ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 

อ่านชาดก 280001อ่านชาดก 280090อรรถกถาชาดก 280094
เล่มที่ 28 ข้อ 94อ่านชาดก 280134อ่านชาดก 281045
อรรถกถา กุสชาดก
ว่าด้วย พระเจ้ากุสราชลุ่มหลงรูปโฉมของนางประภาวดี.

หน้าต่างที่   ๒ / ๓.

พระราชมารดานั้นทรงได้สดับพระราชดำรัสนั้นแล้ว จึงทรงมีรับสั่งว่า ดูก่อนลูก ถ้าอย่างนั้น ลูกจงเป็นผู้ไม่ประมาท เพราะขึ้นชื่อว่า มาตุคามมีใจไม่บริสุทธิ์ ดังนี้แล้ว ทรงเอาโภชนะมีรสอันเลิศต่างๆ บรรจุใส่ภาชนะทองคำจนเต็มแล้ว ทรงรับสั่งว่า ลูกพึงบริโภคโภชนะนี้ในระหว่างเดินทาง แล้วทรงส่งไป. พระราชาพระองค์นั้นทรงรับภาชนะนั้นแล้ว ถวายบังคมพระมารดา ทรงทำประทักษิณ ๓ ครั้ง แล้วกราบทูลว่า เมื่อหม่อมฉันยังมีชีวิตอยู่ คงจะได้กลับมาเห็นพระมารดาอีก ดังนี้แล้ว จึงเสด็จเข้าสู่ห้องอันเป็นสิริ ทรงเหน็บพระแสงอาวุธ ๕ อย่าง ทรงหยิบกหาปณะพันหนึ่ง บรรจุลงในย่าม พร้อมทั้งภาชนะพระกระยาหาร ทรงถือพิณโกกนุท เสด็จออกจากพระนคร ทรงดำเนินไปตามมรรคา ทรงมีพระกำลังมาก มีเรี่ยวแรงเข้มแข็งเพียงเช้าชั่วเที่ยง ก็ทรงดำเนินไปได้ถึงตั้ง ๕๐ โยชน์ เสวยพระกระยาหารแล้ว ทรงดำเนินต่อไปอีก ๕๐ โยชน์ โดยส่วนแห่งวันที่เหลือเท่านั้น ก็ทรงเดินทางไปได้สิ้นทางระยะถึง ๑๐๐ โยชน์ ในเวลาเย็นเสด็จพักสรงน้ำแล้ว เสด็จเข้าถึงเมืองสาคละ.
เมื่อพระองค์พอได้เสด็จเข้าไปแล้วเท่านั้น ด้วยเดชแห่งพระโพธิสัตว์ พระนางประภาวดีจะทรงบรรทมอยู่บนพระที่มิได้ ต้องเสด็จลงมาบรรทมเหนือภาคพื้น. พระโพธิสัตว์มีพระอินทรีย์อันเหน็ดเหนื่อย ทรงดำเนินมาตามถนน ผู้หญิงคนหนึ่งแลเห็นพระองค์เข้า จึงให้เรียกมาแล้ว เชิญให้ประทับนั่ง ให้ล้างพระบาทจัดที่บรรทมถวาย. พระโพธิสัตว์เจ้านั้นมีพระวรกายเหน็ดเหนื่อยมา พอบรรทมก็หลับสนิท. ลำดับนั้น หญิงคนนั้น พอเมื่อพระโพธิสัตว์เจ้าบรรทมหลับแล้ว ก็จัดแจงโภชนะมีรสอันเลิศต่างๆ เสร็จแล้ว จึงปลุกพระโพธิสัตว์ให้ตื่นบรรทม แล้วเชิญให้เสวยพระกระยาหาร พระโพธิสัตว์เจ้าทรงขอบพระทัย ได้พระราชทานกหาปณะพันหนึ่งกับภาชนะทองคำแก่หญิงคนนั้น. ท้าวเธอทรงเก็บพระแสงเบญจาวุธไว้ที่บ้านของหญิงคนนั้นนั่นแล แล้วรับสั่งว่า เรายังมีสถานที่ควรจะไปอีก ดังนี้แล้ว ทรงถือเอาพิณเสด็จไปยังโรงช้าง ตรัสว่า ขอท่านจงให้ข้าพเจ้าพักอยู่ ณ ที่นี้สักวันหนึ่งเถิด ข้าพเจ้าจะทำการขับร้องเพลงให้พวกท่านได้ฟัง ดังนี้ พอเมื่อได้รับอนุญาตจากคนเลี้ยงช้างแล้ว ก็บรรทมหลับอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่งได้สักครู่ พอระงับหายความเหน็ดเหนื่อยกระวนกระวายแล้ว ก็ทรงลุกออกมาแก้ห่อพิณ ทรงดีดพิณขับร้องประสานเสียง ด้วยทรงพระดำริว่า ชนชาวนครสาคละ จงฟังเสียงพิณนี้.
พระนางประภาวดีทรงบรรทมบนภาคพื้น พอได้ทรงสดับเสียงนั้น ก็ทรงทราบได้ทีเดียวว่า เสียงพิณนี้มิใช่เสียงพิณของคนอื่น พระเจ้ากุสราชต้องเสด็จมาเพื่อจะเอาตัวเรากลับไป โดยมิต้องสงสัย. แม้พระเจ้ามัททราชทรงสดับเสียงนั้นแล้ว ทรงพระดำริว่า ใครนะช่างขับร้องเพลงไพเราะเหลือเกิน พรุ่งนี้เราจะให้คนเรียกคนผู้นั้นมาทำการขับร้องให้เราฟัง. พระโพธิสัตว์เจ้าทรงพระดำริว่า เราอยู่ในที่นี้ไม่อาจจะได้เห็นพระนางประภาวดี สถานที่นี้ดูไม่เหมาะเสียเลย จึงได้เสด็จออกไปแต่เช้าตรู่ทีเดียว ไปเสวยพระกระยาหารเช้าที่ในเรือนของหญิงที่พระองค์ได้เสวยแล้ว ในเวลาเย็นวันแรกนั่นแล ทรงเก็บพิณไว้แล้ว เสด็จไปยังสำนักนายช่างหม้อของพระราชาแล้ว เข้าขอฝากตัวเป็นศิษย์ของนายช่างหม้อคนนั้น เพียงวันเดียวเท่านั้น ก็ทรงขนเอาดินมาจนเต็มเรือน แล้วบอกว่า ท่านอาจารย์ขอรับ ผมจะทำภาชนะให้ เมื่อนายช่างหม้อพูดว่า ดีซิ จงทำเถิด จึงทรงวางก้อนดินก้อนหนึ่งลงบนไม้แป้นแล้ว ทรงปั่นหมุนไม้แป้น. พระองค์ทรงปั้นหนเดียวเท่านั้น แป้นก็หมุนอยู่ตั้งแต่เช้าจนเลยเที่ยง. พระองค์ทรงปั้นภาชนะเล็กบ้าง ใหญ่บ้าง หลายชนิดหลากสี เมื่อจะทรงปั้นภาชนะเพื่อประโยชน์แก่พระนางประภาวดี ได้ทรงกระทำให้มีลวดลายเป็นรูปต่างๆ.
จริงอยู่ ขึ้นชื่อว่า ความประสงค์ของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ย่อมสำเร็จได้. พระองค์ทรงอธิษฐานว่า ขอให้พระนางประภาวดีจงได้เห็นรูปเหล่านั้น แต่เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น. พระองค์ทรงผึ่งภาชนะทั้งหมดให้แห้งแล้ว ทรงเผาเสร็จแล้ว เก็บไว้จนเต็มเรือน. นายช่างหม้อนำภาชนะเหล่านั้นไปยังราชตระกูล. พระเจ้ามัททราชทอดพระเนตรเห็นภาชนะเหล่านั้นแล้ว ตรัสถามว่า ภาชนะเหล่านี้ ใครทำ. นายช่างหม้อกราบทูลว่า ข้าพระองค์เอง พระเจ้าข้า. พระราชาตรัสว่า ภาชนะที่เจ้าได้เคยทำมาแล้ว เราจำได้เป็นอย่างดี เจ้าจงบอกมานะว่า ภาชนะเหล่านี้ ใครทำ. นายช่างหม้อกราบทูลว่า ศิษย์ของข้าพระองค์ทำ พระเจ้าข้า. พระราชาตรัสว่า ผู้นั้นไม่สมควรเป็นศิษย์ของเจ้า ผู้นั้นจงเป็นอาจารย์ของเจ้า เจ้าจงศึกษาศิลปะในสำนักของเขาเถิด และจำเดิมแต่วันนี้ไป ขอให้เขาทำภาชนะทั้งหลาย สำหรับธิดาของเราทุกๆ องค์ และเจ้าจงให้ทรัพย์พันหนึ่งนี้แก่เขาด้วย ดังนี้ ให้พระราชทานทรัพย์พันหนึ่งแล้ว ตรัสว่า เจ้าจงนำภาชนะเล็กๆ เหล่านี้ไปให้พระธิดาทั้งหลายของเราด้วย.
นายช่างหม้อคนนั้นนำเอาภาชนะเหล่านั้น ไปยังตำหนักของพระราชธิดาเหล่านั้นแล้ว กราบทูลว่า ภาชนะเล็กๆ เหล่านี้ ข้าพระองค์ขอถวายไว้ เพื่อสำหรับพระนางได้ทรงเล่น. พระราชธิดาเหล่านั้นทั้งหมดเสด็จมาแล้ว. นายช่างหม้อก็ได้ถวายภาชนะที่พระมหาสัตว์กระทำไว้เพื่อประโยชน์แก่พระนางประภาวดี เฉพาะพระนางทีเดียว. พระนางทรงรับภาชนะนั้นมาแล้ว ทรงเห็นพระรูปของพระองค์ พระรูปของพระมหาสัตว์ และรูปของหญิงค่อม ในภาชนะนั้นทีเดียว ก็ทรงทราบว่า ภาชนะนี้ไม่ใช่คนอื่นทำ พระเจ้ากุสราชนั่นแลทรงกระทำ ทรงแค้นเคืองแล้ว ขว้างของเหล่านั้นลงบนภาคพื้น แล้วตรัสว่า เราไม่มีความต้องการด้วยของสิ่งนี้ ใครอยากได้ ท่านจงเอาไปให้เขาเถิด. ลำดับนั้น พระราชธิดาผู้เป็นพระภคินีทั้งหลายของพระนาง ทรงทราบว่า พระนางทรงกริ้ว ก็พากันทรงยิ้มว่า พระพี่เข้าพระทัยว่า ภาชนะเล็กๆ นี้ พระเจ้ากุสราชทรงกระทำกระมัง ภาชนะนี้ ไม่ใช่พระเจ้ากุสราชนั้นทรงกระทำหรอก ช่างหม้อเขากระทำต่างหาก พระพี่นางจงรับเอาไว้เถิด. พระนางก็มิได้ตรัสบอกถึง เรื่องที่พระเจ้ากุสราชนั้นทรงกระทำภาชนะ และเรื่องที่พระเจ้ากุสราชนั้นเสด็จมาถึงแล้ว แก่พวกพระภคินีเหล่านั้น นายช่างหม้อได้ให้กหาณะพันหนึ่งแก่พระโพธิสัตว์แล้ว กล่าวว่า นี่แน่ะพ่อเอ๋ย พระราชาทรงขอบใจเจ้า ได้ยินว่า จำเดิมแต่นี้ไป เจ้าพึงกระทำภาชนะสำหรับพระราชธิดาทุกๆ พระองค์ เราจักนำไปถวายแด่พระราชธิดาเหล่านั้นเอง พระโพธิสัตว์เจ้านั้นจึงตรัสว่า ท่านพ่อครับ ผมจักไม่กระทำเพื่อพระราชธิดาเหล่านั้น
พระโพธิสัตว์เจ้านั้นทรงพระราชดำริว่า เราขืนอยู่ในที่นี้ เห็นจะไม่อาจที่จะได้เห็นพระนางประภาวดีได้ จึงพระราชทานทรัพย์พันหนึ่งนั้นแก่นายช่างหม้อนั้นทีเดียว แล้วจึงเสด็จไปยังสำนักของนายช่างสาน ผู้เป็นอุปัฏฐากของพระราชา ขอสมัครเป็นศิษย์ของนายช่างสานนั้น แล้วทรงกระทำใบตาลเพื่อประโยชน์แก่พระนางประภาวดีแล้ว แสดงรูปต่างๆ คือ รูปเศวตฉัตร สถานที่สำหรับดื่ม พระนางประภาวดีทรงยืนจับผ้าเป็นต้นในใบตาลนั้น นายช่างสานได้ถือเอาใบตาลนั้น และของอย่างอื่นอีก ที่พระโพธิสัตว์นั้นทรงกระทำแล้ว นำไปยังราชตระกูล พระราชาทอดพระเนตรเห็นตรัสถามว่า สิ่งของเหล่านี้ ใครทำ. นายช่างสานกราบทูลว่า ขอเดชะ ข้าพระองค์ทำเอง พระเจ้าข้า. พระราชาตรัสว่า เราจำของที่เจ้าทำได้ดี จงบอกมาเถิดว่า ของเหล่านี้ ใครทำกันแน่. นายช่างสานกราบทูลว่า ขอเดชะ ศิษย์ของข้าพระองค์กระทำ พระเจ้าข้า. พระราชาทรงรับสั่งว่า ผู้นั้นไม่สมควรเป็นศิษย์ เขาจงเป็นอาจารย์ของเจ้าจึงเหมาะ เจ้าจงศึกษาศิลปะในสำนักของเขา และจำเดิมแต่วันนี้ไป ขอให้เขาทำสิ่งของอย่างนี้แก่พวกธิดาของเรา และเจ้าจงให้ทรัพย์พันหนึ่งนี้แก่เขาด้วย ดังนี้แล้ว ทรงพระราชทานทรัพย์พันหนึ่งแล้วตรัสว่า เจ้าจงนำเอาสิ่งของเครื่องประดับเหล่านี้ ไปให้พวกธิดาของเราด้วย.
แม้นายช่างสานนั้นก็ได้ถวาย ใบตาลที่พระโพธิสัตว์ทรงกระทำ เพื่อประโยชน์แก่พระนางประภาวดี เฉพาะพระนางทีเดียว ชนอื่นย่อมไม่เห็นรูปทั้งหลายในใบตาลนั้น ฝ่ายพระนางประภาวดี พอได้ทอดพระเนตรเห็น ก็ทรงทราบว่า พระเจ้ากุสราชทรงกระทำ ก็ทรงกริ้ว ขว้างลงบนพื้น แล้วรับสั่งว่า ใครอยากได้ ก็จงเอาไปเถิด. ลำดับนั้น พวกพระภคินีที่เหลือ ก็ทรงหัวเราะเยาะพระนาง. นายช่างสานถือเอาทรัพย์พันหนึ่ง ไปให้พระโพธิสัตว์แล้วบอกเรื่องราวนั้นให้ทราบ.
