ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 

อ่านชาดก 280001อ่านชาดก 280249อรรถกถาชาดก 280296
เล่มที่ 28 ข้อ 296อ่านชาดก 280315อ่านชาดก 281045
อรรถกถา กุณาลชาดก
ว่าด้วย นางนกดุเหว่า

หน้าต่างที่   ๓ / ๔.

พญานกกุณาละ กล่าวคาถาแสดงถึงเหตุผลแห่งทรัพย์ ๔ อย่างนั้นต่อไปว่า

คนฉลาด ย่อมไม่ให้ทรัพย์ ๔ อย่างอยู่ในตระกูลญาติ คือ โคผู้ ๑ โคนม ๑ ยานพาหนะ ๑ ภริยา ๑ เพราะเหตุว่า คนทั้งหลายที่ไม่มียานย่อมใช้รถที่ฝากไว้ ย่อมฆ่าโคตัวผู้เสียเพราะใช้ลากเข็ญเกินกำลัง และย่อมฆ่าลูกโคเพราะรีดนมแม่โคจนหมด ภริยาย่อมประทุษร้ายตระกูลญาติ.

ดูก่อนสหายปุณณมุขะเอ๋ย ของ ๖ อย่างนี้ เมื่อเกิดธุระจำเป็นขึ้นแล้ว ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลย อันได้แก่ ธนูไม่มีสาย ๑ ภริยาอยู่ในตระกูลญาติ ๑ เรืออยู่ฝั่งโน้น ๑ รถเพลาหัก ๑ มิตรอยู่ไกล ๑ สหายชั่ว ๑ ทั้ง ๖ ประการนี้ เมื่อเกิดธุระขึ้นแล้ว ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลย.

ดูก่อนสหายปุณณมุขะเอ๋ย หญิงย่อมดูหมิ่นสามีด้วยฐานะ ๘ อย่างคือ ดูหมิ่นเพราะความจน ๑ เพราะความเจ็บกระเสาะกระแสะ ๑ เพราะความชรา ๑ เพราะเป็นนักเลงสุรา ๑ เพราะโง่เซอะ ๑ เพราะมัวเมา ๑ เพราะหมุนตามการงานไม่ทัน ๑ เพราะทำให้ทรัพย์เกิดขึ้นไม่ได้ ๑
ต่อไปนี้เป็นคาถาอีกส่วนหนึ่ง อันแสดงถึงเหตุแห่งวัตถุทั้ง ๘ นั้นว่า
หญิงทั้งหลาย ย่อมดูหมิ่นสามีด้วยเหตุ ๘ ประการ
คือ ความจน ๑ เจ็บกระเสาะกระแสะ ๑ แก่ชรา ๑
เป็นนักเลงสุรา ๑ โง่เซอะ ๑ มัวเมา ๑ หมุนตามการงานไม่ทัน ๑
ทำทรัพย์ให้เกิดขึ้นเพื่อให้สำเร็จความปรารถนาทั้งหมดไม่ได้ ๑.

ดูก่อนสหายปุณณมุขะเอ๋ย หญิงทั้งหลายย่อมนำความประทุษร้ายมาให้สามีด้วยฐาน ๙ อย่าง คือ มักไปเที่ยวสถานที่รื่นรมย์ ๑ มักไปเที่ยวอุทยาน ๑ มักไปเที่ยวตามท่าน้ำ ๑ มักไปหาตระกูลญาติ ๑ มักไปหาตระกูลผู้อื่น ๑ มักใช้กระจกและประดับด้วยผ้า ๑ มักดื่มน้ำเมา ๑ มักเยี่ยมมองหน้าต่าง ๑ มักยืนแอบประตู ๑
ต่อไปนี้เป็นคาถาประพันธ์อีกส่วนหนึ่ง แสดงฐานะทั้ง ๙ นั้นว่า
หญิงทั้งหลาย ย่อมนำความประทุษร้ายมาด้วยฐานะ ๙ ประการเหล่านี้
คือ มักไปเที่ยวตามสถานรื่นรมย์ ๑ ไปเที่ยวสวน ๑ ไปสู่แม่น้ำ ๑
ไปหาตระกูลญาติ ๑ ไปหาตระกูลอื่น ๑ มักประดับด้วยผ้า ๑
มักดื่มน้ำเมา ๑ มักมองหน้าต่าง ๑ มักแอบประตู ๑.

ดูก่อนสหายปุณณมุขะเอ๋ย หญิงย่อมยั่วยวนชายด้วยฐานะ ๔๐ อย่าง คือ ทำดัดกาย ทำท่าก้ม ทำกรีดกราย ทำอาย ทำทีแกะเล็บ ทำท่าเอาเท้าเหยียบกัน ทำท่าเอาไม้ขีดแผ่นดิน ทำท่ากระโดดเอง ทำท่าให้เด็กกระโดด ทำท่าวิ่ง ให้เด็กวิ่ง เล่นกับเด็ก ให้เด็กเล่น จูบเด็ก ให้เด็กจูบ กินเอง ให้เด็กกิน ให้ของแก่เด็ก ทำทีขอคืน ทำท่าวอนขอ เลียนแบบเด็ก ทำเสียงสูง ทำเสียงต่ำ ทำพูดเปิดเผย ทำพูดกระซิบ ทำซิกซี้ ฟ้อน ขับ เป่า ร้องไห้ คร่ำครวญ กรีดกราย แต่งกาย ทำปึ่ง ทำยักเอว ทำส่ายผ้าที่ปิดของลับ ทำเลิกขา ทำปิดขา ทำท่าให้เห็นนม ทำให้เห็นรักแร้ ทำให้เห็นท้องน้อย ทำหลิ่วตา ทำเลิกคิ้ว ทำเม้มปาก ทำแลบลิ้น ทำขยายผ้าและกลับนุ่งผ้า ทำสยายและมุ่นผม.

