาเป็นไปด้วยอำนาจโทมนัส. จิตตุปบาทที่สัมปยุตด้วยวิจิกิจฉา พึงทราบว่า มีอารมณ์เป็นปริตตะ มหัคคตะและนวัตตัพพะ เป็นไปด้วยอำนาจความไม่ตกลงใจ. จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ก็พึงทราบว่า มีอารมณ์เป็นปริตตะ มหัคคตะและนวัตตัพพะ เป็นไปด้วยอำนาจความฟุ้งซ่าน คือด้วยอำนาจแห่งความไม่สงบ.
               ก็บรรดาธรรมเหล่านั้น แม้ธรรมอย่างหนึ่ง ย่อมไม่อาจปรารภอัปปมาณธรรมให้เป็นไป เพราะฉะนั้น ธรรมเหล่านั้นจึงชื่อว่า น อปฺปมาณารมฺมณา (มีอารมณ์เป็นอัปปมาณะไม่ได้).
               จิตตุปบาทสัมปยุตด้วยญาณ ๘ คือ ฝ่ายกุศล ๔ ฝ่ายกิริยา ๔ มีอารมณ์เป็นปริตตะ มหัคตะ นวัตตัพพะ ในเวลาพระเสกขบุคคล ปุถุชนและพระขีณาสพปรารภธรรมมีประการตามที่กล่าวแล้วเป็นไปในการให้ทาน การพิจารณาและการฟังธรรมโดยเคารพเป็นต้น. จิตตุปบาทสัมปยุตด้วยญาณะ ๘ เหล่านั้น พึงทราบว่า เป็นธรรมมีอารมณ์เป็นอัปปมาณะในกาลแห่งโคตรภู และในกาลพิจารณาโลกุตรธรรม.

               ว่าด้วยจตุตถฌาน ๑๒ อย่าง               
               อนึ่ง รูปาวจรจตุตถฌานนี้ใด รูปาวจรจตุตถฌานนั้นฝ่ายกุศลก็ดี ฝ่ายกิริยาก็ดี มีอย่างละ ๑๒ อย่าง คือ
               จตุตฌานอันเป็นบาทในธรรมทั้งปวง ๑
               จตุตถฌานที่เป็นไปในอากาสกสิณ ๑
               จตุตถฌานที่เป็นไปในอาโลกกสิณ ๑
               จตุตถฌานที่เป็นไปในพรหมวิหาร ๑
               จตุตถฌานที่เป็นไปในอานาปานะ ๑
               จตุตถฌานที่เป็นไปในอิทธิวิธะ ๑
               จตุตถฌานที่เป็นไปในทิพโสต ๑
               จตุตถฌานที่เป็นไปในเจโตปริยญาณ ๑
               จตุตถฌานที่เป็นไปในยถากัมมูปคญาณ ๑
               จตุตถฌานที่เป็นไปในทิพยจักขุญาณ ๑
               จตุตถฌานที่เป็นไปในบุพเพนิวาสญาณ ๑
               จตุตถฌานที่เป็นไปในอนาคตังสญาณ ๑.
               บรรดาจตุตฌานเหล่านั้น จตุตถฌานในกสิณ ๘ ชื่อว่าจตุตถฌาน เป็นบาทในธรรมทั้งปวง.
               จริงอยู่ จตุตถฌานในกสิณ ๘ นั้นเป็นบาทแห่งวิปัสสนาบ้าง เป็นบาทแห่งอภิญญาทั้งหลายบ้าง เป็นบาทแห่งนิโรธบ้าง เป็นบาทแห่งวัฏฏะบ้าง เพราะเหตุนั้นนั่นแหละ จึงตรัสว่า จตุตถฌานเป็นบาทในธรรมทั้งปวง. ส่วนจตุตถฌานที่เป็นไปในอากาสกสิณและอาโลกกสิณ เป็นบาทแห่งวิปัสสนาบ้าง เป็นบาทแห่งอภิญญาทั้งหลายบ้าง เป็นบาทแห่งวัฏฏะบ้าง แต่ไม่เป็นบาทแห่งนิโรธเท่านั้น. จตุตถฌานที่เป็นไปในพรหมวิหารและอานาปานสมาธิ เป็นบาทแห่งวิปัสสนา และเป็นบาทแห่งวัฏฏะเท่านั้น แต่ไม่เป็นบาทแห่งอภิญญาทั้งหลายและไม่เป็นบาทแห่งนิโรธ.
               บรรดาจตุตถฌานเหล่านั้น ฌานที่มีกสิณเป็นอารมณ์แม้ทั้ง ๑๐ (กสิน ๑๐) ชื่อว่านวัตตัพพารัมมณะ คือมีอารมณ์ที่พึงกล่าวไม่ได้ ด้วยอำนาจแห่งปริตตารมณ์เป็นต้น เพราะปรารภกสิณบัญญัติเป็นไป จตุตถฌานที่เป็นไปในพรหมวิหาร ก็ชื่อว่านวัตตัพพารัมมณะ คือมีอารมณ์ที่กล่าวไม่ได้ ด้วยอำนาจแห่งปริตตารมณ์เป็นต้น เพราะปรารภสัตวบัญญัติเป็นไป. จตุตถฌานที่เป็นไปในอานาปานสมาธิ ก็ชื่อว่านวัตตัพพารัมมณะ คือมีอารมณ์ที่กล่าวไม่ได้ด้วยอำนาจแห่งปริตตารมณ์เป็นต้น เพราะปรารภนิมิตเป็นไป.
               จตุตถฌานที่เป็นไปในอิทธิวิธะ ย่อมมีอารมณ์เป็นปริตตะและมหัคคตะ อย่างไร?
               คือว่า ในกาลใด พระโยคาวจรมีความประสงค์ทำกายให้อาศัยจิตแล้วไป (เหาะไป) ด้วยกายที่มองไม่เห็นก็ยังกายให้เปลี่ยนไปด้วยอำนาจแห่งจิต ย่อมตั้งไว้ ย่อมยกกายขึ้นในมหัคคตะ ในกาลนั้น อิทธิวิธะนั้นก็มีอารมณ์เป็นปริตตะ เพราะมีรูปกายเป็นอารมณ์ เพราะทำอรรถาธิบายว่า มีอารมณ์ที่ได้แล้วด้วยการประกอบ. ในกาลใด พระโยคาวจรทำจิตให้อาศัยกายมีความประสงค์จะไปด้วยกายที่มองเห็น ก็ยังจิตให้เปลี่ยนไปตามอำนาจแห่งกาย ย่อมตั้งจิตที่มีฌานเป็นบาทไว้ คือย่อมยกขึ้นตั้งไว้ในรูปกาย ในกาลนั้น อิทธิวิธะนั้นก็มีอารมณ์เป็นมหัคคตะ เพราะมีมหัคคตจิตเป็นอารมณ์ เพราะทำอรรถาธิบายว่า มีอารมณ์ที่ได้ด้วยการประกอบ. จตุตถฌานที่เป็นไปด้วยทิพโสต มีอารมณ์เป็นปริตตะอย่างเดียว เพราะปรารภเสียงเป็นไป.
               จตุตถฌานที่เป็นไปด้วยเจโตปริยญาณ มีอารมณ์เป็นปริตตะเป็นมหัคคตะและอัปปมาณะ. อย่างไร?
               คือว่า ในเวลาที่รู้จิตอันเป็นกามาพจรของชนเหล่าอื่น เจโตปริยญาณนั้นก็มีอารมณ์เป็นปริตตะ ในเวลาที่รู้รูปาวจรจิตและอรูปาวจรจิตของชนอื่น ก็มีอารมณ์เป็นมหัคคตะ ในเวลาที่รู้มรรคและผลของชนอื่น ก็มีอารมณ์เป็นอัปปมาณะ ในอธิการนี้ ปุถุชนย่อมไม่รู้จิตของพระโสดาบัน พระโสดาบันย่อมไม่รู้จิตของพระสกทาคามี ด้วยอาการอย่างนี้ พึงทราบจนถึงพระอรหันต์ แต่พระอรหันต์ย่อมรู้จิตของบุคคลทั้งหมด ก็อริยบุคคลอื่นอีกที่สูง ย่อมรู้จิตของบุคคลผู้ต่ำ พึงทราบความต่างกันดังกล่าวมานี้.
               จตุตถฌานที่เป็นไปในยถากัมมุปคญาณ ย่อมมีอารมณ์เป็นปริตตะ ในเวลาที่รู้กรรมที่เป็นกามาพจร มีอารมณ์เป็นมหัคคตะ ในเวลาที่รู้กรรมที่เป็นรูปาวจรและอรูปาวจร.
               จตุตถฌานที่เป็นไปในทิพยจักษุ มีอารมณ์เป็นปริตตะอย่างเดียวเพราะมีรูปเป็นอารมณ์.
               จตุตถฌานที่เป็นไปในบุพเพนิวาสญาณ มีอารมณ์ที่เป็นปริตตะ มหัคคตะ อัปปมาณะและนวัตตัพพะ. อย่างไร?
               คือว่า ในเวลาที่ตามระลึกถึงขันธ์เป็นกามาพจร บุพเพนิวาสญาณนั้น ก็มีอารมณ์เป็นปริตตะ ในเวลาที่ตามระลึกถึงขันธ์เป็นรูปาวจรและอรูปาวจร ก็มีอารมณ์เป็นมหัคคตะ ในเวลาที่ตามระลึกถึงมรรคที่ตนเองหรือบุคคลอื่นเจริญแล้ว และผลที่ตนหรือคนอื่นทำให้แจ้งแล้วในอดีต ก็มีอารมณ์เป็นอัปปมาณะ แม้บุพเพนิวาสญาณ โดยการพิจารณา มรรค ผล พระนิพพาน ด้วยอำนาจการตามระลึกถึงพระพุทธเจ้าผู้มีวัฏฏะอันขาดแล้วอย่างนี้ว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายในอดีตเจริญมรรคแล้ว กระทำผลให้แจ้งแล้ว ปรินิพพานแล้วด้วยนิพพานธาตุ ดังนี้ ก็มีอารมณ์เป็นอัปปมาณะ บุพเพนิวาสญาณมีอารมณ์ที่ไม่พึงกล่าว (นวัตตัพพารัมมณะ) ในเวลาที่ตามระลึกนาม โคตรและนิมิตปฐวีกสิณเป็นต้น โดยนัยมีอาทิว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ได้มีแล้วในอดีตกาล พระนครของพระองค์มีนามว่าพันธุมดี พระราชบิดามีพระนามว่าพระเจ้าพันธุมราช พระราชมารดามีพระนามว่าพันธุมดี ดังนี้.
               แม้ในจตุตถฌานที่เป็นไปในอนาคตังสญาณก็นัยนี้เหมือนกัน.
               จริงอยู่ จตุตถฌานที่เป็นไปในอนาคตังสญาณแม้นั้น มีอารมณ์เป็นปริตตะ ในเวลาที่รู้ว่า บุคคลนี้ในอนาคตกาลจักเกิดในกามาพจร ดังนี้. อนาคตังสญาณนั้นมีอารมณ์เป็นมหัคคตะ ในเวลาที่รู้ว่า บุคคลนี้ในอนาคตกาลจักเกิดในรูปาวจรหรืออรูปาวจรดังนี้ มีอารมณ์เป็นอัปปมาณะ ในเวลาที่รู้ถึงบุคคลผู้มีวัฏฏะอันขาดแล้วว่า ในอนาคตกาล บุคคลนี้จักเจริญมรรค จักกระทำผลให้แจ้ง จักปรินิพพานด้วยนิพพานธาตุ ดังนี้ และมีอารมณ์ที่ไม่พึงกล่าว (นวัตตัพพารัมมณะ) ในเวลาที่รู้ชื่อและโคตรโดยนัยมีอาทิว่า ในอนาคตกาล พระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่าเมตไตยจักเสด็จอุบัติขึ้น พราหมณ์นามว่าสุพรหม จักเป็นพระพุทธบิดา พราหมณีนามว่าพรหมวดี จักเป็นพระพุทธมารดา ดังนี้.
               ส่วนจตุตถฌานที่เป็นไปในอรูปาวจร และจตุตถฌานในความสิ้นอาสวะทั้งหลาย ข้าพเจ้าจะกล่าวในที่พระบาลีมาแล้วๆ นั่นแหละ.
               อเหตุกมโนวิญญาณธาตุเป็นกิริยาที่สหรคตด้วยอุเบกขาเป็นปุเรจาริก (ประพฤติอยู่ข้างหน้า) แห่งกุศลจิต อกุศลจิตและกิริยาจิตเหล่านี้แม้ทั้งหมด. พึงทราบความต่างแห่งอารมณ์ของอเหตุกมโนวิญญาณธาตุเป็นกิริยาที่สหรด้วยอุเบกขานั้น โดยนัยที่กล่าวไว้ในกุศลจิต อกุศลจิตและกิริยาจิตเหล่านั้นนั่นแหละ. แต่ในเวลาเป็นไปด้วยอำนาจโวฏฐัพพนะในทวาร ๕ ย่อมมีอารมณ์เป็นปริตตะอย่างเดียวเท่านั้น. ฌาน ๓ และฌาน ๔ ที่เป็นรูปาวจรเป็นต้นมีอารมณ์ไม่พึงกล่าว (นวัตตัพพารัมมณะ) เพราะเป็นไปปรารภนวัตตัพพธรรม (ธรรมที่ไม่พึงกล่าว) โดยความเป็นปริตตธรรมเป็นต้น. เพราะในฌาน ๓ และ ๔ แห่งรูปาวจรเหล่านี้ รูปาวจรทั้งหลายย่อมเป็นไปในปฐวีกสิณเป็นต้น อากาสานัญจายตนะก็เป็นไปในการเพิกอากาศ อากิญจัญญายตนะก็เป็นไปในการปราศจากวิญญาณของอรูปฌาน ดังนี้แล.

               ว่าด้วยมัคคารัมมณติกะ               
               พึงทราบวินิจฉัยในมัคคารัมมณติกะ ต่อไป.
               จิตตุปบาทที่ประกอบด้วยญาณ ๘ ที่ตรัสไว้ในเบื้องต้น เป็นธรรมมีมรรคเป็นอารมณ์ (มัคคารัมมณะ) ในเวลาที่พระเสกขะและอเสกขบุคคล พิจารณามรรคที่ตนแทงตลอดแล้ว แต่ไม่มีเหตุคือมรรค เพราะไม่เกิดพร้อมกับมรรค ที่ชื่อว่า มคฺคาธิปติโน (มีมรรคเป็นอธิบดี) ด้วยอำนาจอารัมมณาธิปติ ในการพิจารณากระทำมรรคที่ตนแทงตลอดแล้วให้หนักหน่วง ในเวลาที่ทำธรรมอื่นเป็นอารมณ์ ไม่พึงกล่าวว่า มีมรรคเป็นอารมณ์บ้าง มีมรรคเป็นอธิบดีบ้าง. อริยมรรค ๔ เป็นธรรมมีเหตุเป็นมรรคโดยส่วนเดียว เพราะมีเหตุกล่าวคือมรรค หรือเหตุที่สัมปยุตด้วยมรรค แต่ในเวลาที่เจริญมรรค กระทำวิริยะหรือวิมังสาให้เป็นใหญ่เกิดพร้อมกับอธิบดีก็พึงมีมรรคเป็นอธิบดี ในเวลาที่ทำฉันทะ หรือจิตตะอย่างใดอย่างหนึ่งให้เป็นใหญ่ ก็ไม่พึงกล่าวว่ามีมรรคเป็นอธิบดีฉะนี้แล.
               ในรูปาวจรจตุตถฌาน ๑๒ อย่าง จตุตถฌาน ๙ อย่างมีจตุตถฌานที่เป็นบาทในธรรมทั้งปวงเป็นต้น ไม่เป็นมัคคารัมมณะ (ไม่มีมรรคเป็นอารมณ์) ไม่เป็นมัคคเหตุกะ (ไม่มีเหตุคือมรรค) ไม่เป็นมัคคาธิปติ (ไม่มีมรรคเป็นอธิบดี). ส่วนจตุตถฌานที่เป็นไปในเจโตปริยญาณ บุพเพนิวาสญาณและอนาคตังสญาณ มีมรรคเป็นอารมณ์ ในเวลาที่รู้มรรคจิตของพระอริยะทั้งหลาย แต่ไม่เป็นมัคคเหตุกะ (คือไม่มีเหตุคือมรรค) เพราะไม่เกิดพร้อมกับมรรค ไม่เป็นมัคคาธิปติ (ไม่มีมรรคเป็นอธิบดี) เพราะไม่ทำมรรคให้หนักเป็นไป.
               ถามว่า ก็เพราะเหตุไร จตุตถฌานทั้ง ๓ นี้จึงไม่ทำมรรคให้หนักหน่วง.
               ตอบว่า เพราะตนเป็นมหัคคตะ.