พระโพธิสัตว์เจ้านั้นยังทรงดำริว่า แม้ที่นี้ ก็ไม่ใช่สถานที่ที่เราควรจะอยู่ จึงมอบทรัพย์พันหนึ่งคืนให้นายช่างสานนั้นแล้ว เสด็จไปยังสำนักของนายช่างร้อยดอกไม้ของพระราชา แจ้งความประสงค์ ขอเป็นศิษย์ ทรงร้อยพวงมาลาแปลกๆ หลายอย่างหลายชนิด ได้กระทำทรงเทริดอันหนึ่ง ซึ่งวิจิตรด้วยรูปต่างๆ เพื่อประโยชน์แก่พระนางประภาวดี. นายมาลาการถือเอาพวงมาลาทั้งหมดนั้นไปยังราชตระกูล พระราชาทอดพระเนตรเห็น จึงตรัสถามว่า ดอกไม้เหล่านี้ ใครร้อยเป็นพวงมาลา. นายมาลาการกราบทูลว่า ข้าพระองค์ร้อยเอง พระเจ้าข้า. พระราชาตรัสว่า ดอกไม้ที่เจ้าเคยร้อยแล้ว เราจำได้ดี จงบอกมานะว่า ดอกไม้เหล่านี้ ใครร้อย. นายมาลาการกราบทูลว่า ศิษย์ของข้าพระองค์ร้อยเป็นพวงมาลา พระเจ้าข้า. พระราชาตรัสว่า ผู้นั้นไม่สมควรเป็นศิษย์ของเจ้า เขาจงเป็นอาจารย์ของเจ้าเถิด เจ้าจงเรียนศิลปะในสำนักของเขา และจำเดิมแต่วันนี้ไป ขอให้เขาได้ร้อยดอกไม้ให้พวกธิดาของเราเถิด และเจ้าจงให้ทรัพย์พันหนึ่งนี้แก่เขา ดังนี้แล้ว จึงพระราชทานทรัพย์พันหนึ่ง แล้วรับสั่งว่า เจ้าจงนำเอาดอกไม้เหล่านี้ไปให้พวกธิดาของเราด้วย.
แม้ช่างร้อยดอกไม้นั้นก็ได้ถวาย ทรงเทริดที่พระมหาสัตว์ทรงกระทำ เพื่อประโยชน์แก่พระนางประภาวดี เฉพาะพระหัตถ์พระนางทีเดียว พระนางทรงเห็นรูปต่างๆ ของพระองค์ และของพระราชา พร้อมทั้งรูปอื่นๆ อีกเป็นอันมากในทรงเทริดนั้น ก็ทรงทราบว่า พระเจ้ากุสราชนั้นทรงกระทำ จึงทรงกริ้ว แล้วขว้างลงบนภาคพื้น พวกภคินีที่เหลือพากันหัวเราะเยาะพระนางเหมือนอย่างนั้นทีเดียว. แม้นายมาลาการก็ได้นำทรัพย์มาให้พระโพธิสัตว์เจ้า บอกเรื่องนั้นให้ทราบแล้ว.
พระโพธิสัตว์เจ้านั้นจึงทรงพระดำริว่า แม้สถานที่นี้ ก็ไม่ใช่ที่ที่เราจะอยู่ได้ จึงคืนทรัพย์พันหนึ่งให้แก่นายมาลาการนั้น แล้วเสด็จไปยังสำนักของเจ้าพนักงานห้องเครื่องต้นของพระราชา ขอฝากตัวเป็นศิษย์ ภายหลังวันหนึ่ง เจ้าพนักงานเครื่องต้นไปถวายแด่พระราชา ก็ได้ให้ชิ้นเนื้อติดกระดูกชิ้นหนึ่งแก่พระโพธิสัตว์เจ้า เพื่อให้ปิ้งเป็นประโยชน์ส่วนตัว พระโพธิสัตว์เจ้าทรงปิ้งเนื้อนั้นให้มีกลิ่นหอมตลบฟุ้งไป จนทั่วพระนครทั้งหมด. พระราชาทรงได้กลิ่นเนื้อนั้น จึงตรัสถามว่า เจ้าปิ้งเนื้อส่วนอื่นของเจ้าไว้ในห้องเครื่องต้นหรือ. เจ้าพนักงานเครื่องต้นกราบทูลว่า ไม่มีเลย พระเจ้าข้า ก็แต่ว่า ข้าพระองค์ได้ให้ ชิ้นเนื้อติดกระดูกแก่ลูกมือของข้าพระองค์เพื่อให้ปิ้งบริโภค กลิ่นนั้นเห็นจะเป็นกลิ่นของเนื้อนั้นนั่นเอง พระเจ้าข้า. พระราชาทรงรับสั่งให้นำเนื้อนั้นมาแล้ว ทรงแตะวางที่ปลายพระชิวหาหน่อยหนึ่ง จากเนื้อชิ้นนั้น. ในขณะนั้นทีเดียว รสแห่งชิ้นเนื้อนั้น ก็แผ่ซาบซ่านไปทั่วประสาท สำหรับรสถึงเจ็ดพัน พระราชาทรงติดใจในรสตัณหา จึงทรงพระราชทานทรัพย์พันหนึ่ง แก่เจ้าพนักงานเครื่องต้นนั้น แล้วทรงรับสั่งว่า จำเดิมแต่นี้ไป เจ้าจงให้ลูกมือของเจ้าปรุงภัตตาหารให้ แก่พวกธิดาของเรา และแก่เราด้วยแล้ว เจ้าจงนำมาให้เรา ส่วนลูกมือของเจ้านั้น จงนำไปให้พวกธิดาของเรา.
เจ้าพนักงานเครื่องต้นไปบอกแก่ พระโพธิสัตว์นั้นให้ทราบแล้ว พระโพธิสัตว์เจ้านั้น จึงทรงพระดำริว่า บัดนี้ ความปรารถนาแห่งใจของเราถึงที่สุดแล้ว เราจักได้เห็นพระนางประภาวดี ในบัดนี้แน่ จึงทรงดีพระทัย แล้วคืนทรัพย์พันหนึ่งนั้นให้แก่เจ้าพนักงานเครื่องต้นนั้น. ในวันรุ่งขึ้น ทรงจัดแจงเครื่องเสวยเสร็จแล้ว ส่งเครื่องต้นของพระราชาไปแล้ว ส่วนพระองค์เองทรงหาบกระเช้าเครื่องเสวยของพวกพระราชธิดา เสด็จขึ้นไปยังปราสาท ที่ประทับของพระนางประภาวดี พระนางได้ทอดพระเนตรเห็น พระโพธิสัตว์เจ้านั้นทรงหาบกระเช้าเครื่องกระยาเสวย เสด็จขึ้นปราสาทมา จึงทรงพระดำริว่า พระเจ้ากุสราชนี้มากระทำการงาน ที่พวกทาสและกรรมกรจะพึงกระทำ ช่างไม่สมควรแก่พระองค์เลย ก็ถ้าเราจักนิ่งเฉยเสียสัก ๒-๓ วัน เธอก็จะมีความสำคัญว่า บัดนี้ พระนางประภาวดีนี้ปรารถนาเรา ก็จะไม่ไปไหน มองดูแต่เรา จักอยู่ในที่นี้ทีเดียว บัดนี้ เราจักด่าว่า พระองค์เสียเลยไม่ให้อยู่ในที่นี้ แม้แต่เพียงชั่วครู่หนึ่งแล้ว จักให้ทรงหนีไป. พระนางทรงเปิดพระทวารแง้มไว้ครึ่งหนึ่ง ทรงเอาพระหัตถ์ข้างหนึ่งยึดบานประตูไว้ อีกบานหนึ่งทรงใส่ลิ่มเสียแล้ว ตรัสพระคาถาที่ ๒ ว่า