ดูก่อนสหายปุณณมุขะเอ๋ย นักปราชญ์พึงทราบเถิดว่า หญิงเป็นคนประทุษร้ายด้วยฐานะ ๒๕ อย่าง คือ ย่อมพรรณนาการไปแรมคืนของสามี ย่อมไม่แสดงความยินดีต่อสามีที่กลับมาถึง ย่อมกล่าวโทษสามี ย่อมไม่กล่าวคุณงามความดีแห่งสามี ย่อมประพฤติสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่สามี ย่อมไม่ประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสามี ย่อมกระทำกิจที่ไม่สมควรแก่สามี ย่อมไม่ทำกิจที่สมควรแก่สามี ย่อมคลุมหัวนอนเบือนหน้าหนี ย่อมนอนพลิกกลับไปกลับมา ย่อมนอนถอนใจยาวทำวุ่นวาย ย่อมทำระทมทุกข์ ย่อมไปถ่ายอุจจาระปัสสาวะบ่อยๆ ย่อมประพฤติตรงกันข้าม ย่อมเงี่ยหูฟัง เพราะได้ยินคนอื่นพูด ย่อมล้างผลาญทรัพย์สมบัติ ย่อมทำทอดสนิทชิดชมกับชายผู้คุ้นเคย ย่อมออกนอกบ้านเสมอ ย่อมประพฤติผิดจากความดี ย่อมประพฤตินอกใจไม่เคารพในสามีและคิดประทุษร้าย ย่อมยืนที่ประตูเนืองๆ ย่อมทำให้ชายอื่นเห็นรักแร้ ย่อมทำให้ชายอื่นเห็นนม ย่อมไปเพ่งมองดูทิศต่างๆ
ดูก่อนสหายปุณณมุขะ บัณฑิตพึงทราบเถิดว่า หญิงเป็นคนประทุษร้ายด้วยฐานะ ๒๕ อย่างเหล่านี้
มีคาถาประพันธ์กล่าวฐานะ ๒๕ อย่างเหล่านี้ไว้อีกส่วนหนึ่งว่า
หญิงย่อมเป็นคนประทุษร้ายด้วยฐานะ ๒๕ อย่าง คือ ย่อมพรรณนาการไปแรมทางไกลของสามี เมื่อสามีไปแล้วก็ไม่เศร้าโศกถึง ครั้นเห็นสามีกลับมาก็ไม่แสดงความยินดี ย่อมไม่กล่าวถึงคุณงามความดีของสามีในกาลไหนๆ เลย เหล่านี้เป็นลักษณะของหญิงผู้ประทุษร้ายสามี
หญิงเป็นผู้ไม่สำรวม ย่อมประพฤติสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่สามี ย่อมทำประโยชน์ของสามีให้เสื่อม ย่อมกระทำกิจที่ไม่สมควรแก่สามี ย่อมคลุมหัวนอนเบือนหน้าไปทางอื่น เหล่านี้เป็นลักษณะของหญิงผู้ประทุษร้ายสามี
ย่อมนอนพลิกกลับไปกลับมา นอนถอนหายใจทำวุ่นวาย ย่อมทำระทมทุกข์ ย่อมไปอุจจาระปัสสาวะบ่อยๆ เหล่านี้เป็นลักษณะของหญิงผู้ประทุษร้ายสามี
ย่อมประพฤติตรงกันข้าม ไม่กระทำกิจที่สมควรทำแก่สามี ย่อมเงี่ยหูฟังเมื่อผู้อื่นพูด ล้างผลาญทรัพย์สมบัติ กระทำความสนิทสนมกับชายอื่น เหล่านี้เป็นลักษณะของหญิงผู้ประทุษร้ายสามี
ย่อมกระทำทรัพย์สมบัติที่สามีได้มาโดยความยากลำบาก ทำมาได้โดยฝืดเคือง เก็บสะสมไว้ได้ด้วยความยากแค้นให้พินาศไป อนึ่ง ย่อมกระทำความสนิทสนม กับชายอื่นที่คุ้นเคยกัน เหล่านี้เป็นลักษณะของหญิงผู้ประทุษร้ายสามี
ย่อมออกนอกบ้านเสมอ ประพฤติผิดจากความดี มีจิตคิดประทุษร้ายในสามีอยู่เป็นนิตย์ เป็นผู้ประพฤตินอกใจ ไม่เคารพ เหล่านี้เป็นลักษณะของหญิงผู้ประทุษร้ายสามี
นางย่อมยืนอยู่ที่ใกล้ประตูเนืองๆ แสดงนมบ้าง รักแร้บ้าง มีจิตวอกแวกเพ่งดูทิศต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นลักษณะของหญิงผู้ประทุษร้ายสามี
แม่น้ำทั้งปวงมีทางไปอันคดเคี้ยว และป่ารกเรี้ยวด้วยต้นไม้ ฉันใด หญิงทั้งปวงเมื่อได้ช่องที่ลับ ก็ย่อมทำกรรมอันลามกได้ฉันนั้น ถ้าว่าได้โอกาส ได้ที่ลับ หรือได้ช่องเช่นนั้นแล้ว ที่หญิงทั้งปวงจะไม่ทำลามกไม่มีเลย ไม่ได้คนอื่นก็ทำกับคนเปลี้ย
ในจำพวกนารีที่หลายใจ ไม่มีใครข่มขี่ได้ เป็นผู้กระทำให้เกิดความยั่วยวนแก่ชายทั้งหลาย หากนารีพวกใด ถึงจะทำให้เกิดปีติได้โดยประการทั้งปวงก็ดี ก็ไม่ควรระเริงด้วย เพราะว่า นารีเหล่านั้นเสมอด้วยท่าน้ำ.