               เหมือนอย่างชาวโลกทั้งหมดกระทำพระราชาให้เป็นที่เคารพ ส่วนพระมารดาและพระบิดาไม่ทรงกระทำความเคารพ เพราะพระมารดาบิดาเหล่านั้นเห็นพระราชาแล้วก็ไม่ลุกจากอาสนะ ไม่กระทำอัญชลีเป็นต้น ย่อมตรัสเรียกโดยนัยที่ตรัสเรียกในเวลาทรงพระเยาว์นั่นแหละฉันใด แม้จตุตถฌานทั้ง ๓ ที่เป็นไปในเจโตปริยญาณเป็นต้นก็ฉันนั้น ย่อมไม่ทำมรรคให้หนักหน่วง เพราะความที่ตนเป็นมหัคคตะ.
               แม้อเหตุกมโนวิญญาณธาตุที่เป็นกิริยา (มโนทวาราวัชชนจิต) ก็เป็นมัคคารัมมณะคือมีมรรคเป็นอารมณ์ เพราะในเวลาพิจารณามรรคของพระอริยะทั้งหลายเป็นปุเรจาริกของปัจจเวกขณะ แต่ไม่เป็นมัคคเหตุกะ (คือไม่มีเหตุคือมรรค) เพราะไม่เกิดพร้อมกับมรรค ไม่เป็นมัคคาธิบดี (คือไม่มีมรรคเป็นอธิบดี) เพราะไม่ทำมรรคให้หนักหน่วงเป็นไป.
               ถามว่า เพราะเหตุไร จิตนี้จึงไม่ทำมรรคให้หนักหน่วง.
               ตอบว่า เพราะความที่ตนเป็นอเหตุกะ เป็นสภาพเลว เป็นความโง่.
               เหมือนพระราชา ชาวโลกทั้งปวงย่อมเคารพ แต่เด็กรับใช้ซึ่งเป็นคนเตี้ยค่อมเป็นต้น ซึ่งข้าราชบริพารมิได้ทำความเคารพอย่างยิ่ง เหมือนผู้เป็นบัณฑิต เพราะความที่ตนเป็นคนโง่ ฉันใด จิตแม้นี้ก็ฉันนั้นเหมือนกันย่อมไม่ทำมรรคให้หนักหน่วง เพราะตนเป็นอเหตุกะ เป็นสภาพเลว เป็นความโง่.
               จิตตุปบาทที่เป็นกุศลไม่ประกอบด้วยญาณเป็นต้นย่อมไม่ได้อารมณ์ที่มีอารมณ์เป็นมรรคเป็นต้น เพราะไม่มีญาณและเพราะมีอารมณ์เป็นโลกิยธรรม พึงทราบว่า จิตตุปบาทนี้ย่อมเป็นนวัตตัพพารัมณะเท่านั้นฉะนี้แล.

               ว่าด้วยอตีตารัมมณติกะ               
               พึงทราบวินิจฉัยในอตีตารัมมณติกะ ต่อไป.
               ธรรมคือวิญญาณัญจายตนะและเนวสัญญานาสัญญายตนะเป็นธรรมมีอารมณ์เป็นอดีตโดยส่วนเดียวเท่านั้น เพราะถือเอาสมาบัติที่เป็นอดีตในหนหลังเป็นไป.
               บทว่า นิโยคา อนาคตารมฺมณา นตฺถิ (ธรรมที่มีอารมณ์เป็นอนาคตโดยเฉพาะไม่มี) ความว่า ชื่อว่าจิตที่มีอารมณ์เฉพาะโดยที่กำหนดไว้ไม่มี.
               ถามว่า ก็อนาคตังสญาณมีอารมณ์เป็นอนาคตโดยส่วนเดียว แม้จิตที่เป็นเจโตปริยญาณก็ปรารภอนาคตเป็นไป มิใช่หรือ?
               ตอบว่า มิใช่ไม่ปรารภเป็นไป แต่จิตที่เป็นอนาคตังสญาณและเจโตปริยญาณนี้มีอารมณ์เฉพาะดวง ไม่มี มีแต่อารมณ์ที่เป็นมิสสกะด้วยมหัคคตจิตอื่นๆ เพราะทรงสงเคราะห์ไว้ด้วยรูปาวจรจตุตถฌาน ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า นิโยคา อนาคตารมฺณา นตฺถิ (ธรรมที่มีอารมณ์โดยเฉพาะไม่มี) ดังนี้.
               ทวิปัญจวิญญาณ (วิญญาณ ๑๐) และมโนธาตุ ๓ ชื่อว่ามีอารมณ์เป็นปัจจุบัน เพราะเป็นไปในอารมณ์มีรูปเป็นต้น ซึ่งเป็นปัจจุบัน.
               ในบทว่า ทส จิตฺตุปฺปาทา (จิตตุปบาทที่เป็นวิบาก ๑๐) นี้ ได้แก่ สเหตุกวิบาก ๘ ดวงก่อน ชื่อว่ามีอารมณ์เป็นอดีตเท่านั้น ในเวลาที่ปรารภกรรม หรือกรรมนิมิตในเวลาถือปฏิสนธิของพวกเทวดาและมนุษย์เป็นไป. แม้ในเวลาเป็นภวังค์และจุติ ก็นัยนี้แหละ.
               แต่ว่าในเวลาที่จิตนี้ปรารภคติ นิมิตถือปฏิสนธิและในเวลาที่เป็นภวังค์ ต่อจากปฏิสนธิมาเป็นปัจจุบันอารมณ์ (มีอารมณ์เป็นปัจจุบัน) ในขณะที่เป็นไปในทวาร ๕ ด้วยอำนาจตทารัมมณะก็มีอารมณ์เป็นปัจจุบันเหมือนกัน แต่เพราะรับอารมณ์ต่อจากชวนะที่มีอารมณ์เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบันในมโนทวารเป็นไป จึงมีอารมณ์เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน. แม้ในมโนวิญญาณธาตุที่สหรคตด้วยอุเบกขาฝ่ายกุศลวิบากอเหตุกะก็มีนัยนี้แหละ.
               ในอธิการนี้มีเนื้อความต่างกันอย่างนี้คือ มโนวิญญาณธาตุที่สหรคตด้วยอุเบกขา อเหตุกกุศลวิบากนั้นเป็นปฏิสนธิของคนทั้งหลายผู้บอดแต่กำเนิดเป็นต้นในหมู่มนุษย์อย่างเดียว และมีอารมณ์เป็นปัจจุบัน ด้วยสามารถทำสันติรณกิจในปัญจทวาร ส่วนมโนวิญญาณธาตุที่สหรคตด้วยโสมนัสกุศลวิบากอเหตุกเป็นธรรมมีอารมณ์ปัจจุบันด้วยสามารถทำสันติรณกิจและตทารัมกิจในปัญจทวาร และพึงทราบว่า มีอารมณ์ที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน ด้วยสามารถตทารัมมณะในมโนทวาร เหมือนมโนวิญญาณธาตุที่เป็นสเหตุกวิบาก ฉะนั้น.
               ส่วนอเหตุกมโนวิญญาณธาตุที่เป็นอกุศลวิบาก มีคติเหมือนมโนวิญญาณธาตุที่สหรคตด้วยอุเบกขา อเหตุกกุศลวิบากนั่นเอง. แต่ในที่นี้มีความแปลกกันดังนี้ว่า อเหตุกมโนวิญญาณธาตุที่เป็นฝ่ายอกุศลวิบากนั้นเป็นไปด้วยอำนาจปฏิสนธิ ภวังค์และจุติของพวกในอบายภูมิทั้งหลายอย่างเดียว. อเหตุกมโนวิญญาณธาตุฝ่ายกิริยาสหรคตด้วยโสมนัส เมื่อทำอาการร่าเริงของพระขีณาสพทั้งหลายในปัญจทวาร ก็เป็นธรรมมีอารมณ์เป็นปัจจุบัน, ในเวลาปรารภธรรมอันต่างด้วยอดีตเป็นต้นในมโนทวารเป็นไปด้วยอำนาจหสิตุปปาทนกิจก็เป็นธรรมมีอารมณ์เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน.

               ว่าด้วยจิตตุปบาทกามาวจรกุศล ๘               
               พึงทราบบทมีอาทิว่า กามาวจรกุสลํ (กามาวจรกุศล) ต่อไป.