พระองค์ทรงนำหาบใหญ่ มาด้วยพระทัยอันไม่ซื่อตรง จักต้องทรงเสวยทุกข์มาก ทั้งกลางวันและกลางคืน. ขอเชิญพระองค์เสด็จกลับไปยังกุสาวดีนคร เสียโดยเร็วเถิด หม่อมฉันไม่ปรารถนาให้พระองค์ ผู้มีผิวพรรณชั่วอยู่ในที่นี้.


เนื้อความแห่งคาถานั้น มีอธิบายดังต่อไปนี้ ข้าแต่มหาราชเจ้า พระองค์เป็นผู้ปรุงภัตตาหาร มิได้ทรงทำการงานนี้ แม้แก่บุคคลผู้ตีศีรษะของพระองค์ให้แตก ด้วยจิตอันซื่อตรง แต่ทรงนำหาบใหญ่หาบหนึ่งมาเพื่อประโยชน์แก่เรา ด้วยจิตอันไม่ซื่อตรง จักเสวยความทุกข์ใหญ่ ทั้งกลางวันกลางคืน และในกาลอันเป็นส่วนแห่งราตรี จะมีประโยชน์อะไรด้วยความลำบากที่ท่านได้รับอยู่นั้น ขอเชิญท่านกลับไปยังเมืองกุสาวดี อันเป็นเมืองของพระองค์เสียเถิด ขอจงไปสถาปนานางยักษิณี ซึ่งมีหน้าและทรวดทรงคล้ายกับขนมเบื้องเสมอเช่นกันกับพระองค์แล้ว ทรงเสวยราชสมบัติเถิด ส่วนตัวหม่อมฉันไม่ปรารถนาที่จะให้ท่านผู้มีผิวพรรณอันชั่วช้า ผู้มีทรวดทรงอันไม่งดงาม อยู่ในที่นี้ต่อไป.
พระโพธิสัตว์เจ้านั้น ทรงดีพระทัยว่า เราได้รับถ้อยคำจาก สำนักของพระนางประภาวดีแล้ว จึงได้ตรัสพระคาถา ๓ พระคาถาว่า

ประภาวดีเอ๋ย พี่ติดใจในผิวพรรณของเธอ จึงจะจากที่นี้ไปยังเมืองกุสาวดีไม่ได้ พี่มีความพอใจในการเห็นเธอ จึงได้ละทิ้งบ้านเมือง มารื่นรมย์อยู่ในพระราชนิเวศน์ อันน่ารื่นรมย์ของพระเจ้ามัททราช.
ดูก่อนน้องประภาวดี พี่ติดใจในผิวพรรณของเธอจนลุ่มหลง เที่ยวไปยังพื้นแผ่นดิน พี่ไม่รู้จักทิศว่า พี่มาแล้วจากที่ไหน พี่หลงใหลในตัวเธอ ผู้มีดวงเนตรอันแจ่มใสดุจดวงตามฤค ผู้ทรงภูษากรองทอง และห้อยสังวาลย์ทอง.
ดูก่อนพระน้องนางผู้มีตะโพกอันผึ่งผาย พี่มีความต้องการแต่ตัวเธอเท่านั้น พี่ไม่ต้องการด้วยพระราชสมบัติเลย.


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า รมามิ คือยินดียิ่ง แต่มิได้กระสัน. บทว่า สมฺมุฬฺหรูโป ได้แก่ เป็นผู้ลุ่มหลงเพรียบด้วยกิเลส. บทว่า ตยิมฺหิ มตฺโต ความว่า พี่เป็นผู้มัวเมาในตัวเธอ คือเป็นผู้เมาจนทั่วในตัวเธอ. บทว่า โสวณฺณจรวสเน คือผู้นุ่งผ้าอันขจิตด้วยทอง. บทว่า นาหํ รชฺเชน มตฺถิโก ความว่า จะมีความต้องการด้วยราชสมบัติก็หามิได้.

เมื่อพระโพธิสัตว์เจ้านั้นตรัสอย่างนี้แล้ว พระนางเจ้าจึงทรงพระดำริว่า เราด่าว่าพระเจ้ากุสราช ด้วยหวังว่า จักให้เธอเจ็บแสบ แต่พระเจ้ากุสราชพระองค์นี้กลับพูดเกี่ยวพันอีก ก็ถ้าเธอจักบอกกล่าวขึ้นว่า เราเป็นพระเจ้ากุสราช แล้วเข้ามาจับมือเรา ใครจะห้ามเธอได้ ใครจะพึงได้ยินถ้อยคำของเราทั้งสองนี้ได้ จึงทรงปิดพระทวารใส่ลิ่มแล้ว เสด็จเข้าข้างใน. ส่วนพระโพธิสัตว์เจ้านั้นก็ทรงหาบกระเช้าเครื่องเสวย ไปเที่ยวแจกภัตตาหาร ให้พระราชธิดาทั้งหลายได้เสวยแล้ว. พระนางประภาวดีทรงส่งนางค่อมไป ด้วยพระดำรัสว่า เธอจงไปนำเอาภัตรที่พระเจ้ากุสราชปรุงแล้วมา. นางค่อมนั้นนำมาแล้ว กราบทูลว่า ขอพระแม่เจ้าจงเสวยเถิด. พระนางตรัสว่า ฉันจะไม่ขอยอมบริโภคภัตรที่พระเจ้ากุสราชนั้นปรุงแล้ว เธอจงบริโภคเสียเองเถิด จงนำเอาผักที่ตนได้มาแล้ว จัดแจงหุงต้มภัตร นำมาให้เราแทน และเรื่องที่พระเจ้ากุสราชติดตามมา เธออย่าไปบอกแก่ใครๆ นะ.
จำเดิมแต่นั้นมา นางค่อมก็นำเอาเครื่องเสวยอันเป็นส่วนของพระนางเจ้า มาบริโภคเสียเอง นำเอาอาหารที่เป็นส่วนของตน น้อมเข้าไปถวายพระนางแทน. จำเดิมแต่นั้นมา แม้พระเจ้ากุสราชก็มิได้ทรงทอดพระเนตรเห็นพระนางอีกเลย จึงทรงพระราชดำริว่า พระนางประภาวดียังมีความเสน่หาในตัวเรา หรือว่าไม่มีกันหนอ จำเราจักทดลองดูพระนาง. พระโพธิสัตว์เจ้านั้น ครั้นทรงให้พระราชธิดาทุกพระองค์เสวยเสร็จแล้ว จึงหาบกระเช้าเครื่องเสวยออกมา พอมาถึงประตูพระตำหนักของพระนางก็ทรงกระทืบพื้นปราสาทด้วยพระบาท กระแทกภาชนะทั้งหลาย ทรงทอดถอนพระทัยใหญ่ ทำเป็นประหนึ่งว่า ถึงวิสัญญีสลบ ทรงคู้งอพระองค์ล้มกลิ้งลงไป. ด้วยเสียงที่พระโพธิสัตว์เจ้านั้นทรงทอดถอนพระทัยใหญ่ พระนางจึงทรงเปิดพระทวารออกมา ทอดพระเนตรเห็นพระโพธิสัตว์นั้นถูกไม้คานหาบเครื่องเสวยทับเอา จึงทรงดำริว่า พระเจ้ากุสราชนี้ เป็นพระราชาผู้เลิศในชมพูทวีปทั้งสิ้น ได้ทรงเสวยความลำบาก ทั้งกลางคืนและกลางวัน เพราะอาศัยเรา และเพราะพระองค์เป็นสุขุมาลชาติ จึงถูกหาบเครื่องเสวยทับเอา แล้วล้มลง พระองค์ยังมีพระชนม์อยู่ หรือสิ้นพระชนม์เสียแล้วหนอ. พระนางจึงเสด็จออกจากพระตำหนัก ทรงก้มพระศอลงดูพระพักตร์ เพื่อจะตรวจพระวาโยที่ช่องพระนาสิกของพระเจ้ากุสราชนั้น. พระเจ้ากุสราชนั้นทรงอมพระเขฬะไว้เต็มพระโอฐ แล้วถ่มรดไปที่พระสรีระของพระนาง.
พระนางกริ้วต่อพระเจ้ากุสราชนั้นมาก ทรงด่าพระองค์แล้ว เสด็จเข้าไปยังพระตำหนัก ทรงปิดพระทวารเสียครึ่งหนึ่งแล้ว ประทับยืนอยู่ ตรัสพระคาถาว่า

ดูก่อนพระเจ้ากุสราช ผู้ใดปรารถนาคนที่เขาไม่ปรารถนาตน ผู้นั้นย่อมมีแต่ความไม่เจริญ. หม่อมฉันไม่รักพระองค์ พระองค์ก็จะให้หม่อมฉันรัก เมื่อเขาไม่รัก พระองค์ก็ยังปรารถนาให้เขารัก.


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อภูติ หมายถึงความไม่เจริญ.

ฝ่ายพระเจ้ากุสราชนั้น แม้จะถูกพระนางด่าว่า ก็มิได้ทรงทำความเดือดร้อนใจให้บังเกิดขึ้นเลย เพราะเหตุมีพระทัยปฏิพัทธ์ในพระนาง จึงตรัสพระคาถา อันเป็นลำดับต่อไปว่า
นรชนใดได้คนที่เขาไม่รักตัว หรือคนที่รักตัวมาเป็นที่รัก เราสรรเสริญการได้ในสิ่งนี้ ความไม่ได้ในสิ่งนั้นเป็นความชั่วช้า.