พระอรรถกถาจารย์กล่าวอธิบายไว้ว่า คำว่า โคผู้ โคนม ท่านกล่าวไว้ด้วยอำนาจลิงควิปลาส. คำว่า ภริยาย่อมประทุษร้ายตระกูลญาติ อธิบายว่า นางเป็นผู้ไม่มีความกลัว ย่อมประพฤติอนาจาร แม้กับพวกทาสเป็นต้นที่คุ้นเคยกัน ในตระกูลญาตินั้น จำเดิมแต่กาลที่ตนเป็นเด็กทีเดียว ถึงพวกญาติจะรู้ ก็มิได้กระทำการข่มขี่ ปิดบังเสีย ซึ่งโทษอันมิใช่เกียรติของตน ย่อมทำเป็นเหมือนไม่รู้.
คำว่า ใช้ประโยชน์ไม่ได้ อธิบายว่า หวังประโยชน์ไม่ได้ ไม่พึงได้ประโยชน์เลย คือ กระทำกิจไม่ได้. คำว่า ไม่มีสาย คือธนูที่ปราศจากสาย. คำว่า สหายลามก หมายถึงมิตรชั่ว.
คำว่า เพราะความจน คือ เพราะความขัดสน แม้ในบททั้งหมดก็มีนัยเหมือนกัน
อธิบายความในคาถานั้นว่า สามีที่ยากจน ย่อมไม่อาจที่จะช่วยเหลือตนได้ด้วยกิเลส เพราะเครื่องประดับเป็นต้นไม่มี เพราะฉะนั้น ภรรยาจึงดูหมิ่นสามีด้วยประการฉะนี้ แม้สามีที่เจ็บป่วย ก็ไม่อาจจะช่วยเหลืออะไรได้ด้วยวัตถุกามและกิเลสกาม สามีที่แก่เฒ่าชรา ก็ไม่สามารถที่จะหยอกเย้าและทำความยียวนให้เกิดขึ้นได้ ทั้งทางกายและทางจิต สามีที่เป็นนักเลงสุรา ก็มักพาเอาเครื่องประดับมีสร้อยข้อมือของนางเป็นต้น เข้าไปยังโรงสุราเสียด้วย.
คำว่า โง่ อธิบายว่า สามีที่เป็นอันธพาล ย่อมไม่ฉลาดในการยียวน.
คำว่า มัวเมา อธิบายว่า สามีที่เป็นนักเลง ย่อมอภิรมย์กับพวกทาสีในเรือนของตน และย่อมด่าว่าภรรยา ภรรยาจึงดูหมิ่นสามีด้วยเหตุนั้นแล ภรรยาย่อมด่าว่าสามี ผู้ไม่อนุวัตรตามในกิจการทั้งปวงว่า สามีของเรานี้หมดเดชเสียแล้ว จึงอนุวัตรตามการงานไม่ทันเราเลย. ส่วนสามีคนใดมอบทรัพย์ทั้งหมดให้ปกครองสมบัติ ภรรยาก็ย่อมยึดเอาธนสารสมบัติทั้งหมดไว้ในเงื้อมมือ ดูหมิ่นสามีประดุจทาส ปรารถนาสมบัติก็ฉุดคร่าไล่สามีออกไปเสียนอกบ้าน ด้วยคำว่า ประโยชน์อะไรด้วยตัวท่าน. คำว่า ถึงความโง่เซอะ คือความเป็นผู้โง่เขลา. คำว่า ผู้มัวเมา คือ เลินเล่อ. คำว่า หญิงทั้งหลายย่อมนำความประทุษร้ายมาให้สามี. อธิบายว่า ภรรยาย่อมนำความประทุษร้ายมาให้สามี ประทุษร้ายสามี คือ กระทำกรรมอันลามกแก่สามี. คำว่า มักไปเที่ยวตามสถานที่รื่นรมย์ อธิบายว่า ภรรยาบอกลาสามีบ้าง ไม่บอกบ้าง ไปเที่ยวยังสวนดอกไม้เป็นต้นแห่งใดแห่งหนึ่งเนืองๆ ประพฤติอนาจารในสวนนั้น กล่าวหลอกลวงสามีผู้โง่เขลา ให้เชื่อว่า วันนี้ เราจะไปกระทำพลีกรรมแก่รุกขเทวดาในสวนดังนี้เป็นต้น. ฝ่ายสามีที่เป็นคนฉลาด ย่อมฉลาด ย่อมรู้ทันว่า หญิงคนนี้คงจะไปประพฤติอนาจารในที่นั้นเป็นแน่ แล้วไม่ให้นางไปอีก
ในบททั้งหมด บัณฑิตพึงทราบข้อความอย่างนี้เหมือนกัน คำว่า ตระกูลผู้อื่น หมายถึง บ้านเรือนของคนที่เคยเห็นกัน และเคยคบกันเป็นต้น นางกล่าวกะสามีเป็นต้นว่า กำไรที่เราประกอบขึ้นไว้ในตระกูลโน้นมีอยู่ ทรัพย์ที่ให้เป็นของขอยืมในตระกูลโน้นมีอยู่ เราจะไปจัดแจงเรื่องนั้นให้สำเร็จดังนี้แล้วก็ไป. คำว่า มักเยี่ยมมองหน้าต่าง อธิบายว่า ชอบมองตามช่องมีช่องหน้าต่างเป็นต้น. คำว่า มักยืนแอบประตู อธิบายว่า ยืนอยู่ที่ประตูแสดงรูปร่างทรวดทรงของตน. คำว่า ยั่วยวน คือ กล่าวยียวนสามี อธิบายว่า หญิงผู้อยู่ในสำนักของสามีแล้วแสดงนิมิตแก่ชายอื่น.
คำว่า ดัดกาย อธิบายว่า กระทำความสังเกตไว้ก่อนทีเดียวว่า ท่านพึงรู้ว่าโอกาสมีหรือไม่มี ด้วยความสำคัญว่า เราเห็นเขาแล้วจักทำการดัดกาย แม้มิได้กระทำความสังเกต ยืนอยู่ข้างหลังสามี ย่อมทำดัดกาย คือแสดงอาการดัดกาย ด้วยคิดว่า ชายคนนี้จักใฝ่ฝันถึงเราอย่างนี้. คำว่า ทำก้ม อธิบายว่า แกล้งทำวัตถุอย่างใดอย่างหนึ่งให้ตกลงบนพื้น ทำเป็นเหมือนก้มลงเก็บของนั้นแสดงหลัง. คำว่า ทำกรีดกราย อธิบายว่า แสดงอาการกรีดกราย ด้วยอิริยาบถทั้งหลายมีการเดินเป็นต้น หรือด้วยเครื่องประดับ. คำว่า ทำอาย อธิบายว่า ทำเป็นอายแล้วปกปิดสรีระด้วยผ้า หรือแอบอยู่ตามบานประตูหรือฝา. คำว่า ทำแกะเล็บ อธิบายว่า เอาเล็บเท้ากับเล็บเท้า เอาเล็บมือกับเล็บมือครูดสีกัน. คำว่า ไม้ หมายถึงท่อนไม้. คำว่า เด็ก อธิบายว่า จับบุตรของตนเองบ้าง บุตรของคนอื่นบ้าง แล้วยกชูขึ้นเองบ้าง ให้คนอื่นยกชูขึ้นบ้าง. คำว่า เล่น อธิบายว่า เล่นเองบ้าง ให้เด็กเล่นบ้าง แม้ในการจูบเป็นต้นก็มีนัยเหมือนกัน. คำว่า ให้ อธิบายว่า ให้ผลไม้บ้าง ใบไม้ ดอกไม้บ้างอย่างใดอย่างหนึ่งแก่เด็กนั้น. คำว่า ขอ คือ ขอคืนสิ่งเหล่านั้นแล. คำว่า ทำเอาอย่าง คือทำตามอย่างที่เด็กทำ. คำว่า สูง หมายถึง เสียงสูง ด้วยอำนาจทำเสียงดังหรือชมเชย. คำว่า ต่ำ หมายถึง เสียงต่ำ ด้วยอำนาจทำเสียงเล็ก ด้วยอำนาจการกล่าวคำที่ไม่พอใจ หรือด้วยอำนาจการกล่าวคำหมิ่นประมาท. คำว่า พูดเปิดเผย หมายถึง พูดไม่ปกปิด ในท่ามกลางชนหมู่มาก. คำว่า พูดกระซิบ หมายถึง พูดปกปิดในที่ลับ. คำว่า ฟ้อน หมายถึงกระทำนิมิตด้วยการฟ้อนเป็นต้นเหล่านี้. คำว่า ร้องไห้ คือ กระทำนิมิตด้วยเหตุแห่งการร้องไห้ บัณฑิตพึงกล่าวถึงเรื่องของนางพราหมณีของปุโรหิตที่เศรษฐีบุตรอุ้มขึ้นสู่ข้างทางหน้าต่าง ในคืนวันฝนตกคืนหนึ่งพามาแล้ว นำมาเป็นตัวอย่าง. คำว่า ทำซิกซี้ หมายถึงหัวเราะด้วยเสียงอันดัง หญิงย่อมกระทำนิมิตแม้ด้วยอาการอย่างนี้. คำว่า รักแร้ หมายถึง รักแร้ทั้งสองข้าง. คำว่า ปาก หมายถึงริมปากข้างบน. คำว่า เม้ม คือ เอาฟันเม้ม. คำว่า ผม หมายถึงมวยผม อธิบายว่า หญิงย่อมกระทำนิมิตแก่ชายอื่น แม้ด้วยการสยายและมุ่นผมอย่างนี้ อีกอย่างหนึ่ง นางกระทำด้วยคิดว่า ใครๆ จักกำหนัดหรือไม่กำหนัดก็ตามแล้ว จักกำหนัด.
คำว่า พึงทราบเถิดว่าหญิงเป็นคนประทุษร้าย อธิบายว่า บัณฑิตพึงทราบไว้เถิดว่า หญิงนี้ประทุษร้าย ในเราคือโกรธเรา ครั้นโกรธแล้วจักกระทำอนาจาร. คำว่า แรมคืน อธิบายว่า หญิงกล่าวคำเป็นต้นว่า ทรัพย์ที่เราประกอบขึ้นไว้ในบ้านโน้นจักฉิบหาย ท่านจงไปจัดแจงทรัพย์นั้นให้สำเร็จดังนี้ เมื่อสามีไปแล้ว ปรารถนาจะกระทำอนาจารจึงพรรณนาการไปแรมคืน. คำว่า สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ หมายถึง สิ่งที่มิใช่ความเจริญ. คำว่า มิใช่กิจ คือ มิใช่กิจที่ควรกระทำ. คำว่า คลุมหัว คือนุ่งอย่างมั่นคง. คำว่า พลิกกลับไปกลับมา อธิบายว่า พลิกไปข้างโน้นทีข้างนี้ที. คำว่า ทำวุ่นวาย คือทำให้เกิดความโกลาหล แกล้งปลุกคนใช้ที่นอนอยู่ใกล้เท้าให้จุดไฟ กระทำความอึกกระทึกครึกโครมมีประการต่างๆ ย่อมยังความรื่นรมย์ทางกิเลสของสามีนั้นให้พินาศขาดไป. คำว่า ทำระทมทุกข์ คือ นางกล่าวคำเป็นต้นว่า เราปวดศีรษะเหลือเกิน. คำว่า ตรงกันข้าม อธิบายว่า ย่อมเป็นผู้มีปกติประพฤติเป็นข้าศึก ด้วยอำนาจแห่งอาการต่างๆ เป็นต้นว่า เมื่อสามีต้องการอาหารเย็น ก็ให้อาหารร้อนดังนี้. คำว่า ล้างผลาญทรัพย์สมบัติ อธิบายว่า ทำโภคสมบัติที่สามีหามาได้ด้วยความเหนื่อยยาก ให้ฉิบหายไปด้วยความเป็นคนเกะกะเพราะสุราเป็นต้น. คำว่า ความสนิทชิดชม ได้แก่ ทำความสนิทสนมด้วยอำนาจกิเลส. คำว่า ออกนอกบ้านเสมอ อธิบายว่า ออกนอกบ้านเพื่อเลือกหาชายชู้. คำว่า ในสามี ได้แก่ ย่อมเป็นผู้ประพฤตินอกใจด้วยความไม่เคารพในสามี และเป็นผู้มีจิตคิดประทุษร้าย.
คำว่า หญิงทั้งปวง อธิบายว่า เว้นเสียจากหญิงผู้ทำกิเลสให้เบาบางด้วยวิปัสสนาแล้ว หญิงที่เหลือย่อมกระทำบาปทั้งหมด. คำว่า เมื่อได้ คือเมื่อมีโอกาส. คำว่า ช่อง อธิบายว่า เมื่อได้ที่ลับพอจะปรึกษากันและพอจะร่วมกันได้. คำว่า คราวหรือที่ลับ อธิบายว่า พึงกระทำโอกาสหรือที่ลับ เพื่อต้องการกระทำบาป. คำว่า โน เป็นเพียงนิบาต. คำว่า ได้ หมายความว่า ได้แล้ว. อีกอย่างหนึ่ง บาลีเป็น อลทฺธา ดังนี้ก็มี อธิบายว่า เมื่อไม่ได้บุรุษที่สมบูรณ์คนอื่น ก็พึงกระทำกรรมอันเป็นบาป แม้กับชายเปลี้ย หรือกับชายที่มีรูปร่างน่าเกลียดยิ่งกว่านั้น. คำว่า ทำให้เกิดปีติ คือทำให้เกิดความยินดียิ่งกว่า. คำว่า ข่มขี่ อธิบายว่า ไม่อาจที่จะแนะนำด้วยการข่มขี่ได้. คำว่า เสมอด้วยแม่น้ำ อธิบายว่า ท่าน้ำมิได้หวงห้ามใครๆ ในบรรดาคนที่สูงสุด และต่ำที่สุดผู้ลงไปอาบน้ำ ฉันใด แม้หญิงเหล่านี้เมื่อมีที่ลับหรือคราวหรือช่อง ก็ย่อมไม่ห้ามบุรุษใดๆ เหมือนกันฉะนั้น.