               ว่าโดยกุศลก่อน จิตตุปบาทที่สัมปยุตด้วยญาณ ๔ ดวงของพระเสกขะและปุถุชนผู้พิจารณาขันธ์ ธาตุและอายตนะอันต่างโดยอดีตเป็นต้น ย่อมเป็นธรรมมีอารมณ์เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน. ในขณะพิจารณาบัญญัติและพระนิพพานเป็นนวัตตัพพารัมมณะ คือเป็นธรรมมีอารมณ์ไม่พึงกล่าว. แม้ในจิตตุปบาทที่เป็นญาณวิปปยุตก็นัยนี้แหละ. ในอธิการนี้ การพิจารณามรรคผลและนิพพานด้วยจิตตุปบาทที่เป็นญาณวิปปยุตเหล่านั้น ไม่มี นี้เป็นการต่างกันอย่างเดียวเท่านั้น.
               ว่าโดยฝ่ายอกุศล จิตตุปบาทที่เป็นทิฏฐิคตสัมปยุต ๔ เป็นธรรมมีอารมณ์เป็นอดีตเป็นต้นในเวลาที่ยินดีเพลิดเพลินใจและมีความถือผิดซึ่งขันธ์ ธาตุและอายตนะอันต่างโดยขันธ์ที่เป็นอดีตเป็นต้น ย่อมเป็นธรรมมีอารมณ์.
               ไม่พึงกล่าว (นวัตตัพพารัมมณะ) ของบุคคลผู้ยินดีเพลิดเพลินปรารภบัญญัติ ผู้ยึดถือว่าเป็นสัตว์เป็นอัตตา. แม้ในจิตตุปบาทที่เป็นทิฏฐิวิปปยุต ก็นัยนี้เหมือนกัน. ในที่นี้ การยึดถือผิดด้วยจิตตุปบาทที่เป็นทิฏฐิวิปปยุตไม่มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น.
               จิตตุปบาทที่เป็นปฏิฆสัมปยุต ๒ ดวงย่อมเป็นธรรมมีอดีตเป็นต้น เป็นอารมณ์แก่บุคคลผู้โทมนัสปรารภธรรมอันต่างด้วยอดีตขันธ์เป็นต้น, เป็นธรรมมีอารมณ์ไม่พึงกล่าวแก่บุคคลผู้ถึงโทมนัสปรารภบัญญัติเป็นอารมณ์. จิตตุปบาทที่สัมปยุตด้วยวิจิกิจฉาและอุทธัจจะ ในขณะเป็นไปในธรรมทั้งหลายเหล่านั้นโดยความเป็นธรรมที่ตกลงใจไม่ได้และความฟุ้งซ่าน ก็เป็นธรรมมีอารมณ์เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบันและนวัตตัพพารัมมณะ.
               ว่าโดยกิริยา สเหตุกจิตตุปบาท ๘ มีคติอย่างกุศลจิตตุปบาทนั่นแหละ. กิริยาอเหตุกมโนวิญญาณธาตุที่สหรคตด้วยอุเบกขา ในขณะเป็นไปด้วยอำนาจ ทำโวฏฐัพพนกิจในปัญจทวาร เป็นธรรมมีอารมณ์เป็นปัจจุบันเท่านั้น. ในเวลาที่เป็นปุเรจาริกของชวนจิตที่มีธรรมเป็นอดีต อนาคต ปัจจุบันเป็นอารมณ์ และมีบัญญัติเป็นอารมณ์ในมโนทวาร จิตเหล่านี้ ก็เป็นธรรมมีอารมณ์เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบันและนวัตตัพพารัมมณะ.

               ว่าด้วยจิตตุปบาทเป็นรูปาวจรจตุตถฌาน               
               ในจตุตถฌานที่เป็นรูปาวจรมีประเภทตามที่กล่าวแล้ว จตุตถฌาน ๕ เหล่านี้ คือจตุตถฌานที่เป็นบาทแห่งธรรมทั้งปวง ๑ จตุตถฌานที่เป็นไปในอากาสกสิณ ๑ จตุตถฌานที่เป็นไปในอาโลกกสิณ ๑ จตุตถฌานที่เป็นไปในพรหมวิหาร ๑ จตุตถฌานที่เป็นไปในอานาปานสมาธิ ๑ เป็นนวัตตัพพารัมมณะ (คือเป็นธรรมมีอารมณ์ไม่พึงกล่าว) ทั้งนั้น.
               จตุตถฌานที่เป็นไปในอิทธิวิธะ เป็นธรรมมีอดีตเป็นอารมณ์ เพราะความที่โยคาวจรบุคคลผู้ยังจิตให้เปลี่ยนไปตามอำนาจแห่งกายปรารภฌานจิตในอดีตเป็นบาทให้เป็นไป. แต่เป็นธรรมมีอารมณ์เป็นอนาคตแก่โยคาวจร บุคคลผู้อธิฐานธรรมอันเป็นอนาคต เหมือนพระมหากัสสปเถระเป็นต้น อธิษฐานในคราวบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ก็มีอารมณ์เป็นอนาคต.
               ได้ยินว่า พระมหากัสสปเถระ เมื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุได้อธิษฐานว่า ในอนาคตกาลตลอด ๒๑๘ ปี ขอกลิ่นหอมเหล่านี้อย่าพินาศไป ดอกไม้ทั้งหลายอย่าเหี่ยวแห้ง ประทีปทั้งหลายอย่าดับ ดังนี้ สิ่งทั้งหมดได้เป็นเหมือนอธิษฐานนั่นแหละ. พระอัสสคุตตเถระเห็นหมู่ภิกษุที่ฉันภัตตาหารแห้งที่เสนาสนะโรงภัต จึงอธิษฐานว่า ขอให้แอ่งน้ำจงเป็นรสนมส้มในเวลาปุเรภัตทุกวัน ดังนี้ น้ำที่ตักมาในเวลาปุเรภัตจึงมีรสเป็นนมส้ม ในเวลาปัจฉาภัต น้ำนั้นก็เป็นปรกติอย่างเดิมนั่นแหละ แต่ในเวลาที่พระโยคีบุคคลทำกายให้อาศัยจิต (คือให้เป็นไปเร็วเหมือนจิต) แล้วไปด้วยกายที่มองไม่เห็นหรือว่าในเวลากระทำปาฏิหาริย์อื่น จตุตถฌานนั้นก็เป็นธรรมมีอารมณ์เป็นปัจจุบัน เพราะปรารภกายเป็นไป.
               จตุตถฌานที่เป็นทิพโสต เป็นธรรมมีอารมณ์เป็นปัจจุบัน เพราะปรารภเสียงที่มีอยู่นั่นแหละเป็นไป. จตุตถฌานที่เป็นไปในเจโตปริยญาณ ย่อมเป็นธรรมีอารมณ์เป็นอดีต และเป็นธรรมมีอารมณ์เป็นอนาคต แก่บุคคลผู้รู้จิตของบุคคลเหล่าอื่นในอดีตภายใน ๗ วันและในอนาคตภายใน ๗ วัน. แต่ในเวลาเกิน ๗ วันแล้วก็ไม่อาจเพื่อจะรู้จิตนั้นได้ เพราะว่า นั่นเป็นวิสัยของอตีตังสญาณและอนาคตังสญาณ. แต่ในเวลาที่รู้จิตปัจจุบันของคนอื่นนี้ ก็เป็นธรรมมีอารมณ์เป็นปัจจุบัน.

               ว่าด้วยปัจจุบันกาล ๓ อย่าง               
               ชื่อว่า ปัจจุบัน นี้ มี ๓ อย่าง คือ
                         ขณปัจจุบัน
                         สันตติปัจจุบัน
                         อัทธาปัจจุบัน.
               บรรดาปัจจุบัน ๓ เหล่านั้น ปัจจุบันที่ถึงอุปปาทขณะ ฐีติขณะและภังคขณะ ชื่อว่าขณปัจจุบัน. ปัจจุบันเนื่องด้วยวาระเป็นไปติดต่อกันสิ้นวาระหนึ่งหรือสองวาระ ชื่อว่าสันตติปัจจุบัน.