เมื่อพระเจ้ากุสราชตรัสอยู่อย่างนี้ก็ตาม พระนางก็มิได้ทรงลดละ กลับตรัสพระวาจาแข็งกระด้างยิ่งขึ้น ทรงปรารถนาที่จะให้ พระเจ้ากุสราชนั้นเสด็จหนีไปเสียให้พ้น   จึงตรัสพระคาถา อันเป็นลำดับต่อไปว่า
พระองค์ทรงปรารถนา ซึ่งหม่อมฉันผู้ไม่ปรารถนา เปรียบเหมือนพระองค์เอาไม้กรรณิการ์มาแคะเอาเพชรในหิน หรือเหมือนเอาตาข่ายมาดักลม ฉะนั้น.


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กณิการสฺส ทารุนา คือไม้แห่งต้นกรรณิการ์. บทว่า พาเธสิ คือปิด ได้แก่ บังลม.

พระราชาได้ทรงสดับพระดำรัสนั้นแล้ว จึงตรัสพระคาถา ๓ คาถาว่า
หินคงฝังอยู่ในหฤทัย อันมีลักษณะอ่อนละมุนละไม ของเธอเป็นแน่ เพราะตั้งแต่ฉันมาจากชนบทภายนอก ยังไม่ได้ความชื่นชมจากเธอเลย
แม่ราชบุตรียังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดมองดูฉันอยู่ ตราบใด ฉันก็คงต้องเป็นพนักงานเครื่องต้นภายในบุรีของพระเจ้ามัททราชอยู่ ตราบนั้น.
ต่อเมื่อใด แม่ราชบุตรียิ้มแย้ม แจ่มใส มองดูฉัน ฉันก็จะเลิกเป็นพนักงานเครื่องต้น กลับไปเป็นพระเจ้ากุสราช เมื่อนั้น.


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มุทุลกฺขเณ ได้แก่ หฤทัยของเธอประกอบด้วยลักษณะแห่งหญิงผู้อ่อนโยน. บทว่า โย คือ โย อหํ. บทว่า ติโรชนปทาคโต ความว่า ตั้งแต่ฉันมาจากแว่นแคว้นภายนอก อยู่ในวังของเธอ ยังไม่ได้ความชื่นชมแม้แต่เพียงการต้อนรับเลย ฉันจึงเข้าใจอย่างนี้ว่า เธอคงเอาหินเข้าไปวางไว้ในหัวใจของเธอเป็นแน่ เพราะเธอห้ามการบังเกิดขึ้นแห่งความรักในตัวฉันเสียได้. บทว่า ภูกุฏึ กตฺวา ได้แก่ ทำหน้าผากย่นยู่ยี่ เหมือนเถาวัลย์ด้วยความโกรธ. บทว่า อาฬาริโก ความว่า พระเจ้ากุสราชตรัสว่า ในขณะนั้น ฉันก็คงเป็นพนักงานเครื่องต้น คล้ายกับทาสผู้ปรุงภัตรในภายในบุรีของพระเจ้ามัททราช ฉะนั้น. บทว่า อมฺหายามานา ได้แก่ แสดงอาการร่าเริง คือยิ้มแย้มแจ่มใส. บทว่า ราชา โหมิ ความว่า ในขณะนั้น ฉันก็จะเป็นเหมือนพระราชาผู้เสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครกุสาวดี เพราะเหตุไร น้องจึงหยาบคายอย่างนี้ ดูก่อนพระนางผู้เจริญ ตั้งแต่นี้ต่อไป ขอพระน้องนางอย่าได้ทรงกระทำแบบนี้อีกเลยนะ.

พระนางได้ทรงสดับพระดำรัสของพระเจ้ากุสราชนั้นแล้ว จึงทรงดำริว่า พระเจ้ากุสราชนี้ ยิ่งพูดยิ่งติดแน่นหนักขึ้น เราจักพูดมุสาวาท ให้ท้าวเธอหนีไปเสียจากที่นี้ โดยอุบาย จึงตรัสคาถาว่า
ก็ถ้าถ้อยคำของโหรทั้งหลาย จักเป็นจริงไซร้ พระองค์คงไม่ใช่พระสวามีของหม่อมฉันแน่แท้ เขาเหล่านั้นคงจะบั่นเราออกเป็น ๗ ท่อนแน่.


เนื้อความแห่งพระคาถานั้น มีอธิบายว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า พวกหมอดูเป็นอันมาก เมื่อถูกถามว่า พระเจ้ากุสราชเป็นพระสวามีของฉันหรือไม่เป็น ดังนี้ พวกหมอดูเหล่านั้นก็จะทำนายว่า ทราบว่า ท่านทั้งหลายจงบั่นเราออกเป็น ๗ ท่อนเถิด ท่านจักไม่เป็นพระสวามีของฉันเป็นแน่แท้.

พระราชาได้ทรงสดับถ้อยคำนั้นแล้ว เมื่อจะทรงคัดค้านพระนาง จึงตรัสว่า ดูก่อนพระนางผู้เจริญ หากว่า ฉันจะถามหมอดูในบ้านเมืองของฉันบ้าง พวกหมอดูเหล่านั้นต้องพยากรณ์ว่า ขึ้นชื่อว่า พระสวามีของเธอ นอกจากพระเจ้ากุสราช ผู้มีพระสุรเสียงดุจราชสีห์แล้ว จะเป็นคนอื่นไปไม่มีเลย แม้ฉันเองก็ต้องกล่าวกะ พวกญาติและมิตรของฉันอย่างนี้เหมือนกัน ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถาต่อไปอีกว่า
ก็ถ้าถ้อยคำของโหรเหล่าอื่น หรือของหม่อมฉันจักเป็นจริงไซร้ พระสวามีของเธอ นอกจากพระเจ้ากุสราช ผู้มีพระสุรเสียงดุจราชสีห์ จะเป็นคนอื่นไปไม่มีเลย.


เนื้อความแห่งพระคาถานั้น มีอธิบายว่า ก็ถ้าถ้อยคำของพวกหมอดูเหล่าอื่นเป็นความจริง ขึ้นชื่อว่า พระสวามีของเธอจะเป็นคนอื่นไปไม่ได้เลย.