ต่อไปนี้ พระอรรถกถาจารย์นำเรื่องต่างๆ มาสาธกไว้ว่า
ในอดีตกาล มีพระราชาพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า กินนร เสวยราชย์อยู่ในเมืองพาราณสี มีพระรูปโฉมงามยิ่งนัก อำมาตย์พันหนึ่งย่อมนำหีบเครื่องหอมมาถวายทุกๆ วัน เมื่อประพรมเครื่องหอมในพระราชนิเวศน์ทั่วแล้ว ก็ผ่าหีบทำเป็นไม้ฟืนหอม หุงพระกระยาหารถวาย พระเจ้ากินนรมีปุโรหิตมีปัญญาหลักแหลมผู้หนึ่งชื่อปัญจาลจัณฑะ มีชนมายุเท่ากับพระองค์ ก็ที่ต่อกับปราสาทของพระเจ้ากินนรนั้น มีต้นหว้าต้นหนึ่งอยู่ในกำแพงวัง กิ่งหว้าทอดข้ามกำแพงออกไป มีบุรุษเปลี้ยคนหนึ่ง รูปร่างชั่วช้าน่าเกลียด อาศัยอยู่ที่ร่มไม้หว้า
อยู่มาวันหนึ่ง นางกินรีเทวีเยี่ยมมองไปตามช่องหน้าต่าง เห็นบุรุษเปลี้ยนั้นแล้ว ก็ผูกพันรักใคร่ เวลาราตรี ยังพระเจ้ากินนรให้ทรงยินดีด้วยกิเลสแล้ว และบรรทมหลับไป นางจึงค่อยๆ ลุกขึ้นจัดอาหารอันประณีตมีรสอร่อย ใส่ขันทองห่อไว้ที่ชายพก แล้วก็ไต่เชือกลงทางหน้าต่าง ปีนขึ้นบนต้นหว้าไต่ลงมาตามกิ่ง เชิญบุรุษเปลี้ยให้กินอาหาร แล้วทำการอันลามกกับบุรุษเปลี้ยสำเร็จแล้ว ก็กลับขึ้นปราสาทตามทางเดิม ประพรมสรีระกายด้วยของหอมแล้ว ก็เข้าไปนอนกับพระเจ้ากินนร ประพฤติลามกอย่างนี้เสมอมา พระเจ้ากินนรก็มิได้ทรงทราบ จนอยู่มาวันหนึ่งเสด็จประทักษิณพระนคร เวลาเสด็จกลับพระราชนิเวศน์ ได้ทอดพระเนตรเห็นบุรุษเปลี้ยมีอาการน่ากรุณาอย่างยิ่ง จึงตรัสถามปุโรหิตว่า เห็นมนุษย์เปรตนั่นหรือไม่ ครั้นปุโรหิตรับพระราชโองการว่า เห็นแล้ว จึงตรัสถามต่อไปว่า บุรุษที่มีรูปร่างน่าเกลียดเห็นสภาวะปานฉะนี้ จะมีหญิงคบหาด้วยอำนาจฉันทราคะบ้างหรือไม่ บุรุษเปลี้ยได้ฟังพระราชดำรัสดังนั้น ก็เกิดมานะขึ้นมา พระเจ้าแผ่นดินพูดอะไรเช่นนี้ ชะรอยจะไม่รู้ว่าเทวีของตัวมาหาเรา คิดแล้วก็ประนมมือไหว้ต้นหว้ากล่าววาจาค่อยๆ ว่า เชิญเทพยดาซึ่งเป็นเจ้าสิงอยู่ที่ต้นหว้าฟังเราเถิด คนอื่นๆ นอกจากท่านแล้ว ก็ไม่มีใครรู้.
ปุโรหิตเห็นกิริยาของบุรุษเปลี้ยจึงคิดว่า พระอัครมเหสีของพระราชา คงได้ไต่ต้นหว้ามาทำลามกกับบุรุษเปลี้ยนี้เป็นแน่แล้ว คิดแล้ว จึงทูลถามว่า ขอพระราชทาน ในเวลาราตรี พระองค์ทรงสัมผัสสรีระกายแห่งพระเทวีเป็นเช่นไรบ้าง. พระเจ้ากินนรตรัสตอบว่า สิ่งอื่นก็ไม่แลเห็น เป็นแต่เวลาเที่ยงคืนสรีระกายของนางเย็น. ปุโรหิตจึงทูลว่า ขอพระราชทาน ถ้ากระนั้น หญิงอื่นยกไว้ก่อนเถิด. พระนางกินรีอัครมเหสีของพระองค์ได้ประพฤติแล้ว ซึ่งกรรมอันลามกกับบุรุษเปลี้ยนี้. พระเจ้ากินนรตรัสตอบว่า สหายพูดอะไรกัน นางกินรีสมบูรณ์ด้วยรูปร่างอันอุดมเห็นปานนั้น จะมาร่วมอภิรมย์กับบุรุษเปลี้ยอันน่าเกลียดอย่างยิ่งนี้ได้. ขอพระราชทาน ถ้ากระนั้น พระองค์จงสะกดรอยตามคอยจับดูเถิด. พระเจ้ากินนรก็ทรงรับ ครั้นเสวยอาหารเย็นแล้ว ก็เข้าบรรทมกับนางกินรี ตั้งพระหฤทัยคอยสะกดจับ พอถึงเวลาเคยบรรทมหลับตามปกติ ก็ทรงแสร้งทำเหมือนหลับไป ฝ่ายนางกินรีก็ลุกขึ้นทำตามเคย พระเจ้ากินนรก็สะกดรอยตามไปยืนอยู่ที่เงาต้นหว้า วันนั้น บุรุษเปลี้ยโกรธขู่ตะคอกว่า ทำไมถึงมาช้า แล้วเอามือตบเข้าที่กกหูนางเทวี นางเทวีก็ร้องขอโทษว่า นายอย่าเพิ่งโกรธเลย ข้าพเจ้ารอให้พระราชาหลับจึงมาได้ ว่าแล้วก็ประพฤติปฏิบัติบุรุษเปลี้ยเหมือนหญิงบำเรอในเรือน เมื่อบุรุษเปลี้ยตบหูนางกินรีนั้น กุณฑลหน้าราชสีห์หลุดจากหู กระเด็นไปอยู่ใกล้พระบาทพระเจ้ากินนร พระเจ้ากินนรเห็นสมควรจึงเก็บเอาไปเป็นพยาน ก็ทรงเก็บเอาไป ฝ่ายนางกินรีประพฤติอนาจารกับบุรุษเปลี้ยนั้นแล้ว ก็กลับไปโดยนัยหนหลัง เริ่มจะนอนด้วยพระราชสามี.
พระเจ้ากินนรก็ทรงห้ามเสีย พอรุ่งขึ้น จึงรับสั่งให้คนไปบอกว่า ให้นางกินรีเทวีประดับเครื่องอลังการที่เราให้ทั้งหมดเข้ามาเฝ้า. นางกินรีก็สั่งให้ทูลว่า กุณฑลหน้าราชสีห์ส่งไปไว้ที่ช่างทองเสียแล้ว นางก็มิได้มาเฝ้า ครั้นพระเจ้ากินนรรับสั่งให้หาอีก นางก็ประดับกุณฑลข้างเดียวเข้าไปเฝ้า พระเจ้ากินนรตรัสถามว่า กุณฑลไปไหน. นางก็ทูลว่า ส่งไปที่ช่างทอง. พระเจ้ากินนรจึงรับสั่งให้หาช่างทองมาแล้ว ตั้งกระทู้ถามว่า ทำไมเจ้าจึงไม่ให้กุณฑลแก่นางกินรี. ช่างทองก็ทูลว่า มิได้รับเอาไว้เลย. พระเจ้ากินนรก็ทรงพระพิโรธตรัสว่า เฮ้ย อีนางจัณฑาล คนอย่างกูนี้แหละจะเป็นช่างทองของมึงละ ตรัสแล้วก็ขว้างกุณฑล ลงไปตรงหน้านางกินรีแล้ว หันมาตรัสกับปุโรหิตว่า สหายพูดจริงทีเดียว จงไปสั่งให้ตัดหัวอีนี่เสีย.