               ในข้อสันตติปัจจุบันนั้น เมื่อบุคคลนั่งในที่มืดแล้วออกมาสู่ที่สว่าง อารมณ์ยังไม่แจ่มแจ้งทันที อารมณ์นั้นจะปรากฏชัดเจนตราบใด ภายในระหว่างนี้ พึงทราบวาระที่สืบต่อกันสิ้นหนึ่งหรือสองวาระ เมื่อบุคคลเที่ยวไปในที่แจ้งแล้วเข้าไปห้องน้อย (ห้องมืด) แล้วรูปารมณ์ก็ยังไม่ปรากฏทันทีก่อน รูปารมณ์นั้นยังไม่ปรากฏตราบใด ภายในระหว่างนี้ ก็พึงทราบวาระการสืบต่อสิ้นหนึ่งวาระหรือสองวาระ ก็เมื่อบุคคลยืนอยู่ในที่ไกล แม้เห็นการไหวมือของพวกช่างย้อมและการไหวมือเคาะระฆังตีกลองก็ยังไม่ได้ยินเสียงทันที และยังไม่ได้ยินเสียงตราบใด ในระหว่างแม้นี้ ก็พึงทราบวาระการสืบต่อหนึ่งหรือสองวาระ. ท่านมัชฌิมภาณกาจารย์กล่าวไว้อย่างนี้ก่อน.
               ส่วนท่านสังยุตตภาณกาจารย์กล่าวถึงสันตติมี ๒ อย่าง คือรูปสันตติและอรูปสันตติ แล้วกล่าวว่า ระลอกน้ำที่บุคคลเดินข้ามน้ำลุยไปยังฝั่ง ยังไม่ใสสนิทตราบใด เมื่อบุคคลมาจากทางไกล ความร้อนในกายยังไม่สงบไปตราบใด นี้ชื่อว่ารูปสันตติ (ความสืบต่อแห่งรูป) เมื่อบุคคลมาจากแดดเข้าไปสู่ห้อง ความมืดยังไม่ไปปราศตราบใด เมื่อบุคคลมนสิการกรรมฐานภายในห้อง เปิดหน้าต่างแลดูในเวลากลางวัน ความหวั่นไหวแห่งนัยน์ตา ยังไม่สงบตราบใด นี้ก็ชื่อว่ารูปสันตติ วาระแห่งชวนะ ๒-๓ ชื่อว่าอรูปสันตติ (ความสืบต่อแห่งนาม) แล้วกล่าวว่า สันตติแม้ทั้งสองนี้ ชื่อว่าปัจจุบัน.
               ส่วนปัจจุบันที่กำหนดด้วยภพหนึ่ง ชื่อว่าอัทธาปัจจุบัน ในภัทเทกรัตตสูตร๑- ท่านพระมหากัจจายนเถระหมายเอาอัทธาปัจจุบันที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า โย จาวุโส มโน เย จ ธมฺมา สมฺปยุตฺตา อุภยํ เมตํ ปจฺจุปฺปนฺนํ ตสฺมึ ปจฺจุปฺปนฺเน ฯปฯ ธมฺเมสุ สํหิรติ (ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ถ้าบุคคลมีความรู้สึก ๒ มีวิญญาณ) เนื่องด้วยฉันทราคะในมโนและธรรมที่สัมปยุตกันทั้ง ๒ อย่าง ที่เป็นปัจจุบันนั้น เพราะความรู้สึกเนื่องด้วยฉันทราคะ บุคคลจึงเพลิดเพลินมโนและธรรมนั้น เมื่อเพลิดเพลินจึงชื่อว่าง่อนแง่นในธรรมที่เป็นปัจจุบัน ดังนี้.
               ก็ในปัจจุบันที่เป็นสันตติและอัทธาเหล่านี้ สันตติปัจจุบันมาในอรรถกถาทั้งหลาย. อัทธาปัจจุบันมาแล้วในพระสูตร ในขณปัจจุบันเป็นต้นนั้น เกจิอาจารย์ทั้งหลายกล่าวว่า จิตที่เป็นขณปัจจุบันย่อมเป็นอารมณ์ของเจโตปริยญาณ ดังนี้.
               เพราะเหตุไร?
               เพราะจิตของท่านผู้มีฤทธิ์ และของบุคคลอื่นเกิดขึ้นในขณะเดียวกัน.
               ก็ความอุปมาของเกจิอาจารย์เหล่านั้น มีดังนี้.
               ในกำดอกไม้ที่บุคคลซัดไปในอากาศ ดอกหนึ่งย่อมสวม๒- ขั้วด้วยขั้วของดอกไม้ดอกหนึ่งได้แน่นอนฉันใด เมื่อพระโยคาวจรพิจารณาจิตของมหาชนด้วยสามารถเป็นกองว่า เราจักรู้จิตของคนอื่น ดังนี้ ก็จะรู้จิตของบุคคลหนึ่งด้วยจิตดวงหนึ่งในอุปปาทขณะ หรือฐีติขณะ หรือภังคขณะได้แน่ ฉันนั้น. ก็คำของพวกเกจิอาจารย์นั้นท่านปฏิเสธไว้ในอรรถกถาทั้งหลายว่า ไม่ถูกต้อง เพราะจิตสองดวงซึ่งเป็นเหตุให้บุคคลเมื่อรำลึกแม้ร้อยปี แม้พันปี ย่อมระลึกได้และย่อมรู้ได้ ไม่มีฐานะร่วมกัน และเพราะโทษแห่งการถึงความที่อาวัชชนจิตและชวนจิตมีอารมณ์แตกต่างกันในฐานะที่ไม่น่าปรารถนา. ส่วนสันตติปัจจุบัน อัทธาปัจจุบัน พึงทราบว่า ย่อมเป็นอารมณ์ ดังนี้.
____________________________
๑- ม. อุ. เล่ม ๑๔/ข้อ ๕๖๐/หน้า ๓๖๕.
๒- ฉบับไทยเป็น นปฺปฏิวิชฺฌติ ฉบับพม่าเป็น ปฏิวิชฺฌตี

               บรรดาสันตติปัจจุบันและอัทธาปัจจุบันเหล่านั้น คำใดที่กล่าวไว้ในอรรถกถาว่า จิตของบุคคลอื่นใดในเวลาที่เปลี่ยนไป ๒-๓ ชวนวิถีด้วยอำนาจอดีตและอนาคตต่อจากชวนวิถีปัจจุบัน จิตนั้นแม้ทั้งหมด ชื่อว่าสันตติปัจจุบัน ส่วนอัทธาปัจจุบันพึงแสดงด้วยวาระแห่งชวนะดังนี้ คำนั้นท่านกล่าวไว้ดีแล้ว.
               ในคำของท่านพระอรรถกถานั้น ท่านแสดงไว้ดังนี้.
               ท่านผู้มีฤทธิ์ประสงค์จะรู้จิตของบุคคลอื่นย่อมนึกถึง การนึกถึงย่อมกระทำขณปัจจุบันให้เป็นอารมณ์แล้วก็ดับไปพร้อมกับอารมณ์นั้นนั่นแหละ ต่อจากนั้นก็เป็นชวนะ ๔-๕ ชวนะ มีอิทธิจิตเป็นดวงสุดท้าย จิตที่เหลือเป็นกามาพจร บรรดาจิตทั้งหมดนั้น จิตที่ดับแล้วนั้นนั่นแหละย่อมเป็นอารมณ์ จิตเหล่านั้นหาใช่มีอารมณ์ต่างกันไม่ ย่อมมีอารมณ์เดียวกันนั่นเอง เพราะความที่จิตเหล่านั้นมีอารมณ์ปัจจุบันด้วยอำนาจอัทธาปัจจุบัน ก็อิทธิจิตเท่านั้น ย่อมรู้จิตของบุคคลอื่นแม้ในความมีอารมณ์เดียวกัน จิตอื่นหารู้ได้ไม่ เหมือนจักขุวิญญาณเท่านั้น ย่อมเห็นรูปในจักขุทวาร วิญญาณนอกนี้หาเห็นได้ไม่ เพราะฉะนั้น อิทธิจิตนี้จึงเป็นธรรมมีอารมณ์เป็นปัจจุบันด้วยสามารถแห่งสันตติปัจจุบันและอัทธาปัจจุบัน ด้วยประการฉะนี้.
               อีกอย่างหนึ่ง ก็เพราะสันตติปัจจุบันย่อมเป็นไปในนัยแห่งอัทธาปัจจุบันนั่นแหละ ฉะนั้น อิทธิจิตนี้ บัณฑิตก็พึงทราบว่า เป็นธรรมมีอารมณ์เป็นปัจจุบัน ด้วยอำนาจอัทธาปัจจุบันนั่นเอง ดังนี้.
               จตุตถฌานที่เป็นไปในบุพเพนิวาส พึงทราบว่าเป็นธรรมมีอารมณ์ไม่พึงกล่าว (นวัตตัพพารัมณะ) แม้โดยการตามระลึกถึงชื่อและโคตรในการพิจารณาถึงนิพพานและนิมิตนั่นแหละ พึงทราบว่าเป็นอดีตารัมมณะ คือเป็นธรรมมีอารมณ์เป็นอดีตนั่นเองในกาลที่เหลือ. แม้จตุตถฌานที่เป็นไปในยถากัมมูญาณก็เป็นอตีตารัมณะเหมือนกัน.