พระนางทรงสดับถ้อยคำของพระเจ้ากุสราชนั้นแล้ว จึงทรงดำริว่า เราไม่สามารถที่จะให้พระเจ้ากุสราชนี้ทรงละอายหรือหนีพ้นไปได้เลย พระเจ้ากุสราชนี้จะมีประโยชน์อะไรแก่เรา จึงทรงปิดพระทวาร ไม่ทรงแสดงพระองค์. แม้พระเจ้ากุสราชนั้นก็ทรงหาบกระเช้าเครื่องเสวยกลับลงมาแล้ว ตั้งแต่นั้น ก็ไม่ได้ทรงพบเห็นพระนางได้อีกเลย. พระองค์ทรงกระทำการงานหน้าที่ผู้จัดแจงภัตร แสนจะลำบากเป็นอย่างยิ่ง เสวยภัตตาหารเช้าแล้ว ต้องทรงผ่าฟืน ล้างภาชนะใหญ่น้อยเสร็จแล้ว เสด็จไปตักน้ำด้วยหาบ เมื่อจะบรรทมก็บรรทมที่ข้างหลังรางน้ำ ตื่นบรรทมก็ตื่นแต่เช้าตรู่ทีเดียว ทรงต้มข้าวยาคูเป็นต้น ทรงหาบไปเองให้พระราชธิดาทั้งหลายเสวย แต่พระองค์ต้องทรงเสวยทุกข์อย่างสาหัสเช่นนี้ ก็เพราะอาศัยความกำหนัด ด้วยอำนาจความเพลิดเพลินติดใจในกามารมณ์.
วันหนึ่ง พระองค์ทอดพระเนตรเห็น นางค่อมเดินไปข้างประตูห้องเครื่อง จึงตรัสเรียกมา แต่นางค่อมนั้นก็ไม่อาจจะไปเฝ้าพระองค์ได้ เพราะเธอกลัวพระนางประภาวดี จึงรีบเดินหนีไป. ลำดับนั้น พระองค์จึงรีบเสด็จติดตามไปทัน แล้วตรัสทักนางค่อมนั้นว่า ค่อมเอ๋ย. นางค่อมนั้นเหลียวกลับมา ยืนอยู่แล้ว ถามว่า นั่นใคร แล้วทูลว่า หม่อมฉันไม่ทันได้ยินว่า เป็นพระสุรเสียงของพระองค์. ลำดับนั้น พระเจ้ากุสราชจึงตรัสกะนางค่อมนั้นว่า แน่ะค่อมเอ่ย แหม! นายของเจ้าช่างจิตใจแข็งเหลือเกินนะ เรามาอยู่ในพระราชวังของพวกเจ้า ตลอดกาลเพียงเท่านี้ ยังไม่ได้แม้เพียงการถามข่าวถึงความไม่มีโรคเลย เรื่องอะไรจักให้ไทยธรรม ข้อนั้นจงยกไว้ก่อนเถิด ก็แต่ว่า เจ้าควรจักกระทำพระนางประภาวดีของเราให้ใจอ่อนแล้ว ให้ได้พบกับเราบ้างเถิด. นางค่อมรับพระราชดำรัสแล้ว. ลำดับนั้น พระเจ้ากุสราชจึงตรัสหยอกเย้านางค่อมว่า ถ้าเจ้าสามารถที่จะให้เราได้พบพระนางประภาวดีนั้นได้ เราจักทำความค่อมของเจ้าให้ตรงแล้ว จักให้สายสร้อยคอเส้นหนึ่ง ดังนี้แล้ว
จึงตรัสพระคาถา ๕ พระคาถาดังต่อไปนี้ว่า
แน่ะนางขุชชา เรากลับไปถึงกรุงกุสาวดีแล้ว จักให้นายช่างทำเครื่องประดับคอทองคำให้แก่เจ้า ถ้าเจ้าทำให้พระนางประภาวดีผู้มีขาอ่อนงามดังงวงช้าง แลดูเราได้
แน่ะนางขุชชา เรากลับไปถึงกรุงกุสาวดีแล้ว จักให้นายช่างทำเครื่องประดับคอทองคำให้แก่เจ้า ถ้าเจ้าทำ พระนางประภาวดีผู้มีขาอ่อนงามดังงวงช้าง ให้เจรจากับเราได้.
แน่ะนางขุชชา เรากลับไปถึงกรุงกุสาวดีแล้ว จักให้นายช่างทำเครื่องประดับคอทองคำให้แก่เจ้า ถ้าเจ้าทำ พระนางประภาวดีผู้มีขาอ่อนงามดังงวงช้าง ให้ยิ้มแย้มแก่เราได้.
แน่ะนางขุชชา เรากลับไปถึงกรุงกุสาวดีแล้ว จักให้นายช่างทำเครื่องประดับคอทองคำให้แก่เจ้า ถ้าเจ้าทำ พระนางประภาวดีผู้มีขาอ่อนงามดังงวงช้าง ให้หัวเราะร่าเริงแก่เราได้.
แน่ะนางขุชชา เรากลับไปถึงกรุงกุสาวดีแล้ว จักให้นายช่างทำเครื่องประดับคอทองคำให้แก่เจ้า ถ้าเจ้าทำ พระนางประภาวดีผู้มีขาอ่อนงามดังงวงช้าง ให้มาลูบคลำจับตัวเราด้วยมือของเธอได้.


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เนกฺขํ คีวนฺเต ความว่า เราจักให้ช่างทำคอของเจ้า ให้เป็นทองคำทั้งหมดทีเดียว. บาลีว่า เราจักทำทองคำที่คอ ดังนี้ก็มี. อธิบายว่า เราจักประดับเครื่องประดับอันสำเร็จด้วยทองคำที่คอของเจ้า. บทว่า โอโลเกยฺย ความว่า ถ้าพระนางประภาวดี พึงแลดูเราตามคำพูดของเจ้า คือ ถ้าเจ้าจักสามารถให้พระนางมองดูเราได้. แม้ในบท เป็นต้นว่า พึงให้พระนางเจรจากับเราได้ ก็มีนัยเหมือนกันนี้ทีเดียว. ส่วนในบทว่า อุมฺหาเยยฺย ความว่า พึงหัวเราะด้วยการหัวเราะเบาๆ. บทว่า ปมฺหาเยยฺย ความว่า พึงหัวเราะด้วยการหัวเราะดังๆ.

นางค่อมนั้นได้ฟังถ้อยคำของพระโพธิสัตว์นั้นแล้ว จึงทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ขอเชิญพระองค์เสด็จกลับไปเถิด อีกประมาณสัก ๒-๓ วัน หม่อมฉันจักกระทำ พระนางให้อยู่ในอำนาจของพระองค์ พระองค์คอยทอดพระเนตรความพยายามของหม่อมฉันเถิด ดังนี้แล้ว จึงตรวจตราดูหน้าที่การงานของตนนั้นเสร็จแล้ว จึงไปยังพระตำหนักของพระนางประภาวดี ทำทีเหมือนว่า ปัดกวาดห้องที่ประทับของพระนาง เก็บแม้ก้อนดินที่พอจะใช้ขว้างได้ไม่ให้เหลือเลย โดยที่สุดแม้กระทั่งรองเท้า ก็นำออกไปแล้วเก็บกวาดห้องทั้งหมด จัดตั้งที่นั่งสูง คร่อมระหว่างธรณีประตูห้อง ลาดตั่งต่ำอันหนึ่งเพื่อพระนางประภาวดี แล้วทูลว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า เชิญพระแม่เจ้าเสด็จมาเถิด หม่อมฉันจักหาเหาบนศีรษะของพระแม่เจ้าให้ แล้วเชิญให้พระนางประทับนั่งบนตั่งต่ำนั้น วางศีรษะของพระนาง ไว้ในระหว่างแห่งขาของตน แล้วเลือกหาไข่เหา สักประเดี๋ยวหนึ่งก็ทูลว่า ตายจริง บนศีรษะของพระแม่เจ้านี้ มีเหามากมายเหลือเกิน แล้วหยิบเอาเหาจากศีรษะของตน ออกมาวางไว้บนพระหัตถ์ของพระนาง แล้วทูลด้วยถ้อยคำอันเป็นที่รักว่า ขอพระแม่เจ้าจงทอดพระเนตรเหาบนศีรษะของพระแม่เจ้าซิว่า มีประมาณเท่าไร
เมื่อจะกล่าวถึงคุณงามความดีของพระมหาสัตว์เจ้า (พระเจ้ากุสราช) จึงกราบทูลเป็นคาถาว่า
พระราชบุตรีพระองค์นี้คงไม่ได้ประสบแม้ความสำราญ ในสำนักแห่งพระเจ้ากุสราชเสียเลย เป็นแน่. พระนางจึงไม่ทรงกระทำ แม้เพียงการปฏิสันถารในบุรุษผู้เป็นเจ้าพนักงานเครื่องต้น เป็นคนรับใช้ที่ไม่ต้องการด้วยค่าจ้าง.


เนื้อความแห่งคาถานั้น มีอธิบายว่า พระราชบุตรีพระองค์นี้ย่อมไม่ได้ความสุขสำราญ แม้มีประมาณเล็กน้อย ด้วยเครื่องระเบียบดอกไม้ของหอมเครื่องลูบไล้ผ้าและเครื่องประดับ จากในพระราชวังของพระเจ้ากุสราช ผู้เป็นจอมแห่งประชาชนในพระนครกุสาวดี ในกาลก่อน แม้สักอย่างเดียวเลย แม้วัตถุเพียงว่า หมากพลูที่พระเจ้ากุสราชจะพระราชทานแก่พระนางนี้ ก็คงจักไม่เคยมีเลย. เพราะเหตุไร? เพราะธรรมดาว่า ผู้หญิงทั้งหลายย่อมไม่อาจที่จะทำลายหัวใจ ในสามีผู้นอนทับอวัยวะแม้ในวันหนึ่งได้. ส่วนพระราชบุตรีนี้ย่อมไม่กระทำแม้เพียงว่าการปฏิสันถาร ในบุรุษผู้เป็นพนักงานเครื่องต้น ผู้รับจ้าง คือในบุรุษคนหนึ่ง ผู้เข้าถึงความเป็นผู้จัดแจงภัตร แสดงถึงว่าเป็นคนรับจ้าง แต่ไม่มีความต้องการแม้ด้วยราคาค่าจ้าง ละราชสมบัติมายอมเสวยทุกข์อยู่อย่างนี้ เพราะอาศัยพระแม่เจ้าผู้เดียวเท่านั้น ข้าแต่พระแม่เจ้า ถ้าแม้พระแม่เจ้าไม่มีความรักในพระเจ้ากุสราชนั้น พระราชาผู้เลิศเด่นในชมพูทวีปทั้งหมด ก็จะทรงลำบากเพราะอาศัยพระแม่เจ้า เพราะฉะนั้น ขอพระแม่เจ้าควรจะพระราชทานอะไรๆ สักเล็กน้อย แด่พระเจ้ากุสราชนั้นบ้างเถิด.
พระนางประภาวดีได้ทรงสดับถ้อยคำนั้นแล้ว ก็ทรงโกรธกริ้วต่อนางค่อม. ลำดับนั้น นางค่อมจึงคว้าพระนางที่พระศอจับเหวี่ยงเข้าไปในห้อง ส่วนตนยืนอยู่ข้างนอกปิดประตูแล้ว ฉุดเชือกสำหรับชักลูกดาลมาเก็บไว้. พระนางประภาวดีไม่อาจจะทรงจับเชือกนั้นได้ ประทับยืนอยู่ที่ใกล้พระทวาร เมื่อไม่อาจจะทรงเปิดประตูได้ จึงตรัสพระคาถา นอกนี้ว่า