ปุโรหิตก็พานางกินรีไปซ่อนไว้ในที่แห่งหนึ่ง ภายในพระราชวังนั้น แล้วกลับไปเฝ้ากราบทูลว่า ขอพระราชทาน อย่าได้ทรงกริ้วนางกินรีเลย หญิงทั้งปวงย่อมเหมือนกันอย่างนี้ทั้งหมด ถ้าไม่ทรงเชื่อ ต้องพระประสงค์ทรงทราบเรื่องทุศีลของหญิงทั้งหลายแล้ว ข้าพระองค์จะสำแดงให้ดู ความลามกความมีมายาของหญิงทั้งหลาย เชิญเสด็จปลอมพระองค์ ประพาสไปในชนบทด้วยกันเถอะ. พระเจ้ากินนรก็ทรงรับ ทรงมอบราชสมบัติให้พระมารดาแล้ว ก็เสด็จซอกซอนไปกับปุโรหิต.
เมื่อพระเจ้ากินนรกับปุโรหิตไปได้ประมาณโยชน์หนึ่งแล้ว พักนั่งอยู่ข้างบนหนทางใหญ่ มีกุฏุมพีคนหนึ่งกระทำวิวาหมงคลกันเพื่อบุตรชาย ให้นางกุมารีคนหนึ่งนั่งอยู่ในยานกำบัง แล้วพาผ่านมาด้วยบริวารเป็นอันมาก ปุโรหิตได้เห็นแล้วจึงทูลว่า ขอพระราชทาน ถ้าต้องพระประสงค์ ข้าพระองค์สามารถจะให้นางกุมารีคนนี้ทำลามกกับพระองค์ได้. พระเจ้ากินนรตรัสว่า เพื่อนพูดอะไร เขามากับบริวารเป็นอันมาก ท่านไม่สามารถจะทำได้. ปุโรหิตจึงทูลว่า ขอพระราชทาน ถ้าฉะนั้น ก็คอยทอดพระเนตร ทูลแล้วก็ลอบไปข้างหน้า วงม่านเข้าใกล้ๆ หนทาง ให้พระเจ้ากินนรประทับในม่าน แล้วตนก็ไปนั่งร้องไห้อยู่ข้างทาง พอกุฏุมพีนั้นเห็นเข้า ก็ถามว่า พ่อนั่งร้องไห้ทำไม. จึงตอบว่า ข้าแต่นาย ภริยาของข้าครรภ์แก่ ข้าพาเดินทางมาหวังจะไปยังตระกูลของเขา พอมาถึงกลางทาง นางก็เจ็บท้องทนลำบากอยู่ในม่าน เพื่อนหญิงสักคนหนึ่งก็ไม่มี ตัวข้าก็ไม่กล้าเข้าไป ไม่รู้ว่าจะเป็นอะไรต่อไป ถ้าได้หญิงสักคนหนึ่งจะค่อยยังชั่ว. กุฏุมพีนั้นจึงตอบว่า ถ้ากระนั้น อย่าร้องไห้ไปเลย พวกหญิงของเราที่มาด้วยกันมีเป็นอันมาก พอจะไปช่วยได้สักคนหนึ่ง. ปุโรหิตจึงกล่าวว่า ถ้ากระนั้นขอให้นางกุมารีคนนี้แหละไป จักได้เป็นสวัสดิมงคลแก่เขา. กุฏุมพีนั้นคิดเห็นว่า ชายผู้นั้นพูดถูกแล้ว สวัสดิมงคลจักมีแก่สะใภ้ของเราเป็นแน่ และด้วยนิมิตนี้ สะใภ้ของเรา จักเจริญด้วยบุตรและธิดา คิดแล้ว จึงส่งนางกุมารีคนนั้นไป นางกุมารีนั้นก็เข้าไปในม่าน พอเห็นพระเจ้ากินนรเข้าก็เกิดรักใคร่ ได้ประพฤติลามกด้วยกันแล้ว พระราชาทรงถอดพระธำมรงค์พระราชทาน พอสำเร็จกิจ นางกุมารีนั้นกลับมา ชนทั้งหลายก็ถามว่า เขาคลอดลูกเป็นชายหรือหญิง นางก็ตอบว่า เป็นชายงามเหมือนดังทอง. กุฏุมพีก็พานางกุมารีไป ฝ่ายปุโรหิตก็กลับมาเฝ้าพระเจ้ากินนรแล้วทูลว่า ขอพระราชทาน พระองค์ได้ทอดพระเนตรแล้ว นางกุมารีรุ่นสาวยังลามกถึงเพียงนี้ ก็จะประสาอะไรถึงหญิงพวกอื่น อ้อ พระองค์ประทานอะไรแก่นางไปบ้างหรือเปล่า. พระเจ้ากินนรตรัสว่า เราให้แหวนที่ติดมือมาแก่นางไป. ปุโรหิตจึงทูลว่า พระองค์ประทานมันทำไม ว่าแล้วก็วิ่งไปยึดยานไว้ ครั้นคนทั้งหลายถามว่าอะไรกัน. ก็ตอบว่า นางกุมารีคนนี้หยิบเอาแหวนที่วางไว้ข้างศีรษะของนางพราหมณีภรรยาของข้ามา ขอแหวนให้ข้าเถิดแม่. นางกุมารียื่นมือออกไปหยิกมือปุโรหิต ตะคอกว่า ตาโจร เอาของแกไปเถิด แล้วส่งแหวนคืนให้.
ปุโรหิตสำแดงหญิงที่ประพฤตินอกใจผัวหลายคน ถวายพระเจ้ากินนร ด้วยอุบายต่างๆ อย่างอื่น แล้วทูลว่า ขอพระราชทาน ที่นี่เท่านี้ก็พอแล้ว ขอเชิญเสด็จไปที่อื่นบ้างเถิด. พระเจ้ากินนรตรัสว่า ถึงจะเที่ยวไปให้ทั่วชมพูทวีป หญิงทั้งปวงก็จักเป็นเช่นเดียวกันหมด เราจะต้องการดูอะไรมันอีกเล่า กลับเถิด ตรัสแล้วก็เสด็จกลับเมืองพาราณสี. ปุโรหิตจึงทูลขอประทานโทษนางกินรีว่า ขอพระราชทาน ขึ้นชื่อว่า หญิงทั้งหลายแล้วย่อมลามกอย่างนี้ ปกติของเขาเป็นอย่างนี้เอง พระองค์จงงดโทษนางกินรีเสียเถิด พระเจ้ากินนรก็ทรงยกโทษให้ รับสั่งให้ไล่ไปเสียจากพระราชนิเวศน์ เมื่อทรงขับไล่จากตำแหน่งแล้ว ก็ทรงตั้งหญิงอื่นเป็นอัครมเหสี แล้วรับสั่งให้ไล่บุรุษเปลี้ยเสียจากที่นั้น และให้ตัดกิ่งต้นหว้าเสีย.

ในคราวนั้น พญานกกุณาละเกิดเป็นปัญจาลจัณฑปุโรหิต เมื่อนำเหตุที่ตนได้เห็นมาแสดง จึงกล่าวว่า
บัณฑิตได้เห็นแล้วซึ่งเรื่องอะไร ของพระเจ้ากินนรและนางกินรี ก็พึงรู้เถิดว่า หญิงทั้งปวงย่อมไม่ยินดีในเรือนของตน ภรรยาไปเห็นบุรุษอื่นแม้เป็นง่อยเปลี้ย ยังทิ้งเสียซึ่งสามีอย่างกับพระเจ้ากินนรได้.


อธิบายความแห่งคาถานั้นว่า บัณฑิตเห็นเหตุแห่งความหน่ายแหนงของกินนรและนางกินรีเหล่านี้ คือ พระราชาผู้เป็นกินนรและนางกินรีเทวีแล้ว ก็พึงรู้เถิดว่า หญิงทั้งปวงย่อมไม่ยินดีในเรือนแห่งสามีของตน. จริงอย่างนั้น นางกินรีเทวีผู้เป็นอัครมเหสีของพระเจ้ากินนร เห็นบุรุษเปลี้ยคนอื่นยังยอมสละพระราชาพระองค์นั้น ซึ่งเป็นผู้มีความฉลาดในการอภิรมย์เช่นนั้นเสียแล้ว กระทำกรรมอันเป็นบาปกับมนุษย์เปรตนั้นได้.
เรื่องอื่นยังมีอีก ในอดีตกาล พระเจ้าพาราณสีทรงพระนามว่าพกะ เสด็จทรงราชย์โดยธรรม ยังมีหญิงชื่อปัญจปาปี เป็นธิดาของคนยากไร้คนหนึ่ง ซึ่งอยู่ในบ้านข้างประตูตะวันออกเมืองพาราณสี เล่ากันมาว่า เมื่อชาติก่อน นางเกิดเป็นธิดาของคนยากไร้คนหนึ่ง นั่งขยำดินทาฝาเรือนอยู่ เวลานั้นมีพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งคำนึงว่า จักหาดินละเอียดที่ไหนหนอ มาฉาบทาเงื้อมฝาที่อยู่อาศัย ครั้นตกลงใจว่า อาจหาได้ในเมืองพาราณสีดังนี้แล้ว จึงห่มคลุมถือบาตรเข้าไปในเมือง ไปยืนอยู่ใกล้หญิงนั้น นางแลเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วก็โกรธ จึงพูดขึ้นด้วยใจร้ายว่า ชิ้นดินก็ขอ. พระปัจเจกพุทธเจ้าก็นิ่งมิได้หวั่นไหว นางเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้ามิได้หวั่นไหว ก็เกิดมีใจเลื่อมใส อีกจึงกล่าวว่า สมณะ ท่านจักได้ดินเหนียวหรือ ว่าแล้วก็ยกดินเหนียวก้อนใหญ่ใส่ลงในบาตร. พระปัจเจกพุทธเจ้าก็เอาไปฉาบทาเงื้อมฝาที่อาศัย ไม่ช้านัก หญิงคนนั้นก็จุติจากอัตภาพนั้น ไปถือปฏิสนธิในท้องหญิงทุคตะ ชาวบ้านใกล้ประตูนอกเมืองนั้น เมื่อครบ ๑๐ เดือนแล้วนางก็คลอด ด้วยผลที่ได้ถวายดินเหนียว ร่างกายของนางจึงประกอบด้วยสัมผัสดียิ่งนัก แต่เพราะวิบากที่แลดูพระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยความโกรธ มือ เท้า ปาก ตา จมูก ๕ แห่ง จึงวิกลวิปริตไป ดังนั้น เขาจึงพากันตั้งชื่อให้ว่า นางปัญจปาปี.
วันหนึ่ง พระเจ้าพาราณสีจึงทรงปลอมพระองค์เที่ยวตรวจพระนครไปถึงประเทศที่นั้นเข้า. นางปัญจปาปีเล่นอยู่กับด้วยนางทาริกาเพื่อนบ้าน ไม่รู้จักพระเจ้าพาราณสีก็เอามือคว้าพระหัตถ์เข้า พระเจ้าพาราณสีถูกสัมผัสมือของนางปัญจปาปี ก็ดำรงพระองค์ไว้ไม่อยู่ ดุจดังสัมผัสทิพย์เกิดกำหนัดยินดีในสัมผัสยิ่งนัก จึงเอาพระหัตถ์จับนางปัญจปาปี ซึ่งมีรูปวิกลถึงปานนั้น แล้วตรัสถามว่า เจ้าเป็นลูกสาวของใคร. ครั้นนางตอบว่า เป็นลูกสาวชาวบ้านที่ประตู. จึงทรงซักถามได้ความว่า ยังไม่มีสามี. ก็ตรัสว่า เรานี้แหละจะเป็นสามีของเจ้า เจ้าจงไปขออนุญาตต่อบิดามารดา. นางปัญจปาปีก็เข้าไปหาบิดามารดา แล้วบอกว่า ชายคนหนึ่งเขาต้องการข้า. บิดามารดาคิดเห็นว่า ชายคนนั้นเห็นจะไม่ใช่คนทุคตะจึงกล่าวว่า ถ้าเขาอยากได้คนอย่างเองก็ดีแล้ว. นางจึงกลับมาบอกว่า บิดามารดาอนุญาตแล้ว. พระเจ้าพาราณสีก็อยู่กับนางปัญจปาปีที่เรือนนั้น จนรุ่งเช้าจึงเสด็จกลับพระราชนิเวศน์ ตั้งแต่นั้นมา พระเจ้าพาราณสีก็ทรงปลอมพระองค์ไปหานางปัญจปาปีเสมอ ไม่ทรงปรารถนาจะเหลียวแลหญิงคนอื่นเลย.
ต่อมาวันหนึ่ง บิดาของนางปัญจปาปีบังเกิดโรคลงโลหิต ยาที่จะรักษาโรคนั้นก็คือ ข้าวปายาสอันปรุงด้วยนมสดล้วน กับเนยใส น้ำผึ้ง น้ำตาลกรวดเป็นต้น แต่คนปานนั้นขัดสน จึงไม่สามารถจะหามาได้. ลำดับนั้น มารดาของนางปัญจปาปีจึงพูดกะลูกสาวว่า ผัวของเจ้าสามารถหาข้าวปายาสได้หรือไม่เล่า. นางปัญจปาปีจึงตอบว่า ผัวของข้าเห็นจะจนกว่าบ้านเรา แต่เอาเถอะจะลองถามเขาดูก่อน อย่าวิตกไปเลย ว่าดังนี้แล้ว นางปัญจปาปีก็วางกิริยาท่าทางว่า ทุกข์ร้อน นั่งคอยท่ารอเวลาที่พระเจ้าพาราณสีเคยเสด็จมา ครั้นพอพระเจ้าพาราณสีเสด็จมาแล้ว ตรัสถามว่า เจ้าเสียใจอะไร ทรงสดับความนั้นแล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อนน้องหญิง ยาขนานนี้เป็นยาสำหรับท่านผู้เป็นใหญ่ เราจะได้มาแต่ที่ไหน ตรัสดังนี้ แล้วทรงคิดต่อไปอีกว่า เราไม่สามารถเที่ยวไปมาอย่างนี้ได้ น่าจะต้องประสบอันตรายตามหนทางแน่ ก็แต่ว่า ถ้าจะพานางปัญจปาปีเข้าไปไว้ในวัง ชนทั้งหลายที่ไม่รู้ว่า นางนี้มีสมบัติคือสัมผัสดี ก็จักพากันหัวเราะเยาะเย้ยว่า พระเจ้าแผ่นดินของเราไปพาเอานางยักษิณีที่ไหนมา จำเราจักทำให้ชาวพระนครเขารู้สัมผัสของนางเสียก่อนเถิด จึงจะปลดเปลื้องข้อครหานินทาได้.
ลำดับนั้น พระราชาตรัสกะนางว่า เจ้าอย่าวิตกไปเลย ข้าจะหาข้าวปายาสมาให้บิดาของเจ้า ครั้นทรงอภิรมย์กับนางปัญจปาปีแล้ว ก็เสด็จกลับพระราชนิเวศน์. พอวันรุ่งขึ้น จึงตรัสสั่งให้หุงข้าวปายาสอย่างว่า ให้เอาใบไม้มาทำห่อเป็นสองห่อ บรรจุข้าวปายาสลงแล้ว ก็ใส่พระจุฬามณีลงไปในห่อหนึ่งผูกเสียให้ดี พอเวลาราตรี ก็เสด็จไปส่งห่อข้าวให้แล้ว กำชับว่า เราเป็นคนจนเท่านี้ก็หาได้โดยยาก เจ้าจงบอกกับบิดาว่า วันนี้ จงกินข้าวปายาสห่อนี้ พรุ่งนี้จึงค่อยกินอีกห่อหนึ่ง. นางปัญจปาปีก็ทำตามสั่ง พอบิดานางปัญจปาปีบริโภคเข้าไปหน่อยหนึ่ง ก็อิ่มหนำสำราญมีความสุขสบาย เพราะข้าวปายาสนั้นมีรสโอชายิ่งนัก. นางปัญจปาปีก็นำเอาข้าวปายาสที่เหลือให้มารดา แล้วจึงบริโภคเองในภายหลัง ก็พออิ่มทั้ง ๓ คน ส่วนห่อข้าวที่มีจุฬามณีก็เก็บไว้เพื่อวันต่อไป.
ครั้นพระเจ้าพาราณสีเสด็จกลับพระราชนิเวศน์ สรงพระพักตร์เสร็จแล้ว จึงตรัสสั่งให้ พนักงานนำจุฬามณีมาถวาย เมื่อเจ้าพนักงานทูลว่า หาไม่พบ ก็ตรัสสั่งว่า ค้นให้ทั่วพระนคร เขาพากันค้นจนทั่วแล้วก็หาไม่ได้ จึงตรัสสั่งต่อไปว่า ให้ค้นด้านนอกพระนคร ที่สุดจนห่อเข้าของในเรือนคนทุคตะ ก็อย่าเว้น ราชบุรุษทั้งหลายก็พากันเที่ยวค้น จึงไปพบจุฬามณีในเรือนนางปัญจปาปี ก็พากันผูกมัดเอาบิดามารดาหาว่าเป็นโจร ชนทั้งสองจึงร้องว่า ข้าพเจ้าไม่ใช่โจร คนอื่นนำมาให้ ครั้นเขาซักไซ้ว่าใคร ก็บอกว่าลูกเขย ครั้นเขาถามหาตัวว่าไปไหนก็ซัดว่า ลูกสาวรู้แล้ว บิดาจึงหันมาพูดกับลูกสาวว่า เจ้ารู้จักผัวเจ้าหรือไม่. นางก็ตอบว่า ไม่รู้จัก. บิดาก็กล่าวว่า ถ้ากระนั้น ชีวิตของเราก็ไม่มี. นางปัญจปาปีจึงกล่าวว่า ผัวของข้ามาในเวลามืดแล้ว ก็กลับไปในเวลามืด ข้าจึงไม่รู้ว่ารูปร่างเขาเป็นอย่างไร แต่ถ้าถูกมือแล้วก็รู้ได้ แล้วนางก็บอกแก่ราชบุรุษทั้งหลายเช่นนั้น ราชบุรุษทั้งหลายจึงนำความมากราบทูล. พระเจ้าพาราณสีทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น จึงตรัสสั่งว่า ถ้าเช่นนั้น จงให้หญิงคนนั้นนั่งอยู่ในม่านที่หน้าพระลาน แล้วเจาะช่องม่านพอมือลอดได้ สั่งชาวเมืองมาประชุมให้หญิงนั้นจับโจรให้ได้ด้วยสัมผัสมือ
ราชบุรุษทั้งหลายก็ทำตามรับสั่ง พากันไปยังสำนักของนางปัญจปาปี แลดูรูปร่างแล้ว ก็เกิดเดือดร้อนเกลียดชังว่า ถุย ถุย อีปีศาจ ต่างไม่อาจถูกต้องได้ ครั้นพานางมาแล้วก็ให้นั่ง ในม่านที่หน้าพระลาน จัดการให้ชาวพระนครทั้งหมดมาประชุมพร้อมกัน นางปัญจปาปีก็จับมือบุรุษที่มาแล้ว และยื่นเข้าไปในช่องม่าน บอกขานเรื่อยไปว่า ไม่ใช่สามี. บุรุษทั้งหลายที่ได้สัมผัสถูกต้อง ก็ติดข้องในสัมผัสแห่งนางอย่างสัมผัสทิพย์ ต่างคนก็คิดในใจว่า ถ้าหญิงคนนี้ควรแก่สินไหม เราจะยอมหาให้ถึงจะตายเป็นทาสกรรมกรก็ไม่ว่า จะพาไปเลี้ยงไว้ในเรือน ต่างคนต่างไม่สามารถจะหลีกไปได้ จนราชบุรุษทั้งหลาย โบยด้วยไม้จึงได้หนีไป คนทั้งปวงตั้งแต่อุปราชลงไปก็มีอาการปานกับจะเป็นบ้า พอหมดคนอื่นแล้ว พระเจ้าพาราณสีตรัสว่า จะเป็นเราเองบ้างกระมัง จึงยื่นพระหัตถ์เข้าไป พอนางจับพระหัตถ์ก็ร้องเสียงดังลั่นว่า จับโจรได้แล้ว. พระเจ้าพาราณสีจึงตรัสถามราชบุรุษทั้งหลายว่า เมื่อนางนี้จับมือเข้า พวกเจ้ามีความคิดอะไรบ้าง. ราชบุรุษทั้งหลายก็กราบทูลตามความเป็นจริง.
ลำดับนั้น พระเจ้าพาราณสีจึงตรัสว่า ที่เราให้ทำอย่างนี้ ก็เพื่อจะนำหญิงนี้มาไว้ในวัง แต่ยังคิดเห็นว่า เมื่อท่านทั้งหลายไม่รู้สัมผัสของหญิงนี้ ก็จะหมิ่นประมาทเราได้ เพราะฉะนั้น จึงให้เจ้าทั้งหลายรู้ไว้ จงว่าไปดูที หญิงนี้จะสมควรอยู่ในเรือนใคร ราชบุรุษทั้งหลายก็กราบทูลว่า สมควรอยู่ในวังของพระองค์. ครั้นแล้วพระเจ้าพาราณสี ก็พระราชทานอภิเษกตั้งให้เป็นพระอัครมเหสี และพระราชทานอิสริยยศแก่บิดามารดาของนาง. ตั้งแต่นั้นมา พระเจ้าพาราณสีก็ทรงมัวเมาด้วยนางปัญจปาปี จนไม่เอาพระทัยใส่ในอันที่จะตัดสินความของราษฎร และไม่ทรงเหลียวแลหญิงอื่น พวกนางนักสนมทั้งหลาย จึงคอยจ้องหาโทษใส่.
ต่อมาวันหนึ่ง นางปัญจปาปีฝันเห็นเป็นนิมิตที่ ตนจะได้เป็นอัครมเหสีพระเจ้าแผ่นดิน ๒ พระองค์ นางจึงกราบทูลให้ทรงทราบ พระเจ้าพาราณสีจึงรับสั่งให้หาผู้มาทำนายฝันเข้ามาเฝ้าตรัสถามว่า ฝันเห็นอย่างนี้จะมีผลเป็นอย่างไร พวกทำนายฝันได้สินบนจากนางสนมอื่นๆ แล้วจึงทูลทำนายว่า ขอพระราชทานโอกาส การที่พระราชเทวีทรงสุบินว่า ได้นั่งบนคอช้างเผือกนั้น เป็นบุรพนิมิตนำมรณะมาสู่พระองค์ ที่พระนางทรงสุบินว่า นั่งอยู่บนคอช้าง แล้วลูบคลำพระจันทร์เล่นนั้น เป็นบุรพนิมิตที่นำพระราชาข้าศึกมาสู่พระองค์ ครั้นพระเจ้าพาราณสีทรงซักว่า ถ้าฉะนั้น จะควรทำอย่างไร จึงกราบทูลว่า ขอพระราชทานโอกาส ไม่ควรจะให้สำเร็จโทษพระนางเสีย ควรใส่เรือปล่อยลอยไปตามแม่น้ำ พระเจ้าพาราณสีจึงให้นางปัญจปาปีลงในเรือ พร้อมทั้งอาหารและเครื่องอลังการ พอเวลาราตรี ก็ปล่อยลอยไปในแม่น้ำ เรือนางปัญจปาปีลอยไปตามน้ำ ก็ไปจนถึงหน้าฉาน พระเจ้าพาวรีย์ซึ่งทรงลงเล่นเรืออยู่ข้างใต้น้ำ เสนาบดีของพระเจ้าพาวรีย์แลเห็นเรือ จึงร้องว่า เรือนั้นเป็นของเรา พระเจ้าพาวรีย์ตรัสว่า ของในเรือเป็นของเรา. พอเรือมาถึงเข้าได้ทอดพระเนตรเห็นนางปัญจปาปี จึงตรัสถามว่า นางนี่ชื่อไร รูปร่างคล้ายปีศาจ. นางปัญจปาปียิ้มแล้ว ทูลความว่า ตนเป็นอัครมเหสีของพระเจ้าพกะ และทูลเล่าเหตุทั้งปวงให้ทรงทราบ ก็นางปัญจปาปีนั้นมีชื่อเสียงปรากฏตลอดชมพูทวีป พระเจ้าพาวรีย์ จึงทรงจับมือจูงขึ้นจากเรือ พอจับเข้าก็เกิดกำหนัดยินดีในสัมผัสจนไม่รู้สึกว่า หญิงอื่นมี จึงทรงตั้งนางปัญจปาปีไว้ในที่อัครมเหสี นางก็เป็นที่รักเสมอพระชนมชีพ พระเจ้าพกะทรงทราบข่าว ก็ทรงดำริว่า เราจักไม่ยอมให้พระเจ้าพาวรีย์ตั้งนางปัญจปาปีเป็นอัครมเหสี จึงรวบรวมเสนาเสด็จเป็นกระบวนทัพไปตั้งพักอยู่ที่ท่าน้ำ แล้วส่งราชสาส์นไปว่า ให้พระเจ้าพาวรีย์คืนภริยาให้ หรือจะรบกันก็ตามที พระเจ้าพาวรีย์จึงตอบไปว่า เรายอมรบ ไม่ยอมให้ภริยา แล้วทรงตระเตรียมการรบ พวกอำมาตย์ทั้งสองฝ่าย จึงปรึกษากันว่าที่จะพากันมาตายเพราะเหตุแห่งมาตุคามนั้นไม่สมควรเลย นางปัญจปาปีควรได้แก่พระเจ้าพกะ เพราะได้เคยเป็นสามีมาก่อน แต่ก็ควรได้แก่พระเจ้าพาวรีย์ เพราะทรงเก็บได้ในเรือ ต่างก็กราบทูลพระเจ้าแผ่นดินทั้งสองให้ทรงสัญญา พระราชาทั้งสองพระองค์ก็ตกลงพระหฤทัย สั่งให้สร้างพระนครขึ้นฝั่งละนครแล้ว เสด็จประทับอยู่ นางปัญจปาปีทำหน้าที่เป็นอัครมเหสีของสองพระราชา คืออยู่ประจำฝ่ายละ ๗ วัน เมื่อนางลงไปยังอีกฝ่ายหนึ่ง นางได้ทำลามกกับชาวประมงค่อมคนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนขับเรือในกลางแม่น้ำ.

คราวนั้น พญานกกุณาละเกิดเป็นพระเจ้าพกะ เพราะเหตุนั้น เมื่อจะนำเรื่องที่ตนได้ทราบมาแล้วมาแสดง จึงกล่าวว่า

พระเจ้าพกะและพระเจ้าพาวรีย์ หมกมุ่นอยู่ในกามเกินส่วนแล้ว ภริยาของท่านยังประพฤติล่วงกับคนใช้ใกล้ชิดและอยู่ในอำนาจอีก มีหรือที่หญิงจะไม่ประพฤติล่วงคนอื่น นอกจากคนนั้นอีก.


คำว่า หมกมุ่นอยู่ในกามเกินส่วนแล้ว อธิบายว่า หมกมุ่นอยู่ในกามเกินประมาณอยู่แล้ว. คำว่า ประพฤติล่วง หมายถึงประพฤติอนาจาร. คำว่า ใกล้ชิดและอยู่ในอำนาจ อธิบายว่า ประพฤติล่วงในสำนักแห่งชายผู้กระทำการรับใช้ของตน ซึ่งอยู่ใกล้ชิดและเป็นไปในอำนาจของตน มีคำกล่าวอธิบายว่า ได้กระทำกรรมอันชั่วร้ายกับคนใช้นั้น. คำว่า คนอื่นนอกจากคนนั้น อธิบายว่า ไฉนเล่าหญิงจะไม่ประพฤติล่วงกับชายอื่น นอกจากชายคนนั้นอีก.

ยังมีเรื่องอื่นอีก ในอดีตกาล อัครมเหสีพระเจ้าพรหมทัตมีนามว่า ปิงคิยานี เปิดสีหบัญชรแลดูไปเห็นคนเลี้ยงม้ามงคล ก็มีจิตปฏิพัทธ์ ครั้นเมื่อพระเจ้าพรหมทัตบรรทมหลับ ก็ลอบลงทางหน้าต่าง ประพฤติล่วงกับคนเลี้ยงม้า แล้วกลับขึ้นปราสาท ประพรมสรีระด้วยของหอมแล้ว ก็เข้าไปนอนกับพระเจ้าพรหมทัต ต่อมา พระเจ้าพรหมทัตทรงดำริว่า เพราะเหตุอะไรหนอ เวลาเที่ยงคืนสรีระของพระเทวีจึงเย็นเสมอ เห็นทีจะต้องสะกดรอยดู วันหนึ่ง ทรงแสร้งทำอาการเหมือนหลับ พอนางลุกไป พระองค์ก็เสด็จตามไปข้างหลัง ทอดพระเนตรเห็นนางประพฤติล่วงกับคนเลี้ยงม้า แล้วก็เสด็จกลับขึ้นสู่ที่บรรทม ส่วนปิงคิยานีประพฤติล่วงแล้ว ก็กลับมานอนอยู่ที่นอนน้อย
รุ่งเช้า พระเจ้าพรหมทัตให้หานางปิงคิยานีมาแล้ว ทรงชี้โทษให้เห็นแจ้ง แล้วตรัสว่า หญิงทั้งปวงย่อมมีธรรมดาลามก ดังนี้แล้ว พระองค์ทรงงดโทษฆ่า จองจำ ตัด ทำลาย ให้เป็นแต่ถอดออกจากตำแหน่งแล้ว ทรงตั้งหญิงอื่นเป็นพระอัครมเหสีต่อไป.

คราวนั้น พญานกกุณาละเกิดเป็นพระเจ้าพรหมทัต เพราะเหตุนั้น เมื่อจะแสดงถึงเหตุที่ตนเห็นมาเอง จึงกล่าวว่า

.. อรรถกถา กุณาลชาดก
อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [๑] [๒] [๓] [๔]
อ่านชาดก 280001อ่านชาดก 280249อรรถกถาชาดก 280296
เล่มที่ 28 ข้อ 296อ่านชาดก 280315อ่านชาดก 281045
อ่าน เนื้อความในพระไตรปิฎก
http://84000.org/tipitaka/atita100/v.php?B=28&A=1897&Z=2257
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด พระไตรปิฎกฉบับธรรมทาน
บันทึก  ๑๖  เมษายน  พ.ศ.  ๒๕๔๘
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]