               บรรดาจตุตถฌานมีบุพเพนิวาสญาณเป็นต้นเหล่านั้น บุพเพนิวาสญาณและเจโตปริญาณเป็นธรรมมีอารมณ์เป็นอดีตก็จริง ถึงอย่างนั้น บรรดาบุพเพนิวาสญาณและเจโตปริญาณเหล่านั้น บุพเพนิวาสญาณก็เป็นธรรมมีขันธ์ในอดีต และเป็นธรรมเนื่องด้วยขันธ์ อะไรๆ ชื่อว่าไม่เป็นอารมณ์หามีไม่ เพราะบุพเพนิวาสญาณนั้นมีคติเสมอด้วยสัพพัญญุตญาณในธรรมทั้งหลายมีขันธ์และธรรมที่เนื่องด้วยขันธ์ในอดีตเป็นอารมณ์. ส่วนเจโตปริยญาณมีจิตซึ่งผ่านไปภายใน ๗ วันเท่านั้นเป็นอารมณ์ เพราะเจโตปริยญาณนั้นย่อมไม่รู้ขันธ์อื่นหรือธรรมที่เนื่องด้วยขันธ์ แต่โดยปริยายตรัสว่ามีมรรคเป็นอารมณ์ เพราะมีจิตสัมปยุตด้วยมรรคเป็นอารมณ์ ส่วนยถากัมมูปคตญาณมีเพียงเจตนาในอดีตเท่านั้นเป็นอารมณ์ พึงทราบความต่างกัน ดังพรรณนามาฉะนี้.
               ในฐานะนี้ พึงทราบนัยแห่งอรรถกถา ต่อไป.
               ก็เพราะตรัสไว้ในปัฏฐานว่า กุศลขันธ์เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ แก่เจโตปริยญาณ แก่บุพเพนิวาสานุสติญาณ แก่ยถากัมมูปคญาณและแก่อนาคตังสญาณ ด้วยอำนาจอารัมมณปัจจัย ดังนี้ ฉะนั้น ขันธ์แม้ทั้ง ๔ จึงเป็นอารมณ์ของเจโตปริญาณและยถากัมมูญาณ แม้ในญาณทั้ง ๒ เหล่านั้น ยถากัมมูปคญาณก็มีกุศลและอกุศลนั่นแหละเป็นอารมณ์.
               จตุตถฌานที่เป็นไปในทิพยจักษุ ชื่อว่า เป็นธรรมมีอารมณ์เป็นปัจจุบันเท่านั้น เพราะสี (วรรณะ) ที่เป็นอารมณ์มีอยู่. จตุตถฌานที่เป็นไปในอนาคตังสญาณเป็นธรรมมีอารมณ์เป็นอนาคตเท่านั้น เพราะอนาคตังสญาณนั้น มีคติอย่างสัพพัญญุตญาณในธรรมทั้งหลายที่มีขันธ์อนาคตและธรรมที่เนื่องด้วย ขันธ์ในอนาคตเป็นอารมณ์เหมือนบุพเพนิวาสญาณ. ในบรรดาเจโตปริยญาณ และอนาคตังญาณเหล่านั้น แม้เจโตปริยญาณจะมีอารมณ์เป็นอนาคตก็จริง ถึงอย่างนั้น เจโตปริยญาณนั้นก็ทำจิตที่เกิดขึ้นภายใน ๗ วันเท่านั้นให้เป็นอารมณ์ อนาคตังสญาณนี้ย่อมกระทำจิตที่เกิดขึ้นบ้าง ขันธ์ที่เกิดขึ้นบ้าง ธรรมที่เนื่องด้วยขันธ์บ้าง ในอนาคตตั้งแสนกัปให้เป็นอารมณ์ได้. ฌาน ๓ และฌาน ๔ ที่เป็นรูปาวจรเป็นต้น พึงทราบว่าเป็นนวัตตัพพารัมมณะ คือเป็นธรรมมีอารมณ์ พึงกล่าวไม่ได้โดยส่วนเดียว เพราะไม่ปรารภธรรมแม้อย่างหนึ่งในธรรมที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบันให้เป็นไป.

               ว่าด้วยอัชฌัตติกะเป็นต้น               
               พึงทราบวินิจฉัยในธรรมที่เป็นอัชฌัตติกะ ต่อไป.
               บทว่า อนินฺทฺริยพทฺธรูปญฺจ นิพฺพานญฺจ พหิทฺธา (รูปที่ไม่เนื่องด้วยอินทรีย์ และนิพพานที่เป็นธรรมภายนอก) นี้ ตรัสว่า ธรรมชาตินี้ชื่อว่าพหิทธา (เป็นธรรมภายนอก) เพราะไม่มีปริยายแห่งธรรมภายในที่เกิดในตน โดยประการที่ว่า ธรรมชาตินี้จะจัดเป็นธรรมภายในโดยปริยายอะไรๆ ไม่ได้ เหมือนรูปที่เนื่องด้วยอินทรีย์ แม้จะเรียกว่าเป็นธรรมภายนอก เพราะมีในสันดานของบุคคลอื่นก็นับว่าเป็นธรรมภายใน เพราะความที่อินทรีย์ รูปนั้นเป็นธรรมชาติเนื่องด้วยสันดานของตน มิใช่เพราะเหตุที่ไม่เกิดแต่เพียงเป็นภายในตน.
               ส่วนในอัชฌัตตารัมมณติกะ ตรัสว่า เป็นพหิทธารมณ์ (ธรรมมีอารมณ์เป็นภายนอก) ทรงหมายเพียงเหตุสักว่าการไม่เกิดขึ้นแก่ธรรมสักว่าเป็นภายในของตน. พระดำรัสที่ตรัสว่า อากิญจัญญายตนะ จะกล่าวว่า มีอารมณ์เป็นภายในก็ไม่ได้ เป็นต้น เพราะพระองค์มิยอมรับแม้ภาวะที่เป็นภายใน แม้ภาวะที่เป็นภายนอก แม้ทั้งภายในทั้งภายนอกแห่งอารมณ์ของอากิญจัญญายตนะโดยเหตุเพียงการปราศจากธรรมภายในเท่านั้น.
               ในบรรดาธรรมมีอากิญจัญญายตนะเป็นต้นเหล่านั้น อากิญจัญญายตนะนั้นนั่นแหละ ใช่ว่าจะเป็นนวัตตัพพารัมมณะอย่างเดียวก็หาไม่ แม้อาวัชชนะ แม้อุปจารจิตทั้งหลายของอากิญจัญญายตนะนั้น แม้จิตที่พิจารณาอารมณ์ของอากิญจัญญายตนะนั้น แม้อกุศลจิตทั้งหลายที่เป็นไปด้วยอำนาจความยินดีเป็นต้นของอากิญจัญญายตนะนั้นทั้งหมด ก็เป็นนวัตตัพพารัมมณะ (คือเป็นธรรมมีอารมณ์ไม่พึงกล่าว) ทั้งนั้น ก็ธรรมชาติเหล่านี้ เมื่อตรัสถึงอากิญจัญญายตนะแล้ว ก็ชื่อว่าเป็นอันตรัสแล้วเหมือนกัน เพราะฉะนั้น จึงมิได้ตรัสไว้แผนกหนึ่ง.
               ถามว่า ชื่อว่าเป็นอันตรัสแล้วเหมือนกัน อย่างไร?
               ตอบว่า ก็อากิญจัญญายตนะนี้ พึงมีอารมณ์อย่างเดียวกันกับธรรมชาติที่เป็นปุเรจาริกของอากิญจัญญายตนะนั้น ซึ่งเป็นไปด้วยอำนาจแห่งธรรมมีอาวัชชนะและอุปจาระเป็นต้น ธรรมนั้นแม้ทั้งหมด ตรัสว่า เป็นนวัตตัพพารัมมณะ คือเป็นธรรมมีอารมณ์พึงกล่าวไม่ได้ เพราะในอตีตารัมมณติกะ ทรงรับรองความที่จิตตุปบาทเหล่านี้ ซึ่งตรัสไว้อย่างนี้ว่า กามาวจรกุศล อกุศล กิริยาจิตตุปบาท ๙ ดวง จตุตถฌานที่เป็นรูปาวจร ดังนี้ เป็นนวัตตัพพารัมมณะ โดยนัยมีอาทิว่า ธรรมเหล่านี้ไม่พึงกล่าวว่า มีอารมณ์เป็นอดีต ดังนี้ และเพราะตรัสถึงความที่อากิญจัญญายตนะเป็นเพียงนวัตตัพพารัมมณะโดยส่วนเดียวอย่างนี้ว่า ธรรมเหล่านี้ คืออากิญจัญญายตนะ มรรค ๔ ที่เป็นโลกุตระและสามัญผลแม้ ๔ ไม่พึงกล่าวว่า เป็นอตีตารัมมณะ (คือไม่พึงกล่าวว่า เป็นธรรมมีอารมณ์เป็นอดีต) ดังนี้ก็มี.
