ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 

อ่านชาดก 270000อ่านชาดก 270055อรรถกถาชาดก 270056
เล่มที่ 27 ข้อ 56อ่านชาดก 270057อ่านชาดก 272519
อรรถกถา กัญจนขันธชาดก
ว่าด้วย การบรรลุธรรมอันเกษม

พระบรมศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภภิกษุรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า โย ปหฏฺเฐน จิตฺเตน ดังนี้.
ได้ยินว่า กุลบุตรชาวเมืองสาวัตถีผู้หนึ่ง ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้ว บวชถวายชีวิตในพระศาสนา คือพระรัตนตรัย. ครั้งนั้น อาจารย์และอุปัชฌาย์ของเธอ กล่าวสอนถึงศีลว่า ผู้มีอายุ ที่ชื่อว่าศีล อย่างเดียวก็มี สองอย่างก็มี สามอย่างก็มี สี่อย่างก็มี ห้าอย่างก็มี หกอย่างก็มี เจ็ดอย่างก็มี แปดอย่างก็มี เก้าอย่างก็มี ที่ชื่อว่าศีลมีมากอย่าง นี้เรียกว่า จุลศีล นี้เรียกว่า มัชฌิมศีล นี้เรียกว่า มหาศีล นี้เรียกว่า ปาฏิโมกขสังวรศีล นี้เรียกว่า อินทริยสังวรศีล นี้เรียกว่า อาชีวปาริสุทธิศีล นี้เรียกว่า ปัจจยปฏิเสวนศีล.
ภิกษุนั้นคิดว่า ขึ้นชื่อว่าศีลนี้มีมากยิ่งนัก เราไม่อาจสมาทานประพฤติได้ถึงเพียงนี้ ก็บรรพชาของคนที่ไม่อาจบำเพ็ญศีลให้บริบูรณ์ได้ จะมีประโยชน์อะไร เราจักเป็นคฤหัสถ์ ทำบุญมีให้ทานเป็นต้น เลี้ยงลูกเมีย. ครั้นคิดอย่างนี้แล้ว ก็เรียนอาจารย์และอุปัชฌาย์ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ กระผมไม่อาจรักษาศีลได้ เมื่อไม่อาจรักษาศีลได้ การบรรพชาก็จะมีประโยชน์อะไร? กระผมจะขอลาสิกขา โปรดรับบาตรและจีวรของท่านไปเถิด.
ลำดับนั้น อาจารย์และอุปัชฌาย์จึงบอกกะภิกษุนั้นว่า ผู้มีอายุ เมื่อเป็นเช่นนี้ เธอจงไปถวายบังคมพระทศพล ดังนี้แล้ว พาเธอไปยังธรรมสภาอันเป็นที่ประทับของพระศาสดา.
พระศาสดาทอดพระเนตรเห็นภิกษุนั้น ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพาภิกษุผู้ไม่ปรารถนา (บรรพชาเพศ) มาหรือ? ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า พระเจ้าข้า ภิกษุนี้บอกว่า เธอไม่อาจรักษาศีลได้ จึงมอบบาตรและจีวรคืน เมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าพระองค์ทั้งหลายจึงพาเธอมา.
พระบรมศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหตุไร พวกเธอจึงได้บอกศีลแก่ภิกษุนี้มากนักเล่า ภิกษุนี้อาจรักษาได้เท่าใด ก็พึงรักษาเท่านั้นแหละ ตั้งแต่นี้ไป พวกเธออย่าได้พูดอะไรๆ กะภิกษุนี้เลย ตถาคตเท่านั้นจักรู้ถึงการที่ควรทำ แล้วตรัสกะภิกษุนั้นว่า มาเถิดภิกษุ เธอจะต้องการศีลมากๆ ทำไมเล่า เธอจักไม่อาจเพื่อจะรักษาศีล ๓ ประเภทเท่านั้นหรือ?
ภิกษุนั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ ข้าพระองค์อาจรักษาได้ พระเจ้าข้า.
มีพระพุทธดำรัสว่า ถ้าเช่นนั้น ตั้งแต่บัดนี้ เธอจงรักษาทวารทั้ง ๓ ไว้ คือกายทวาร วจีทวาร มโนทวาร อย่ากระทำกรรมชั่วด้วยกาย อย่ากระทำกรรมชั่วด้วยวาจา อย่ากระทำกรรมชั่วด้วยใจ ไปเถิด อย่าสึกเลย จงรักษาศีล ๓ ข้อ เหล่านี้เท่านั้นเถิด.
ด้วยพระพุทธดำรัสเพียงเท่านี้ ภิกษุนั้นก็มีใจยินดี กราบทูลว่า ดีละ พระเจ้าข้า ข้าพระองค์จักรักษาศีล ๓ เหล่านี้ไว้ ดังนี้แล้ว ถวายบังคมพระศาสดา ได้กลับไป พร้อมกับอาจารย์และพระอุปัชฌาย์ทั้งหลาย.
เมื่อเธอบำเพ็ญศีลทั้ง ๓ เหล่านั้นอยู่นั่นแล จึงได้สำนึกว่า ศีลที่อาจารย์และอุปัชฌาย์บอกแก่เรา ก็มีเท่านี้เอง แต่ท่านเหล่านั้นไม่อาจให้เราเข้าใจได้ เพราะท่านไม่ใช่พระพุทธเจ้า. พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงจัดศีลทั้งหมดนี้เข้าไว้ในทวาร ๓ เท่านั้น ให้เรารับเอาไว้ได้ เพราะพระองค์เป็นพระพุทธเจ้า ทรงรู้ดี (และ) เพราะพระองค์เป็นพระธรรมราชาชั้นยอด พระองค์ทรงเป็นที่พำนักของเราแท้ๆ ดังนี้ แล้วเจริญวิปัสสนา ดำรงอยู่ในพระอรหัตผล โดย ๒-๓ วันเท่านั้น.
ภิกษุทั้งหลายทราบความเป็นไปนั้นแล้ว ประชุมกันในธรรมสภา ต่างนั่งสนทนาถึงพระพุทธคุณว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย ได้ยินว่า ภิกษุนั้นกล่าวว่าไม่อาจรักษาศีลทั้งหลายได้ กำลังจะสึก พระศาสดาทรงย่นย่อศีลทั้งหมดโดยส่วน ๓ ให้เธอรับไว้ได้ ให้บรรลุพระอรหัตผลได้ โอ ขึ้นชื่อว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นอัจฉริยมนุษย์.
พระศาสดาเสด็จมา ตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร?
ครั้นพวกภิกษุกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว
ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นที่ภาระแม้ถึงจะหนักยิ่ง เราก็แบ่งโดยส่วนย่อยให้แล้ว เป็นดุจของเบาๆ แม้ในปางก่อน บัณฑิตทั้งหลายได้แท่งทองใหญ่ แม้ไม่อาจจะยกขึ้นได้ ก็แบ่งออกเป็นส่วนย่อยๆ แล้วยกไปได้ ดังนี้แล้ว
ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสี. พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นชาวนาอยู่ในหมู่บ้านตำบลหนึ่ง.
วันหนึ่ง กำลังไถที่นาอยู่ในเขตบ้านร้างแห่งหนึ่ง. แต่ครั้งก่อนในบ้านหลังนั้น เคยมีเศรษฐีผู้สมบูรณ์ด้วยสมบัติผู้หนึ่ง ฝังแท่งทองใหญ่ขนาดโคนขา ยาวประมาณ ๔ ศอกไว้ แล้วก็ตายไป. ไถของพระโพธิสัตว์ไปเกี่ยวแท่งทองนั้น แล้วหยุดอยู่.
พระโพธิสัตว์คิดว่า คงจะเป็นรากไม้ จึงคุ้ยฝุ่นดู เห็นแท่งทองนั้นแล้ว ก็กลบไว้ด้วยฝุ่น แล้วไถต่อไปทั้งวัน ครั้นดวงอาทิตย์อัสดงแล้ว จึงเก็บสัมภาระมีแอกและไถเป็นต้นไว้ ณ ที่สมควรแห่งหนึ่ง คิดว่า จักแบกเอาแท่งทองไป ไม่สามารถจะยกขึ้นได้ เมื่อไม่สามารถจึงนั่งลง แบ่งทองออกเป็น ๔ ส่วน โดยคาดว่า จักเลี้ยงปากท้องเท่านี้ ฝังไว้เท่านี้ ลงทุนเท่านี้ ทำบุญให้ทานเป็นต้นเท่านี้. พอแบ่งอย่างนี้แล้ว แท่งทองนั้นก็ได้เป็นเหมือนของเบาๆ. พระโพธิสัตว์ยกเอาแท่งทองนั้นไปบ้าน แบ่งเป็น ๔ ส่วน กระทำบุญมีให้ทานเป็นต้น แล้วก็ไปตามยถากรรม.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาดังนี้
ครั้นได้ตรัสรู้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า :-
นรชนผู้ใด มีจิตร่าเริงแล้ว มีใจเบิกบานแล้ว บำเพ็ญธรรมเป็นกุศล เพื่อบรรลุความเกษมจากโยคะ นรชนนั้น พึงบรรลุความสิ้นสังโยชน์ทุกอย่างได้โดยลำดับ
. ดังนี้

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปหฏฺเฐน ได้แก่ปราศจากนิวรณ์.
บทว่า ปหฏฺฐมนโส ความว่า เพราะเหตุที่มีจิตปราศจากนิวรณ์นั่นแล จึงชื่อว่ามีใจเบิกบานแล้ว เหมือนทองคำ คือเป็นผู้มีจิตรุ่งเรือง สว่างไสวแล้ว.
พระบรมศาสดาทรงยังเทศนาให้จบลงด้วยยอด คือพระอรหัต ด้วยประการดังนี้.
แล้วทรงสืบอนุสนธิ ประชุมชาดกว่า
บุรุษผู้ได้แท่งทองในครั้งนั้น ได้มาเป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.

-----------------------------------------------------

.. อรรถกถา กัญจนขันธชาดก จบ.
อ่านชาดก 270000อ่านชาดก 270055อรรถกถาชาดก 270056
เล่มที่ 27 ข้อ 56อ่านชาดก 270057อ่านชาดก 272519
อ่าน เนื้อความในพระไตรปิฎก
http://84000.org/tipitaka/atita100/v.php?B=27&A=369&Z=374
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด พระไตรปิฎกฉบับธรรมทาน
บันทึก  ๓๑  ตุลาคม  พ.ศ.  ๒๕๔๖
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]