นางขุชชานี้เห็นจะไม่ต้องถูกตัดลิ้น ด้วยมีดอันคม เป็นแน่ จึงมาพูดคำหยาบช้าอย่างนี้.


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุนิสิเตน ได้แก่ ด้วยมีดอันคมกริบที่ลับไว้แล้ว เป็นอย่างดี. บทว่า เอวํ ทุพฺภาสิตํ ความว่า นางขุชชานี้มากล่าวอยู่ซึ่งถ้อยคำอันเป็นทุพภาษิต ไม่สมควรที่ใครๆ จะพึงฟังได้อย่างนี้.

ลำดับนั้น นางค่อมก็ยังคงถือเชือกสำหรับชักดาล ยืนอยู่นั่นแล ทูลว่า ข้าแต่แม่เจ้าผู้หาบุญมิได้ ผู้ว่ายาก รูปร่างของท่านจักกระทำอะไรได้ เราทั้งหลายจักกินรูปร่างของท่านเลี้ยงชีวิตได้หรือ
เมื่อจะประกาศคุณงามความดีของพระโพธิสัตว์เจ้า ด้วยคาถา ๑๓ คาถา จึงกล่าวคาถาอันมีนามว่า ขุชชาครรชิต (ถ้อยคำข่มขู่ของนางค่อม) ดังต่อไปนี้

ข้าแต่พระนางประภาวดี พระนางอย่าทรงเทียบพระเจ้ากุสราชนั้น ด้วยพระรูปอันเลอโฉมของพระนางซิ ข้าแต่พระนางผู้มีความรุ่งเรือง พระนางจงกระทำไว้ในพระทัยว่า พระเจ้ากุสราชพระองค์นั้นทรงมีพระอิสริยยศอันเกรียงไกร แล้วจงกระทำความรักในพระเจ้ากุสราช ผู้มีความงามชนิดนี้
ข้าแต่พระนางประภาวดี พระนางอย่าทรงเทียบพระเจ้ากุสราชพระองค์นั้น ด้วยพระรูปอันเลอโฉมของพระนางซิ ข้าแต่พระนางผู้มีความรุ่งเรือง พระนางจงกระทำไว้ในพระทัยว่า พระเจ้ากุสราช พระองค์นั้นทรงมีพระราชทรัพย์เป็นอันมาก
ข้าแต่พระนางประภาวดี พระนางอย่าทรงเทียบพระเจ้ากุสราชพระองค์นั้น ด้วยพระรูปอันเลอโฉมของพระนางซิ ข้าแต่พระนางผู้มีความรุ่งเรือง พระนางจงกระทำไว้ในพระทัยว่า พระเจ้ากุสราชนั้นทรงมีทแกล้วทหารมาก...
ทรงมีพระราชอาณาจักรกว้างใหญ่...ทรงเป็นพระมหาราช...
ทรงมีพระสุรเสียงเหมือนเสียงราชสีห์...ทรงมีพระสุรเสียงไพเราะ...
ทรงมีพระสุรเสียงหยดย้อย...ทรงมีพระสุรเสียงกลมกล่อม...
ทรงมีพระสุรเสียงอ่อนหวาน...ทรงชำนาญทางศิลปะตั้งร้อยอย่าง...ทรงเป็นกษัตริย์...
พระแม่เจ้าประภาวดี พระนางอย่าทรงเทียบพระเจ้ากุสราชพระองค์นั้น ด้วยพระรูปอันเลอโฉมของพระนางซิ พระนางจงกระทำไว้ในพระทัยว่า พระราชาพระองค์นั้น มีพระนามเหมือนกับหญ้าคา ที่ท้าวสักกะทรงประทาน แล้วจงกระทำความรักในพระเจ้ากุสราช ผู้มีความงามอันนี้.


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มา นํ รูเปน ปาเมสิ อาโรเหน ปภาวติ ความว่า แน่ะพระนางประภาวดี แม่อย่าได้เปรียบเทียบพระเจ้ากุสราช ผู้เป็นจอมแห่งชนด้วยความเลอเลิศ และความเสื่อมโทรม ด้วยพระรูปของตนอย่างนี้ คือว่า จงถือเอาประมาณอย่างนี้. บทว่า มหายโส ความว่า แม่จงทำไว้ในพระทัยอย่างนี้ว่า พระเจ้ากุสราชพระองค์นั้น ทรงมีอานุภาพมาก. บทว่า รุจิเร ได้แก่ ในการเห็นสิ่งอันเป็นที่รัก. บทว่า กรสฺสุ ความว่า นางค่อมกล่าวว่า แม่เจ้าจงกระทำตัวให้เป็นที่รักแก่พระเจ้ากุสราชนั้น. ในข้อความทั้งหมดก็มีนัยเหมือนกันนี้ทีเดียว. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า มหายโส ได้แก่ มีบริวารมากมาย. บทว่า มหทฺธโน ได้แก่ มีโภคะมากมาย. บทว่า มหพฺพโล ได้แก่ มีเรี่ยวแรงมาก. บทว่า มหารฏฺโฐ ได้แก่ มีรัฐไพบูลย์. บทว่า มหาราชา ได้แก่ เป็นพระราชาผู้เลิศเด่นในชมพูทวีปทั้งสิ้น. บทว่า สีหสฺสโร ได้แก่ มีเสียงเสมอด้วยเสียงแห่งราชสีห์. บทว่า วคฺคุสฺสโร ได้แก่ มีเสียงประกอบด้วยลีลาศ. บทว่า พินฺทุสฺสโร ได้แก่ มีเสียงกลมไม่แตก. บทว่า มญฺชุสฺสโร ได้แก่ มีเสียงดี. บทว่า มธุรสฺสโร ได้แก่ มีเสียงอันประกอบด้วยความอ่อนหวาน. บทว่า สตสิปฺโป ได้แก่ พระองค์มีศิลปะตั้งหลายร้อยอย่าง ซึ่งมิได้ทรงศึกษาในสำนักของชนเหล่าอื่น สำเร็จขึ้นเองโดยกำลังความสามารถของพระองค์เอง. บทว่า ขตฺติโย ได้แก่ เป็นกษัตริย์ผู้บริสุทธิ์ไม่ได้เจือปน เกิดแล้วในเชื้อสายแห่งพระเจ้าโอกกากราช. บทว่า กุสราชา ได้แก่ พระองค์เป็นพระราชามีพระนามเสมอด้วย หญ้าคาที่ท้าวสักกเทวราชประทาน.
จริงอยู่ นางค่อมกล่าวว่า ขอพระนางจงรู้เถิดว่า ขึ้นชื่อว่าพระราชาองค์อื่น ผู้มีรูปเห็นปานนี้ไม่มีเลย ดังนี้แล้ว จงกระทำความรักแก่พระเจ้ากุสราชนี้ แล้วกล่าวถ้อยคำพรรณนาคุณงามความดีของพระเจ้ากุสราชนั้น ด้วยคาถาทั้งหลายมีประมาณเท่านี้.
พระนางประภาวดีทรงได้สดับคำของนางค่อมนั้นแล้ว จึงทรงตวาดนางค่อมว่า แน่ะแม่ค่อม เจ้าออกจะข่มขู่เกินไปแล้ว เราถึงอยู่ด้วยมือจักให้รู้ความที่เจ้ามีสามี แม้นางค่อมนั้นข่มขู่พระนางแล้ว ด้วยเสียงอันดังว่า หม่อมฉันรักษาพระนางอยู่ มิได้กราบทูลว่า พระเจ้ากุสราชเสด็จมาแก่พระราชบิดาของพระนาง เอาละ ถึงอย่างไร ในวันนี้หม่อมฉันจักกราบทูลให้พระราชาทรงทราบ แม้พระนางทรงดำริว่า ใครๆ พึงได้ยิน จึงตกลงยินยอมนางค่อม.
ลำดับนั้น แม้พระโพธิสัตว์เจ้า เมื่อไม่ได้เห็นพระนาง ทรงลำบากอยู่ด้วยพระกระยาหารที่ไม่ดี ด้วยการบรรทมอย่างลำบาก จึงทรงดำริว่า นางค่อมนี้จะมีประโยชน์อะไรแก่เรา เราอยู่มาตั้ง ๗ เดือนแล้ว ยังไม่ได้เห็นพระนางเลย นางค่อมนี้ช่างหยาบคายร้ายกาจเสียเหลือเกิน เราจักไปเยี่ยมพระราชมารดาและพระราชบิดาละ.
ในขณะนั้น ท้าวสักกเทวราชทรงรำพึงอยู่ ก็ทรงทราบว่า พระโพธิสัตว์นั้นทรงเบื่อหน่ายระอาพระทัย จึงทรงดำริว่า พระราชาไม่ได้เห็นพระนางประภาวดีมาถึง ๗ เดือน เราจักทำให้พระราชาได้เห็นสมประสงค์ จึงทรงเนรมิตบุรุษทั้งหลาย ให้เป็นทูตไปยังพระราชา ๗ พระนคร ทรงส่งข่าวสาสน์ไปเฉพาะแก่พระราชาแต่ละองค์ว่า พระนางประภาวดีทรงละทิ้งพระเจ้ากุสราชกลับมาแล้ว ถ้าพระองค์มีพระประสงค์ ก็จงเสด็จมารับเอาพระนางประภาวดีไปเถิด พระราชาทั้ง ๗ พระนครเหล่านั้น จึงพากันมาพร้อมด้วยบริวารใหญ่ เสด็จถึงกรุงสาคละ ต่างก็มิได้ทรงทราบถึงเหตุที่ต่างฝ่ายต่างมาของกันและกัน พระราชาเหล่านั้นต่างตรัสถามกันว่า พระองค์เสด็จมาทำไม ครั้นทรงทราบเรื่องราวนั้น ต่างองค์ก็ทรงพิโรธพระเจ้ามัททราชพระองค์นั้น ตรัสกันว่า
ได้ยินว่า พระเจ้ามัททราชจักยก ลูกสาวคนเดียวให้แก่ พระราชา ๗ พระนคร ท่านทั้งหลายจงดูความประพฤติอันไม่สมควรของพระราชานั้น พระองค์ช่างมาเยาะเย้ยพวกเราได้ เราทั้งหลายจงช่วยกันจับท้าวเธอให้ได้เถิด ดังนั้น ทุกๆ พระองค์จึงส่งพระราชสาสน์เข้าไปว่า พระเจ้ามัททราชจงให้พระนางประภาวดีแก่พวกเรา หรือว่าจะต่อยุทธ์ แล้วยกพลล้อมพระนครเข้าไว้ พระเจ้ามัททราชทรงสดับพระราชสาสน์ ก็ตกพระทัย พระกายสั่น จึงตรัสเรียกอำมาตย์ทั้งหลายมา ตรัสถามว่า เราจะทำอย่างไรกันดี.
ลำดับนั้น อำมาตย์ทั้งหลายจึงกราบทูลพระองค์ว่า ขอเดชะ พระราชาแม้ทั้ง ๗ พระองค์ เสด็จมาเพราะอาศัยพระนางประภาวดี ต่างพระองค์ก็ตรัสว่า ถ้าพระเจ้ามัททราชไม่ให้พระนาง เราทั้งหลายจักพังกำแพงเมืองเข้ามาสู่พระนคร จักยังพระเจ้ามัททราชนั้นให้ถึงความสิ้นชีวิตแล้ว จักพาเอาพระนางประภาวดีนั้นไป ดังนั้นเมื่อกำแพงยังไม่ทันจะพังนี้แหละ พวกเราควรจะรีบส่งพระนางประภาวดีไปให้กษัตริย์เหล่านั้นเสียก่อน ดังนี้แล้ว จึงกราบทูลคาถานี้ว่า

ช้างเหล่านี้ทั้งหมด เป็นสัตว์แข็งกระด้าง ตั้งอยู่เหมือนจอมปลวก จะพากันพังกำแพงเข้ามาเสียก่อน ขอพระองค์จงส่งข่าวแก่พระราชาเหล่านั้นว่า เชิญเสด็จมานำเอาพระนางประภาวดีนี้ไปเถิด.


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุปถทฺธา ได้แก่ เป็นสัตว์เข้มแข็งยิ่งนัก. บทว่า อาเนเตตํ ปภาวติ ความว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ขอพระองค์จงส่งพระราชสาสน์นี้ไปว่า เชิญเสด็จมารับพระนางประภาวดีนี้ไปเถิด เพราะฉะนั้น ขอพระองค์จงรีบส่งพระนางประภาวดีไปถวายพระราชาเหล่านั้นเสีย ก่อนที่ช้างเหล่านั้นยังไม่ทำลายกำแพงเมืองเข้ามา.

พระราชาทรงสดับคำนั้นแล้ว จึงตรัสว่า ถ้าเราส่งนางประภาวดีไปให้แก่กษัตริย์องค์หนึ่ง กษัตริย์ที่เหลือก็จักกระทำการรบ เราไม่อาจที่จะให้แก่กษัตริย์เมืองเดียวได้ ก็นางประภาวดีนี้ทิ้งพระราชาผู้เลิศในชมพูทวีปทั้งสิ้นมาเสีย ด้วยรังเกียจว่า เป็นผู้มีรูปร่างน่าเกลียด บัดนี้ จงรับผลของการกลับมานั้นเถิด เราจักฆ่านางเสียแล้วตัดออกเป็น ๗ ท่อน ส่งไปให้แก่พระราชา ๗ พระองค์ดังนี้แล้ว
จึงตรัสพระคาถา เป็นลำดับต่อไปว่า

เราจะบั่นนางประภาวดีนี้ออกเป็นเจ็ดท่อน แล้วจักให้แก่กษัตริย์ผู้เสด็จมา ณ ที่นี้เพื่อจะฆ่าเรา.


ถ้อยคำของพระเจ้ามัททราชนั้น ได้ปรากฏไปทั่วพระราชนิเวศน์ทั้งสิ้น
นางบริจาริกาทั้งหลาย ก็เข้าไปทูลแด่พระนางประภาวดี ว่า ได้ยินว่า พระราชาจะทรงบั่นพระแม่ออกเป็น ๗ ท่อนแล้ว ส่งไปให้พระราชา ๗ พระนคร. พระนางทรงสดับคำนั้นแล้ว ก็ทรงหวาดกลัวต่อมรณภัย เสด็จลุกจากที่ประทับมีพระภคินีทั้งหลายแวดล้อมแล้ว เสด็จไปยังพระตำหนักของพระมารดา.

พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสว่า

.. อรรถกถา กุสชาดก
อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [๑] [๒] [๓]
อ่านชาดก 280001อ่านชาดก 280090อรรถกถาชาดก 280094
เล่มที่ 28 ข้อ 94อ่านชาดก 280134อ่านชาดก 281045
อ่าน เนื้อความในพระไตรปิฎก
http://84000.org/tipitaka/atita100/v.php?B=28&A=734&Z=942
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด พระไตรปิฎกฉบับธรรมทาน
บันทึก  ๑๘  ตุลาคม  พ.ศ.  ๒๕๔๖
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]