               บัดนี้ อากิญจัญญายตนะนั้นแม้พระองค์จะตรัสไว้อย่างเดียวในอัชฌัตตารัมมณติกะ แต่เพราะความที่กุศลมีกามาพจรเป็นต้น เป็นนวัตตัพพารัมมณะ (คือเป็นธรรมมีอารมณ์ไม่พึงกล่าว) จึงตรัสหมายถึงแม้ความเป็นอารมณ์อันเดียวกันกับอากิญจัญญายตนะนั้นในหนหลัง ฉะนั้น จึงแสดงความที่กุศลมีกามาวจรเป็นต้นเหล่านั้น เป็นนวัตตัพพารัมมณะแม้ในอัชฌัตตารัมมณติกะนี้.
               จริงอยู่ ธรรมอะไรเล่าจะเป็นข้อขัดขวางในความที่กุศลมีกามาพจรเป็นต้น ที่จะเป็นอารมณ์อันเดียวกันกับอากิญจัญญายตนะนั้นเป็นนวัตตัพพารัมมณะ เมื่อตรัสถึงอากิญจัญญายตนะนั้นแล้วด้วยอาการอย่างนี้ ก็พึงทราบได้ว่า กุศลมีกามาพจรนั้นเป็นอันตรัสไว้แล้วเหมือนกัน ฉะนี้แล. คำที่เหลือในที่นี้โดยพระบาลีในอัชฌัตตารัมมณติกะมีเนื้อความตื้นทั้งนั้น.

               ว่าด้วยการจำแนกอารมณ์จิตตุปบาท               
               ก็ว่าโดยการจำแนกอารมณ์ จิตตุปบาทเหล่านี้ คือวิญญาณัญจายตนะและเนวสัญญานาสัญญายตนะเป็น ๖ ด้วยสามารถแห่งกุศล วิบากกิริยาก่อน พึงทราบว่ามีอารมณ์เป็นภายใน (อัชฌัตตารัมมณะ) เพราะหน่วงเหนี่ยวสมาบัติเบื้องต่ำที่เนื่องด้วยสันดานของตนเป็นไป.
               ก็ในบรรดาจิตตุปบาท ๖ เหล่านี้ อากาสานัญจายตนะที่เป็นกิริยาย่อมเป็นอารมณ์ของวิญญาณัญจายตนะที่เป็นกิริยาเท่านั้น หาเป็นอารมณ์ของวิญญาณัญจายตนะที่เป็นกุศลและวิบากนอกนี้ไม่ เพราะเหตุไร? เพราะบุคคลผู้พรั่งพร้อมด้วยอากาสานัญจายตนกิริยา ไม่มีวิญญาณัญจายตนะที่เป็นกุศลหรือวิบาก. ก็กุศลย่อมเป็นอารมณ์แก่กุศล วิบาก และกิริยาทั้ง ๓ ได้ เพราะเหตุไร? เพราะความที่บุคคลผู้ยังอากาสานัญจายตนกุศลให้เกิดแล้วตั้งอยู่ให้ วิญญาณัญจายตนะแม้ทั้ง ๓ อย่างให้เกิดขึ้นสูงกว่าการเกิดของอากาสานัญจายตนกุศลนั้น. ก็วิบากย่อมไม่เป็นอารมณ์ของจิตตุปบาทอะไรๆ เพราะเหตุไร?
               เพราะจิต (ในสมาบัติ) ออกจากวิบากแล้วไม่มีอภินีหาร. แม้ในการทำให้เป็นอารมณ์ของเนวสัญญานาสัญญายตนะ ก็นัยนี้แหละ. บัณฑิตพึงทราบความที่จิตตุปบาทแม้ทั้งหมดมีฌานที่ ๓ ที่ ๔ ซึ่งเป็นรูปาวจรเป็นต้นเป็นพหิทธารัมมณะ คือเป็นธรรมมีอารมณ์ภายนอก เพราะปรารภปฐวีกสิณเป็นต้นที่เป็นภายนอกเป็นไปโดยความเป็นภายนอกจากธรรมที่เป็นภายในของตน.
               พึงทราบวินิจฉัยในข้อว่า สพฺเพว กามาวจรา กุสลากุสลาพฺยากตา ธมฺมา รูปาวจรจตุตฺถฌานํ (กุศลธรรม อกุศลธรรม อัพยากตธรรมที่เป็นกามพจรทั้งหมด ... รูปาวจรจตุตถฌาน) นี้ ต่อไป.
               ว่าโดยกุศล จิตตุปบาทที่สัมปยุตด้วยญาณ ๔ ดวง เป็นธรรมมีอารมณ์ภายใน (อัชฌัตตารัมมณะ) แก่ผู้พิจารณาธรรมมีขันธ์เป็นต้นของตน เป็นธรรมมีอารมณ์ภายนอก (พหิทธารัมมณะ) ในขณะพิจารณาขันธ์เป็นต้นของคนเหล่าอื่น และในขณะพิจารณาบัญญัติและพระนิพพาน เป็นธรรมมีอารมณ์ทั้งภายในและภายนอก (อัชฌัตตพหิทธารัมมณะ) ด้วยสามารถแห่งการพิจารณาธรรมมีขันธ์เป็นต้นทั้งของตนและบุคคลอื่นทั้งสองนั้น. แม้ในญาณวิปปยุตก็นัยนี้แหละ. การพิจารณาพระนิพพานของกุศลที่เป็นญาณวิปปยุตเหล่านั้นอย่างเดียวไม่มี.
               ว่าโดยอกุศล จิตตุปบาทที่สัมปยุตด้วยทิฏฐิ ๔ ดวง เป็นธรรมมีอารมณ์ภายใน ในเวลายินดี เพลิดเพลิน และยึดถือความเห็นผิด ซึ่งธรรมมีขันธ์เป็นต้นของตน เป็นธรรมมีอารมณ์ภายนอกในเวลาที่เป็นไปอย่างนั้นแหละในขันธ์เป็นต้น และในรูปกสิณที่ไม่เนื่องด้วยอินทรีย์เป็นต้นของบุคคลอื่น เป็นธรรมมีอารมณ์ทั้งภายในและภายนอก ด้วยสามารถแห่งอารมณ์ทั้งสองนั้น.
               แม้ในจิตตุปบาทที่เป็นทิฏฐิวิปปยุตทั้งหลายก็นัยนี้เหมือนกัน.
               การยึดถือความเห็นผิดย่อมไม่มีแก่จิตตุปบาทที่เป็นทิฏฐิวิปปยุตเหล่านั้นอย่างเดียว. จิตตุปบาทที่สัมปยุตด้วยปฏิฆะ ๒ ดวง เป็นธรรมมีอารมณ์ภายในแก่บุคคลผู้ถึงโทมนัส ในขันธ์เป็นต้นของตน เป็นธรรมมีอารมณ์ภายนอก แก่บุคคลผู้ถึงโทมนัสในขันธ์เป็นต้น และในรูปบัญญัติที่ไม่เนื่องด้วยอินทรีย์ของบุคคลอื่น เป็นธรรมมีอารมณ์ทั้งภายในและภายนอก ด้วยสามารถแห่งอารมณ์ทั้งสอง. แม้จิตตุปบาทที่สัมปยุตด้วยวิจิกิจฉาและอุทธัจจะ ก็พึงทราบว่ามีความเป็นอารมณ์ภายในเป็นต้นในเวลาเป็นไปด้วยสามารถแห่งความสงสัยและความหวั่นไหวในธรรมทั้งหลายมีประการตามที่กล่าวแล้ว.
               จิตตุปบาท ๑๓ ดวงเหล่านี้ คือทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ มโนธาตุ ๓ ในเวลาที่ปรารภรูปเป็นต้นของตนเป็นไป เป็นธรรมมีอารมณ์ภายใน ในเวลาปรารภรูปเป็นต้นของบุคคลอื่นเป็นไป เป็นธรรมมีอารมณ์ภายนอก เป็นธรรมมีอารมณ์ทั้งภายในและภายนอก ด้วยอำนาจอารมณ์ทั้งสองนั้น.
