![]() |
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
![]() |
![]() | |
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() [แก้อรรถปาฐะ เรื่องกรอบประตูหน้าต่าง] จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอาอรรถนั้นนั่นแล จึงทรงทำการกำหนดอย่างสูงไว้ ดังนี้ว่า ชั่วหัตถบาส โดยรอบแห่งบานประตู. บทว่า อคฺคลฏฺฐปนาย มีความว่า เพื่อจะวางทวารพันธ์ (กรอบประตู) พร้อมทั้งบาน. อธิบายว่า เพื่อต้องการความไม่เคลื่อนที่แห่งกรอบประตูพร้อมทั้งบานประตู. จริงอยู่ แม้บทภาชนะว่า ทฺวารฏฺฐปนาย นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสหมายเอาอรรถนี้นั่นแล. ก็ในคำนี้ มีอธิบายดังต่อไปนี้ :- ก็บานประตูหมุนคล่องย่อมกระทบฝาในเวลาเปิด, ย่อมกระทบกรอบประตูในเวลาปิด, ฝาย่อมกระเทือนด้วยการกระทบนั้น, เพราะฝากระเทือนนั้น ดินย่อมคลอน ครั้นคลอนแล้วย่อมหย่อนหรือหลุดลง. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ยาว ทฺวารโกสา อคฺคลฏฺฐปนาย ดังนี้. บัณฑิตพึงเห็นใจความในคำนั้นอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ตรัสไว้ในมาติกา ไม่ได้ตรัสไว้ในบทภาชนะเลยว่า กิจชื่อนี้ ควรกระทำ แม้ก็จริง, ถึงกระนั้นเพื่อจะวางเช็ดหน้าเพียงไรแต่กรอบแห่งประตู ก็พึงฉาบเอง หรือพึงให้ฉาบบ่อยๆ โดยอำนวยการตามในอัตถุปปัตติเหตุว่า ภิกษุให้ฉาบบ่อยๆ ให้โบกบ่อยๆ ดังนี้. ส่วนในคำที่ตรัสไว้ในบทภาชนะว่า ปิฏฺฐิสงฺฆาฏสฺส สมนฺตา หตฺถปาสา พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ :- วิหารใดมีประตูอยู่ตรงกลาง และมีฝาสูงอยู่ส่วนบน, หัตถบาสโดยรอบใน ๓ ทิศ เป็นอุปจารแห่งวิหารนั้น. สำหรับวิหารเล็ก มีอุปจารใน ๒ ทิศ. แม้ในวิหารเล็กนั้น บานประตูที่เปิดออก ย่อมกระทบฝาใด, แม้ฝานั้น ก็ยังจัดเป็นอุปจารไม่ได้ครบถ้วน. แต่โดยกำหนดอย่างสูง ทรงอนุญาตหัตถบาสโดยรอบใน ๓ ทิศ (และ) ทรงอนุญาตการโบกฉาบ เพื่อต้องการทำประตูให้แน่น. แต่ถ้าว่า มีโอกาสที่ควรฉาบแม้ในส่วนเบื้องบนแห่งประตู, จะฉาบโอกาสแม้นั้นก็ควร. ในคำว่า อาโลกสนฺธิปริกมฺมาย นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกบานหน้าต่างว่า อาโลกสันธิ. ในคำนี้มีอธิบายดังนี้ว่า บานหน้าต่างเหล่านั้นในเวลาเปิด จะกระทบส่วนของฝาประมาณคืบหนึ่งบ้าง เกินกว่าบ้าง. ก็ในคำว่า อโลกสันธิ นี้ย่อมได้อุปจารในทิศทั้งปวง เพราะเหตุนั้น โอกาสประมาณเท่าความกว้างแห่งบานหน้าต่างในทิศทั้งปวง. ภิกษุพึงฉาบเองหรือพึงให้ฉาบ เพื่อประโยชน์แก่การบริกรรมบานหน้าต่าง. คำว่า เสตวณฺณํ เป็นต้น ไม่ใช่เป็นการแจกบทมาติกา. จริงอยู่ ชื่อว่าวิหารจะเป็นของหนักด้วยสีขาวเป็นต้นนี้ หามิได้ เหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงอนุญาต (สีขาวเป็นต้น) ไว้ในบทภาชนะนั่นแล. เพราะเหตุนั้น ภิกษุพึงทำกิจทุกอย่างมีการฉาบปูนขาวเป็นต้นนี้ตามสบาย. [ว่าด้วยการอำนวยให้การพอกบนหลังคา] คำว่า ทฺวิตฺติจฺฉทนสฺส ปริยายํ คือ (อำนวยให้) การพอกหลังคาได้ ๒-๓ ชั้น. การพอกเรียกว่า ปริยาย. อธิบายว่า พึงอำนวยให้พอกได้ ๒ ครั้ง หรือพอกได้ ๓ ครั้ง. สองบทว่า อปหริเต ฐิเตน คือ ยืนอยู่ในที่ปราศจากของสดเขียว. ก็ในคำว่า หริตํ นี้ ทรงประสงค์เอาบุพพัณชาติต่างโดยเป็นข้าวเปลือก ๗ ชนิด และอปรัณชาติต่างโดยเป็นถั่วเขียว ถั่วเหลือง งา ถั่วพู น้ำเต้าและฟักเขียวเป็นต้น. ด้วยเหตุนั้นแล พระองค์จึงตรัสว่า ที่ชื่อว่า ของสดเขียว ได้แก่ บุพพัณชาติ อปรัณชาติ. ก็ในคำว่า สเจ หริเต ฐิโต อธิฏฺฐาติ อาปตฺติ ทุกฺกฏสฺส นี้ พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ :- พืชที่เขาหว่านในนาแม้ใด ชั้นแรกยังไม่สำเร็จ (ยังไม่งอก) ก็หรือว่า เมื่อฝนตกแล้ว จักสำเร็จ (จักงอก), พืชแม้นี้ ก็ถึงการนับว่าของสดเขียวเหมือนกัน. เพราะฉะนั้น ภิกษุยืนอยู่ แม้ในนาเห็นปานนั้น ก็ไม่อำนวยการ. พึงยืนอำนวยการในที่ปราศจากของสดเขียวเท่านั้น. ในเรื่องอำนวยการปราศจากของสดเขียวในนาที่หว่านพืชแล้ว แม้นั้นมีกำหนด การมุงตรงๆ ไปไม่อ้อม ชื่อว่า การมุงตามทางแถว ในคำว่า มคฺเคน ฉาเทนฺ คำว่า เทฺว มคฺเค อธิฏฺฐหิตฺวา มีความว่า ทางแถว ๒ แถว ถ้ามุงไม่ดี, ย่อมได้แม้เพื่อจะรื้อออกเสียแล้วให้มุงบ่อยๆ. เพราะฉะนั้น พึงมุงเอง ๒ แถว อย่างที่ตนต้องการ แล้วแถวที่ ๓ พึงสั่งว่า ต่อไปนี้ จงมุงอย่างนี้ แล้วหลีกไป. บทว่า ปริยาเยน แปลว่า ด้วยการพอกเป็นชั้นๆ (การมุงเป็นชั้นๆ). ก็การมุงอย่างนี้ ย่อมได้ด้วยหญ้าและใบไม้. เพราะเหตุนั้น ในการมุงแม้นี้ ภิกษุพึงมุงเอง ๒ ชั้น อย่างที่ตนต้องการแล้ว ชั้นที่ ๓ พึงสั่งว่า ทีนี้ จงมุงอย่างนี้ แล้วหลีกไป ก็ถ้าว่า ไม่หลีกไป พึงยืนนิ่งเสีย. ก็การมุงทั้งหมดนี้ พึงทราบว่า ในเบื้องบนหลังคา. ภิกษุทั้งหลายเข้าใจว่า ก็วิหารที่มุงเป็นชั้นๆ ฝนจะไม่รั่วได้นาน จึงมุงอย่างนี้. คำว่า ตโต เจ อุตฺตรึ มีความว่า เลย ๓ แถว หรือ ๓ ชั้นขึ้นไป คือในแถวที่ ๔ หรือในชั้นที่ ๔. คำว่า กรเฬ คือ ในกำหญ้าทุกๆ กำ. บทที่เหลือในสิกขาบทนี้ตื้นทั้งนั้นแล. สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๖ เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัต มหัลลกวิหารสิกขาบทที่ ๙ จบ. ------------------------------------------------------------ .. อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ ภูตคามวรรคที่ ๒ สิกขาบทที่ ๙ จบ. |