               อเหตุกวิบากมโนวิญญาณธาตุที่สหรคตด้วยโสมนัสเป็นธรรมมีอารมณ์ภายใน ในเวลาเป็นไปปรารภธรรมมีรูปเป็นต้น ๕ อย่างของตนด้วยอำนาจสันติรณะและตทารัมมณะในปัญจทวาร และในเวลาเป็นไปปรารภกามาวจรธรรม แม้เหล่าอื่นที่เป็นภายในด้วยอำนาจตทารัมมณะในมโนทวารนั่นแหละ, เมื่อเป็นไปในธรรมทั้งหลายเหล่าอื่นก็เป็นธรรมมีอารมณ์ภายนอก, เป็นธรรมมีอารมณ์ทั้งภายในและภายนอกด้วยอำนาจอารมณ์ทั้งสอง. ในวิบากอเหตุกมโนวิญญาณธาตุที่สหรคตด้วยอุเบกขาแม้ทั้ง ๒ ดวง ก็นัยนี้แหละ. ก็มโนวิญญาณธาตุเหล่านี้ย่อมเป็นไปในกรรมเป็นต้นอันต่างด้วยอัชฌัตตธรรมเป็นต้น แม้ด้วยอำนาจแห่งปฏิสนธิ ภวังค์ และจุติ ในสุคติภูมิและทุคติภูมิเท่านั้น.
               มหาวิบากจิต ๘ ดวง มีคติเหมือนวิบากอเหตุกมโนวิญญาณธาตุที่สหรคตด้วยอุเบกขาแม้ทั้ง ๒ เหล่านั้นนั่นแหละ แต่มหาวิบากจิตเหล่านี้ไม่เป็นไปด้วยอำนาจแห่งสันติรณะอย่างเดียว ย่อมเป็นไปในสุคติภูมิด้วยอำนาจปฏิสนธิ ภวังค์และจุติของสัตว์เหล่านั้นเท่านั้น. อเหตุกกิริยาที่สหรคตด้วยโสมนัสเป็นธรรมมีอารมณ์ภายใน ในเวลาปรารภรูปเป็นต้นของตนด้วยอำนาจการกระทำอาการร่าเริงในปัญจทวาร เป็นธรรมมีอารมณ์ในภายนอกเป็นไปในรูปเป็นต้นของบุคคลอื่น, เป็นธรรมมีอารมณ์ภายในเป็นไปด้วยอำนาจหสิตุปบาทแก่พระตถาคตเจ้าผู้พิจารณากิริยาที่พระองค์ทรงทำแล้วในเวลาเป็นโชติปาลมาณพ ท้าวมฆเทวราชและกัณหดาบสเป็นต้นในมโนทวาร, เป็นธรรมมีอารมณ์ภายนอก ในเวลาปรารภการกระทำกิริยาของพระนางมัลลิกาเทวี สันตติมหาอำมาตย์และนายสุมนาการเป็นต้นเป็นไป, เป็นธรรมมีอารมณ์ทั้งภายในและภายนอก ด้วยสามารถอารมณ์ทั้งสอง.
               กิริยาอเหตุกมโนวิญญาณธาตุที่สหรคตด้วยอุเบกขา เป็นธรรมมีอารมณ์เป็นภายในเป็นต้น ในเวลาเป็นไปในปัญจทวารด้วยอำนาจโวฏฐัพพะและในมโนทวารด้วยอำนาจอาวัชชนะ มหากิริยาจิตตุปบาท ๘ ดวง มีคติเหมือนกุศลจิตนั่นแหละ. มหากิริยาจิตตุปบาทเหล่านั้น ย่อมเกิดขึ้นแก่พระขีณาสพอย่างเดียว กุศลจิตย่อมเกิดแก่พระเสกขะและปุถุชน เพราะฉะนั้น ในข้อนี้จึงมีการทำที่ต่างกัน ด้วยคำมีประมาณเท่านี้. ในรูปาวจรจตุตถฌานมีประการตามที่กล่าวแล้ว จตุตถฌานทั้ง ๕ มีจตุตถฌานที่เป็นบาทในธรรมทั้งปวงเป็นต้น ย่อมได้โอกาสในติกะนี้.
               จริงอยู่ ฌานทั้ง ๕ ตามที่กล่าวนี้เป็นพหิทธารัมมณะ คือเป็นธรรมมีอารมณ์เป็นภายนอก เพราะมีกสิณบัญญัติและนิมิตเป็นอารมณ์. จตุตถฌานที่เป็นไปในอิทธิวิธะเป็นอัชฌัตตารัมมณะ คือเป็นธรรมมีอารมณ์เป็นภายใน เพราะกระทำกายและจิตของตนให้เป็นอารมณ์ในเวลาที่ยังจิตให้เปลี่ยนไปตามอำนาจกาย หรือยังกายเปลี่ยนไปตามอำนาจจิต และในเวลาที่เนรมิตรูปเป็นเพศกุมารเป็นต้นของตน มีอารมณ์เป็นภายนอก (พหิทธารัมมณะ) ในเวลาที่แสดงรูปเป็นรูปช้างและม้าเป็นต้นในภายนอก มีอารมณ์เป็นทั้งภายในและภายนอก (อัชฌัตตพหิทธารัมมณะ) ในเวลาที่เป็นไปในภายในตามกาลอันควรและในเวลาที่เป็นไปในภายนอกตามกาลอันควร.
               จตุตถฌานที่เป็นไปในทิพโสต มีอารมณ์เป็นภายใน (อัชฌัตตารัมมณะ) ในเวลาฟังเสียงในท้องของตน มีอารมณ์เป็นภายนอก (พหิทธารัมมณะ) ในเวลาฟังเสียงคนอื่น มีอารมณ์เป็นทั้งภายในและภายนอก (อัชฌัตตพหิทธารัมมณะ) ด้วยอำนาจแห่งอารมณ์ทั้งสอง.
               จตุตถฌานที่เป็นไปในเจโตปริยญาณ มีอารมณ์เป็นภายนอกอย่างเดียว เพราะมีจิตคนอื่นเป็นอารมณ์ ก็การใช้เจโตปริยญาณนั้นรู้จิตของตนไม่มี.
               จตุตถฌานที่เป็นไปในบุพเพนิวาสญาณเป็นธรรม มีอารมณ์เป็นภายใน ในเวลาที่ตามระลึกถึงขันธ์ของตน เป็นธรรมมีอารมณ์ภายนอก เพราะตามระลึกถึงขันธ์ของคนอื่น รูปที่ไม่เนื่องด้วยอินทรีย์ และบัญญัติทั้ง ๓ เป็นธรรมมีอารมณ์เป็นทั้งภายในและภายนอก ด้วยสามารถอารมณ์ทั้งสอง.
               จตุตถฌานที่เป็นไปในทิพยจักษุเป็นธรรมมีอารมณ์เป็นภายใน ในเวลาเห็นรูปในท้องของตนเป็นต้น เป็นธรรมมีอารมณ์ภายนอกในเวลาที่เห็นรูปที่เหลือ เป็นธรรมมีอารมณ์ทั้งภายในและภายนอก ด้วยสามารถแห่งอารมณ์ทั้งสอง.
               จตุตถฌานที่เป็นไปในอนาคตังสญาณเป็นธรรมมีอารมณ์ภายใน ในเวลาที่ระลึกถึงขันธ์ในอนาคตของตน เป็นธรรมมีอารมณ์ภายนอก ในเวลาที่ระลึกถึงขันธ์อันเป็นอนาคตของคนอื่น หรือรูปที่ไม่เนื่องด้วยอินทรีย์ เป็นธรรมมีอารมณ์เป็นทั้งภายในและภายนอก ด้วยสามารถแห่งอารมณ์ทั้งสอง.
               เหตุที่อากิญจัญญายตนฌานเป็นนวัตตัพพารัมมณะ คือเป็นอารมณ์พึงกล่าวไม่ได้ ข้าพเจ้ากล่าวไว้ในหนหลังแล้วแล.
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ธรรมสังคณีปกรณ์ อัตถุทธารกัณท์ ติกะ จบ.
อ่านอรรถกถา 34 / 1อ่านอรรถกถา 34 / 836อรรถกถา เล่มที่ 34 ข้อ 878อ่านอรรถกถา 34 / 900อ่านอรรถกถา 34 / 970
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=34&A=7583&Z=7833
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=53&A=11578
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=53&A=11578
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๑๒  กุมภาพันธ์  พ.ศ.  ๒๕๕๗
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :