บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
ต่อไปนี้ เป็นคำพรรณนาบทที่ยังไม่ตื้นในมหาโควินทสูตรนั้น. คำว่า ปัญจสิขะ ความว่า มี ๕ จุก คือมี ๕ แหยม. เล่ากันมาว่า ปัญจสิขะบุตรคนธรรพ์นั้น ในเวลาทำกรรมที่เป็นบุญในถิ่น ครั้นเขาตายแล้ว ก็ไปเกิดในเทวโลกชั้นจาตุมมหาราชิกา มีอายุ ๙ ล้านปี. ร่างของเขาคล้ายกับกองทองมีขนาดเท่าสามคาวุต. เขาประดับเครื่องประดับประมาณ ๖๐ เล่มเกวียน พรมของหอมประมาณ ๙ หม้อ ทรงผ้าทิพย์สีแดง ประดับดอกกรรณิกาทองแดง มีแหยม ๕ แหยมห้อยอยู่ที่เบื้องหลัง เที่ยวไปทำนองเด็ก ๕ จุกนั่นแหละ. พวกเทพจึงทราบทั่วกันว่าปัญจสิขะ ดังนี้แล. บทว่า เมื่อราตรีก้าวล่วงไปแล้ว คือ ราตรีก้าวล่วงไปแล้ว คือสิ้นไปแล้ว หมายความว่าล่วงไปแล้วส่วนหนึ่ง. คำว่า มีรัศมีงดงามยิ่ง คือ มีรัศมีน่ารักน่าใคร่น่าชอบใจอย่างยิ่ง. ก็แม้โดยปกติ เทพ คำว่า อย่างทั่วถึง คือโดยรอบไม่มีเหลือ. เกวลศัพท์ในที่นี้แปลว่าไม่เหลือ เหมือนในคำนี้ว่า บริบูรณ์อย่างสิ้นเชิง. กัปปศัพท์แปลว่าโดยรอบ เหมือนในคำนี้ว่า ยังพระเชตวันโดยรอบอย่างสิ้นเชิง. คำว่า ส่องให้สว่าง คือ แผ่ไปด้วยแสง. หมายความว่า ทำให้เป็นแสงลำเดียว ให้เป็นประทีปดวงเดียว ดังพระจันทร์และดังพระอาทิตย์. คำว่า ที่สุธรรมาสภา คือ ที่สภาที่เกิดเพราะผลแห่งไม้กรรณิกา ซึ่งพอๆ กับแก้วของหญิงชื่อสุธรรมา. ดังได้ยินมาว่า พื้นของสุธรรมาสภานั้นสำเร็จด้วยแก้วผลึก ลิ่มสลักเอาแก้วมณีมาทำ เสาสำเร็จด้วยทองคำ ของเชื่อมเสาและเต้าทำจากเงิน รูปสัตว์ร้ายเอาแก้ว สุธรรมาสภาเห็นปานนี้. ในบทเป็นต้นว่า ท้าวธตรฐ พึงทราบว่า ท้าวธตรฐเป็นราชาแห่งคนธรรพ์ อันพวกเทวดานักฟ้อนแสนโกฏิแวดล้อมแล้วให้ถือเอาแผ่นกระดานใหญ่ที่ทำด้วยทองคำแสนโกฏิ และหอกทองคำแล้วหันพระพักตร์ไปทิศตะวันตก เอาพวกเทวดาในเทวโลกทั้งสองไว้ข้างหน้า แล้วประทับนั่งทางทิศตะวันออก. ท้าววิรุฬหกเป็นราชาแห่งกุมภัณฑ์ อันเหล่าเทพพวกกุมภัณฑ์แสนโกฏิแวดล้อมแล้ว ให้ถือเอาแผ่นกระดาน ท้าววิรูปักษ์เป็นราชาแห่งนาค มีพวกนาคแสนโกฏิแวดล้อม ให้ถือเอากระดาน ท้าวเวสวัณเป็นราชาแห่งยักษ์ มีพวกยักษ์แสนโกฏิแวดล้อม ให้ถือเอากระดานแผ่นใหญ่ที่ทำด้วยแก้วประพาฬแสนโกฏิ และหอกทองคำหันพระพักตร์ไปทางทิศใต้ เอาพวกเทวดาในเทวโลกทั้งสองไว้ข้างหน้า แล้วประทับนั่งทางทิศเหนือ. บทว่า และข้างหลังเป็นอาสนะของพวกเรา คือ โอกาสสำหรับนั่งของพวกเรา ย่อมถึงทางด้านหลังของท่านทั้ง ๔ องค์นั้น ต่อจากนั้น พวกเราจะเข้าก็ไม่ได้ หรือจะดูก็ไม่ได้. สำหรับในกรณีนี้ ท่านกล่าวเหตุการประชุมกัน ๔ อย่างไว้ก่อนทีเดียว. ในเหตุทั้ง ๔ อย่างนั้น การประมวลลงในวันเข้าพรรษา ท่านขยายไว้ให้กว้างขวางแล้ว. จริงอยู่ เหตุในวันเข้าพรรษาเป็นฉันใด ภิกษุทั้งหลายประชุมกันในวันเพ็ญในวันมหาปวารณาปรึกษากันว่า วันนี้พวกเราจักไปไหน แล้วปวารณาในสำนักใคร ก็ฉะนั้น. ในที่ประชุมนั้น ท้าวสักกะจอมทวยเทพโดยมากจะทรงปวารณาในปิยังคุทีปพระมหาวิหารนั่นเอง. พวกเทพที่เหลือก็ถือเอาดอกไม้ทิพย์เช่นดอกปาริจฉัตรเป็นต้น และผงจันทน์ทิพย์แล้ว ไปสู่ที่เป็นที่ชอบใจของตนๆ แล้ว ปวารณากัน. แบบนี้ชื่อว่า ย่อมประชุมกันเพื่อประโยชน์แก่การสงเคราะห์ปวารณา. ก็ในเทวโลกมีเถาชื่ออาสาวดี. พวกเทวดาคิดว่าเถานั้นจักออกดอก จึงไปสู่ที่บำรุงตลอดพันปี เมื่อต้นปาริจฉัตรกำลังออกดอก พวกเทวดาไปสู่ที่บำรุงตลอดหนึ่งปี. เทวดาเหล่านั้นพากันดีใจ ตั้งแต่ต้นไม้นั้นมีใบเหลืองเป็นต้นไป. เหมือนอย่างที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ในสมัยใด ไม้ปาริฉัตร คือไม้ทองหลางของพวกเทพชาวดาว ภิกษุทั้งหลาย ในสมัยใด ไม้ปาริจฉัตร คือไม้ทองหลางของพวกเทพ ภิกษุทั้งหลาย ในสมัยนั้น พวกเทพชาวดาวดึงส์ก็พากันดีใจว่า บัดนี้ ไม้ปาริ ก็แล ภิกษุทั้งหลาย รัศมีครอบคลุมไป ๕๐ โยชน์โดยรอบต้นปาริฉัตร คือไม้ทองหลางที่บานสะพรั่ง กลิ่นพัดไปตามลม ๑๐๐ โยชน์. นี้เป็นอานุภาพแห่งต้นปาริฉัตร คือไม้ทองหลาง.๑- ____________________________ ๑- องฺ. สตฺตก. เล่ม ๒๓/ข้อ ๖๖ เมื่อไม้ปาริฉัตรบานแล้ว กิจด้วยการพาดพะอง กิจด้วยการเอาขอเกี่ยวโน้มมา หรือกิจด้วยการเอาผอบไปรับเพื่อนำเอาดอกไม้มาไม่มี. ลม ที่ตรงกลางมีธรรมาสน์ มีบัลลังก์แก้วสูงขนาดโยชน์ มีเสวตฉัตรสูงสามโยชน์กั้นไว้ข้างบน. ถัดจากบัลลังก์นั้น ก็ปูอาสนะท้าวสักก พวกเทวดาเข้าสู่เทวสภาแล้วนั่งอยู่. เกลียวละอองดอกไม้ฟุ้งไปจรดฝักเบื้องบนแล้วตกมาทำให้อัตภาพประมาณสามคาวุตของเทวดาทั้งหลาย เหมือนชโลมด้วยน้ำครั่ง. พวกเทวดาเหล่านั้นเล่นกีฬานั้นสี่เดือนจึงสิ้นสุดลง. พวกเทวดาย่อมประชุมกันเพื่อประโยชน์แก่การเสวย ปาริฉัตตกกีฬาด้วยประการฉะนี้. ก็แหละ ในเทวโลก เทวดาโฆษณาการฟังธรรมใหญ่เดือนละ ๘ วัน. ในวันทั้ง ๘ นั้น สนังกุมารมหาพรหม ท้าวสักกะจอมทวยเทพ ภิกษุธรรมกถึก หรือไม่อย่างนั้นก็เทพบุตรธรรมกถึกองค์ใดองค์หนึ่ง กล่าวธรรมกถาใน หญิงหรือชายชื่อโน้นนั้น ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ ถึงธรรมเป็นสรณะ ถึงพระสงฆ์เป็นสรณะ. รักษาศีล ๕ กระทำอุโบสถ ๘ ทุกเดือน บำเพ็ญการบำรุงมารดา การบำรุงบิดา กระทำการบูชาด้วยดอกอุบล ๑๐๐ กำ บูชาด้วยแจกันดอกไม้ในที่โน้น ตามประทีป ๑,๐๐๐ ดวง ทำการฟังธรรมไม่เป็นเวลา สร้างฉัตรเวที มุทธิเวที กุจฉิเวที บัลลังก์สิงห์ บันไดสิงห์ บำเพ็ญสุจริต ๓ ประการ ประพฤติยึดมั่นกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ แล้วนำมามอบให้ที่มือของปัญจสิขะ. ปัญจสิขะก็ให้ที่มือของมาตลี. สารถีมาตลีก็ถวายแด่ท้าวสักกเทวราช. เมื่อคนทำบุญมีไม่มาก สมุดบัญชีก็น้อย. พอพวกเทวดาได้เห็นบัญชีนั้นเท่านั้น ก็เสียใจว่า เพื่อนเอ๋ย มหาชนประมาทจริงหนอ อบาย ๔ จักเต็ม เทวโลก ๖ จักว่างเปล่า. แต่ถ้าบัญชีหนา เมื่อพวกเทวดาได้เห็นมันเท่านั้น ก็พากันดีใจว่า โอ เพื่อนเอ๋ย มหาชนมิได้ประมาท อบาย ๔ จักว่าง เทวโลก ๖ จักเต็ม พวกเราจักได้ห้อมล้อมผู้มีบุญใหญ่ที่ได้ทำบุญไว้ในพระพุทธศาสนาแล้วมาเล่นนักษัตรด้วยกัน. ท้าวสักกเทวราชทรงถือบัญชีนั้นแล้วก็ทรงสั่งสอน. โดยแบบปกติ เมื่อท้าวสักกเทวราชนั้นกำลังตรัสพระสุรเสียงได้ยินไป ๑๒ โยชน์. เมื่อตรัสด้วยพระสุรเสียงดังพระสุรเสียงก็กลบเทวนครหมดทั้งหมื่นโยชน์ตั้งอยู่. อย่างที่กล่าวมานี้ เทวดาทั้งหลายย่อมประชุมกันเพื่อประโยชน์ฟังธรรม. ก็ในที่นี้ พึงทราบว่า พวกเทวดาประชุมกันเพื่อประโยชน์ปวารณาสงเคราะห์. คำว่า นมัสการพระตถาคตอยู่ หมายความว่า นมัสการอยู่ซึ่งพระตถาคตด้วยเหตุ ๙ อย่าง. ใจความของบาทคาถาว่า และความที่พระธรรมเป็นธรรมดี เป็นต้น คือความที่พระธรรม ซึ่งต่างด้วยธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้วเป็นต้น เป็นธรรมที่ดี และการปฏิบัติดีที่ต่างด้วยความเป็นผู้ปฏิบัติตรงเป็นต้นของพระสงฆ์. คำว่า ตามความเป็นจริง คือ ตามที่เป็นจริง ตามภาวะของตน. วัณณะ หมายเอาพระคุณ. คำว่า ได้กล่าวขึ้นแล้ว หมายความว่า พูดแล้ว คำว่า ปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลแก่ชนมาก คือ ปฏิบัติอย่างไร ปฏิบัติอย่างนี้ คือ แม้เมื่อทรงรวบรวมธรรม ๘ ประการ แทบพระบาทของพระทีปังกร แล้วบำเพ็ญพระอภินิหาร ชื่อว่าทรงปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลแก่ชนมาก. แม้เมื่อทรงบำเพ็ญพระบารมี ๑๐ ทัศเหล่านี้ คือ ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมบารมี ปัญญาบารมี วิริยบารมี ขันติบารมี สัจจบารมี อธิฏฐานบารมี เมตตาบารมี อุเบกขาบารมี เป็นเวลา ๔ อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัป ก็ชื่อว่าทรงปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลแก่ชนมาก. ในคราวเป็นดาบสผู้ถือมั่นขันติ (ขันติวาที) ในคราวเป็นจูฬธัมมบาลกุมาร ในคราวเป็นพญาช้างฉัททันต์ ในคราวเป็นพญานาคภูริทัตต์ จัมไปยยะและสังขบาล และในคราวเป็นมหากบี่ แม้ทรงกระทำงานที่ทำได้ยากเช่นนั้น ก็ชื่อว่าทรงปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลแก่ชนมาก. แม้เมื่อทรงดำรงอัตภาพเป็นพระเวสสันดร ทรงให้ทานใหญ่ชนิดละร้อยรวม ๗ ชนิด ทำให้แผ่นดินไหวใน ๗ สถาน แล้วทรงยึดเอายอดพระบารมี ก็ชื่อว่า ทรงปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลแก่ชนมาก. แม้ในอัตภาพถัดจากอัตภาพเป็นพระเวสสันดรนั้น เสด็จดำรงอยู่ในดุสิตบุรีตลอดพระชนมายุ ก็ชื่อว่า ทรงปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลแก่ชนมาก. พระองค์ทรงเห็นบุรพนิมิต ๕ อย่างในดุสิตบุรีนั้น ผู้อันพวกเทวดาในหมื่นจักรวาลอ้อนวอนแล้ว ทรงตรวจดูมหาวิโลกนะ ๕ ประการแล้ว ประทานปฏิญาณเพื่อประโยชน์แก่การสงเคราะห์พวกเทวดา แล้วทรงจุติจากดุสิตบุรี แม้ทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์มารดา ก็ชื่อว่าทรงปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลแก่ชนหมู่มาก. ทรงอยู่ในพระครรภ์พระมารดาตลอดสิบเดือนแล้วประสูติจากพระครรภ์พระมารดาที่ป่าลุมพินีก็ดี ทรงครองเรือนสิ้นยี่สิบเก้าพรรษา เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ ทรงผนวชอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำอโนมาก็ดี ทรงทำพระองค์ให้ลำบากด้วยความเพียรที่ยิ่งใหญ่ ตั้งหกปีแล้วเสด็จขึ้นสู่โพธิบัลลังก์ แล้วทรงแทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณก็ดี ทรงยังพระอิริยาบถให้เป็นไปที่ควงไม้โพธิ์ตลอดเจ็ดสัปดาห์ก็ดี เสด็จอาศัยป่าอิสิปตนะแล้วทรงหมุนล้อธรรมอันยอดเยี่ยมก็ดี ทรงกระทำยมก พึงทราบว่า ทรงปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลแก่ชนหมู่มาก ตลอดเวลาที่พระธาตุของพระองค์แม้เท่าเม็ดผักกาดยังธำรงอยู่. บทที่เหลือก็เป็นคำใช้แทนบทว่า ทรงปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลแก่ชนหมู่มาก นี้ทั้งนั้น. ในบทเหล่านั้น บทหลังเป็นไขความของบทก่อน. ในหลายบทว่า ในส่วนอดีต เรายังมองไม่เห็นเลย และในบัดนี้ก็มองไม่เห็น นี้หมายความว่า แม้ในอดีต เราก็มองไม่เห็น ในอนาคตก็มองไม่เห็น คนอื่นนอกจากพระ ถึงแม้ในอรรถกถา ท่านก็วิจารณ์ว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายทั้งที่ล่วงแล้วและที่ยังไม่มาถึง ต่างก็เหมือนพระศาสดาของพวกเราทั้งนั้น แล้วท้าวสักกะตรัสทำไม แล้ว ก็ในบทนี้ฉันใด แม้ในบทเหล่าอื่นจากนี้ ก็พึงทราบว่า มีใจความอย่างเดียวกันนี้ ฉันนั้น. คำทั้งหลายมีคำว่า ธรรมอันพระองค์ตรัสไว้ดีแล้วเป็นต้น และคำทั้งหลายเป็นต้นว่านี้เป็นกุศล มีใจความที่ได้กล่าวไว้แล้วทั้งนั้น. สองบทว่า น้ำแห่งแม่คงคา กับน้ำแห่งยมุนา ความว่า น้ำในที่รวมแห่งแม่น้ำคงคากับแม่น้ำยมุนา ย่อมเข้ากัน กลมกลืนกันได้ทั้งโดยสี ทั้งโดยกลิ่นทั้งโดยรส คือย่อมเป็นเช่นเดียวกันนั่นแหละ เหมือนทองที่หักตรงกลาง ไม่ใช่แตกต่างกัน เหมือนเวลาที่คลุกเคล้าเข้ากันกับน้ำของมหาสมุทร. ปฏิปทาเพื่อนิพพานที่หมดจด จึงหมดจด. จริงอยู่ บุคคลทำการงานมีเวชชกรรมเป็นต้น ในเวลาเป็นหนุ่มเที่ยวไปในอโคจร ก็ไม่อาจเห็นนิพพานในเวลาเป็นคนแก่ได้. ข้อปฏิบัติที่ให้ถึงพระนิพพานควรจะเป็นข้อปฏิบัติที่หมดจดจริงๆ เปรียบเหมือนอากาศ. จริงอย่างนั้น ข้อปฏิบัติของภิกษุผู้จะไปสู่พระนิพพาน ควรจะเปรียบด้วยอากาศ ไม่ข้องไม่ติดในตระกูลหรือในหมู่คณะ เหมือนทางดำเนิน ซึ่งเป็นที่ต้องการปรารถนาในอากาศ ของพระจันทร์และพระอาทิตย์ที่กำลังไปสู่อากาศ อันบริสุทธิ์ไม่มีอะไรติดขัด ฉะนั้น. ก็แหละข้อปฏิบัตินี้นั้น คือเช่นนั้นแหละ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติ ตรัส คือทรงแสดงไว้แล้ว. เพราะเหตุนั้น ท้าวสักกะจึงตรัสว่า ทั้งพระนิพพานทั้งข้อปฏิบัติย่อมเข้ากันได้ ดังนี้. บทว่า แห่งข้อปฏิบัติทั้งหลาย คือ ของผู้ตั้งอยู่ในข้อปฏิบัติ. บทว่า ผู้มี (การอยู่) ที่อยู่แล้ว คือ ผู้มีการอยู่อันอยู่เสร็จแล้ว. บทว่า ผู้มีคนเหล่านี้เป็นสหายอันตนได้แล้ว ความว่า ชื่อว่าสหาย เพราะไปด้วยกันกับคนเหล่านี้ในที่นั้นๆ. ก็คำว่า ผู้ไม่มีใครเป็นที่สอง ไม่มีสหาย ไม่มีใครเปรียบ นี้ ท้าวสักกะตรัสด้วยอรรถว่า ไม่มีใครเหมือนพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น. คำว่า ไม่ทรงติดอยู่ คือ หมายความว่า แม้ในท่ามกลางคนเหล่านี้ ก็ทรงอยู่ด้วยผลสมาบัติ คือด้วยพระทัยแล้ว ไม่ทรงติดคนเหล่านี้ ทรงตามประกอบความเป็นผู้มีความเป็นผู้เดียวเป็นที่มายินดีอยู่. หลายบทว่า ก็ลาภของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นสำเร็จยิ่งแล้วแล คือ ลาภอันยิ่งใหญ่เกิดขึ้นแล้วแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น. เกิดขึ้นแล้วตั้งแต่เมื่อไร เกิดขึ้นแล้วแก่พระองค์ตั้งแต่ทรงบรรลุอภิสัมโพธิแล้ว ทรงล่วงเจ็ดสัปดาห์ เสด็จหมุนล้อธรรมที่อิสิปตนะทรงทำการฝึกเทพและมนุษย์โดยลำดับ ทรงให้ อย่างที่ท่านหมายเอากล่าวไว้ว่า ก็แลโดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเป็นผู้อันชนทำสักการะแล้ว ทำ ลาภสักการะเกิดขึ้นมาเหมือนห้วงน้ำใหญ่ท่วมท้นอยู่ เพราะผลบุญอันหนาแน่นในสื่อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัป. ____________________________ ๑- สํ. นิ. เล่ม ๑๖/ข้อ ๒๗๙ เล่ากันมาว่า ในกรุงราชคฤห์ กรุงสาวัตถี กรุงสาเกต กรุงโกสัมพี กรุงพาราณสี ชื่อว่าปฏิปาฏิภัต (ภัตที่ให้ตามลำดับ) เกิดขึ้นแล้วแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า. ในกรุงเหล่านั้น คนหนึ่งจดบัญชีไว้ว่า ข้าพเจ้าจักสละทรัพย์ร้อยหนึ่งถวายทาน แล้วก็ติดไว้ที่ประตูวิหาร คนอื่น ข้าพเจ้าสองร้อย คนหนึ่ง ข้าพเจ้าห้าร้อย คนอื่น ข้าพเจ้าพันหนึ่ง คนอื่น ข้าพเจ้าสองพัน คนอื่น ข้าพเจ้าห้า สิบ ยี่สิบ ห้าสิบ คนอื่น ข้าพเจ้าแสนหนึ่ง คนอื่น ข้าพเจ้าจักสละทรัพย์สองแสนถวายทาน เขียนดังนี้แล้ว ก็ติดไว้ที่ประตูวิหาร. มหาชนคิดว่า ได้โอกาสข้าพเจ้าจักถวาย แล้วก็บรรทุกเต็มเกวียน ติดตามภิกษุที่แม้กำลังเที่ยวไปสู่ชนบททีเดียว. ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า ก็โดยสมัยนั้นแล พวกชาวชนบทเอาเกลือบ้าง น้ำมันบ้าง ข้าวสารบ้าง ของขบเคี้ยวบ้าง เป็นอันมากใส่ในเกวียนแล้วก็ติดตามปฤษฎางค์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยคิดว่า เราจักทำภัตในที่ที่เราจักได้ลำดับ.๒- ____________________________ ๒- วิ. มหา. เภสัชชขันธกะ เล่ม ๕/ข้อ ๖๑ แม้เรื่องอื่นๆ เป็นอันมากทั้งในขันธกะทั้งในพระวินัย ดังที่ว่ามานี้ ก็พึงทราบไว้. ก็แหละ ลาภนั่นถึงยอดแล้วในอสทิสทาน. เขาเล่ากันมาว่า สมัยหนึ่ง ครั้นเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเที่ยวจาริกไปตามชนบทแล้ว ทรงมาถึงพระเชตวัน พระราชาทรงนิมนต์มาถวายทาน. ในวันที่สองพวกชาวกรุงถวาย. พระราชาทรงถวายยิ่งกว่าทานของพวกชาวกรุงเหล่านั้นอีก พวกชาวกรุงก็ถวายยิ่งกว่าทานของพระองค์ เป็นดังนี้ ครั้นเมื่อล่วงไปหลายวันอย่างนั้น พระราชาทรงพระดำริว่า พวกชาวกรุงเหล่านี้พากันทำยิ่งขึ้นๆ ทุกๆ วัน จักมีคำครหาว่า เออ พวกชาวกรุงพิชิตพระราชาผู้ใหญ่ในแผ่นดินได้. ทีนั้น พระนางมัลลิกาได้กราบทูลอุบายแด่พระองค์. พระองค์รับสั่งให้เอากระดานไม้สาละชนิดดีมาสร้างปะรำ แล้วให้เอาดอกอุบลเขียว สำหรับพระผู้มีพระภาคเจ้า มีของสี่อย่างตีราคาไม่ได้. ของสี่อย่างที่ตีราคาไม่ได้เหล่านี้ คือที่เช็ดพระบาท ที่รองของ กระดานพิง มณีเชิงฉัตร. ไทยธรรมสำหรับภิกษุใหม่ในสงฆ์มีค่าแสนหนึ่ง. ก็แหละในการถวายทานนั้น พระองคุลิมาลเถระได้เป็นภิกษุใหม่ในสงฆ์. ใกล้ที่นั่งของท่าน ช้างที่นำมาๆ แล้ว ไม่สามารถเข้าใกล้ท่านได้. ลำดับนั้น เจ้า พระราชาได้ทรงถวายทานติดต่อกันเจ็ดวันด้วยประการฉะนี้. ในวันที่ ๗ พระราชาทรงถวายบังคมแล้วกราบทูลพระทศพลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระองค์โปรดแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์เถิด. ก็แหละในบริษัทนั้น มีอำมาตย์ ๒ คน คือกาฬะและชุณหะ. กาฬะคิดว่า สมบัติของราชตระกูลจะฉิบหาย พวกคนมีประมาณเท่านี้จักทำอะไร กินแล้วไปวัดแล้วก็จักนอนเท่านั้นเอง แต่ราชบุรุษคนเดียวได้สิ่งนี้ จะไม่กระทำหรือ โอ้! สมบัติของในหลวงจะฉิบหาย. ชุณหะคิดว่า ขึ้นชื่อว่า ความเป็นพระราชานี้ยิ่งใหญ่ คนอื่นใครเล่าจักทำสิ่งนี้ได้ ขึ้นชื่อว่าพระราชา คือผู้ที่แม้ดำรงอยู่ในความเป็นพระราชาแล้ว จะทรงให้ทานเห็นปานนั้นไม่ได้หรือ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูอัธยาศัยของบริษัท ก็ทรงทราบอัธยาศัยของคนทั้งสองนั้น จึงทรงพระดำริว่า ถ้าเราจะแสดงธรรมตามอัธยาศัยของชุณหะในวันนี้ ศีรษะของกาฬะจักแตกเป็นเจ็ดเสี่ยง ก็เราแลบำเพ็ญบารมีก็ด้วยความสงสารสัตว์ แม้ในวันอื่นเมื่อเราแสดงธรรม ชุณหะก็คงจักแทงตลอดมรรคผล สำหรับคราวนี้เราจักเห็นแก่กาฬะ แล้วได้ตรัสคาถาสี่บาทเท่านั้นแก่พระราชาว่า พวกคนตระหนี่จะไปเทวโลกไม่ได้ พวกคนโง่จะ ไม่สรรเสริญทานเลย แต่นักปราชญ์พลอยยินดีตามทาน เพราะเหตุนั้นเอง เขาจึงมีความสุขในโลกหน้า. พระราชาไม่ทรงพอพระราชหฤทัยว่า เราถวายทานเสียใหญ่โต แต่พระศาสดา มหาบพิตร พระองค์ไม่ทรงมีผิดอะไร แต่บริษัทไม่สะอาด เพราะฉะนั้น อาตม พระราชาตรัสถามกาฬะว่า อย่างนั้นหรือพ่อกาฬะ. อย่างนั้น มหาราช. พระราชาตรัสว่า เมื่อข้าให้ทรัพย์ของข้า เธอจะเดือดร้อนอะไรเล่า ข้าไม่อาจดูเธอได้ พวกเธอจงขับเขาจากแว่นแคว้นข้า. ต่อจากนั้น ตรัสสั่งเรียกชุณหะมาถามว่า นัยว่า พ่อคิดอย่างนั้นหรือ. อย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า. พระราชาตรัสว่า จงตามใจเธอเถิด เธอจงนิมนต์ภิกษุ ๕๐๐ รูปมานั่งบนที่นั่งที่ปูไว้ในปะรำนั่นแล แล้วให้ธิดากษัตริย์เหล่านั้นนั่นแหละแวดล้อม เอาทรัพย์จากพระราชวังมาถวายทานเจ็ดวันอย่างที่ข้าถวายทีเดียวนะ. เขาได้ทำอย่างนั้นแล้ว. ครั้นถวายเสร็จแล้วในวันที่เจ็ด ก็กราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระองค์โปรดแสดงธรรมแก่ข้าพระพุทธเจ้าเถิด. พระศาสดาทรงกระทำการอนุโมทนาทานแม้ทั้งสองให้เป็นอันเดียวกัน เหมือนทรงกระทำแม่น้ำใหญ่สองสายให้เต็มด้วยห้วงน้ำเดียวกัน ทรงแสดงพระธรรมเทศนากัณฑ์ใหญ่. เมื่อทรงเทศน์จบ ชุณหะก็ได้เป็นพระโสดาบัน. พระราชาทรงเลื่อมใส ทรงถวายผ้าชื่อปาวายแด่พระทศพล. พึงทราบว่า ก็ลาภสำเร็จยิ่งแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นแล ด้วยอาการอย่างนี้. บทว่า พระเกียรติสำเร็จอย่างยิ่ง คือ การสรรเสริญถึงพระเกียรติคุณ. ถึงแม้พระเกียรตินั้นก็สำเร็จอย่างยิ่งแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตั้งแต่ทรงหมุนล้อธรรมไป. จริงอย่างนั้น ตั้งแต่นั้นมา พวกกษัตริย์ก็พูดถึงพระเกียรติของพระผู้มีพระภาคเจ้า ถึงพวกพราหมณ์ พวกคหบดี พวกนาค พวกครุฑ พวกคนธรรพ์ พวกเทวดา พวกพรหม ต่างก็กล่าวถึงพระเกียรติแล้วสรรเสริญ ด้วยคำเป็นต้นว่า แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ฯ ถึงพวกเดียรถีย์ให้ทรัพย์พันหนึ่งแก่วรโรชะ แล้วส่งไปว่า เธอจงกล่าวโทษพระสมณโคดม. เขารับทรัพย์พันหนึ่งแล้ว ก็สำรวจดูพระทศพลตั้งแต่พื้นพระบาทจรดปลายพระเกศา โทษสักลิกขา๓- ก็ไม่เห็นมี จึงคิดว่าผู้ที่พลิกแพลงปากพูดถึงโทษในอัตภาพที่หาโทษมิได้ ซึ่งเกลื่อนกล่นไปด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ ประดับด้วยอนุพยัญชนะ ๘๐ อย่าง ห้อมล้อมไปด้วยรัศมีวาหนึ่ง เช่นกับปาริฉัตรที่บานเต็มที่ ท้องฟ้าที่โชติช่วงหมู่ดาวและนันทวันที่งดงามไปด้วยดอกไม้อันวิจิตรเช่นนี้ หัวต้องแตกเป็นเจ็ดเสี่ยง อุบายที่จะกล่าวติก็ไม่มี เราจะกล่าวชมเท่านั้น ดังนี้แล้วก็กล่าวชมอย่างเดียว ตั้งแต่พื้นพระบาทจนถึงปลายพระเกศา ด้วยถ้อยคำพันกว่าบท. ก็ขึ้นชื่อว่า พระเกียรตินั้น ถึงยอดในเรื่อง ____________________________ ๓- ลิกฺขา มาตราชั่ง หนักเท่ากับ ๑๒๙๖ อณู บทว่า แม้กระทั่งพวกกษัตริย์เหล่าอื่น ความว่า แม้คนเป็นต้นทั้งหมด คือพวกพราหมณ์ พวกแพทย์ พวกสูทร พวกนาค พวกครุฑ พวกอสูร พวกเทวดา พวกพรหม ล้วนแต่เป็นผู้รักใคร่ ร่าเริงพอใจด้วยกันทั้งนั้น. บทว่า ก็แลทรงปราศจากความเมา คือ ไม่ทรงเป็นผู้มัวเมาประมาทว่า พวกชนมีประมาณเท่านี้ เป็นผู้รักใคร่เรา แล้วเสวยพระกระยาหารด้วยสามารถการเล่นเป็นต้น แต่ที่แท้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นแล ทรงปราศจากความเมา เสวยพระกระยาหาร. บทว่า มีปกติตรัสอย่างไร ความว่า ตรัสคำใดด้วยพระวาจา พระกรณียกิจทางพระกายของพระองค์ก็คล้อยตามพระวาจานั้นจริงๆ และพระกรณียกิจที่ทรงกระทำด้วยพระกาย พระกรณียกิจทางพระวาจาของพระองค์ก็คล้อยตามพระกายโดยแท้ พระกายไม่ก้าวล่วงพระวาจา หรือพระวาจาก็ไม่ก้าวล่วงพระกาย พระวาจาสมกับพระกาย และพระกายก็สมกับพระวาจา. เหมือนอย่างว่า ข้างซ้ายเป็นหมู ข้างขวาเป็นแพะ โดยเสียงเป็นแกะ โดยเขาเป็นวัวแก่ ดังนี้ ยักษ์หมูนี้เมื่อเห็นฝูงหมู ก็แสดงด้านซ้ายเหมือนหมูแล้วก็จับหมูเหล่านั้นกิน ครั้นเห็นฝูงแพะ ก็แสดงด้านขวาเหมือนแพะนั้น แล้วก็จับแพะเหล่านั้นกิน ครั้นเห็นฝูงลูกแกะ ก็ร้องเป็นเสียงร้องของลูกแกะ แล้วก็จับลูกแกะเหล่านั้นกิน พอเห็นฝูงวัวก็นิรมิตเขาให้เหมือนเขาของพวกวัวเหล่านั้น ดูแต่ไกลก็เห็นเหมือนวัวด้วยประการฉะนี้ ก็จับวัวเหล่านั้นที่เข้ามาใกล้อย่างนั้น กินฉันใด และเหมือนอย่างกาในชาดกกาทรงธรรมที่พวกนกถามก็บอกว่า ข้าเป็นกาอ้าปากกินลม ยืนด้วยเท้าข้างเดียวเท่านั้น เพราะกลัวจะเหยียบสัตว์ตาย เพราะฉะนั้น แม้พวกท่าน ขอจงประพฤติธรรม ขอความเจริญ จงมีแก่พวกท่าน ญาติทั้งหลาย ขอพวกท่าน จงประพฤติธรรม ผู้ประพฤติธรรมเป็นปกติ ย่อมอยู่เป็นสุข ทั้งในโลกนี้ และในโลกหน้า. แล้วทำให้พวกนกตายใจ ต่อจากนั้น ก็กินหมู่นกที่มาถึงความตายใจอย่างนี้ว่า นกตัวนี้ช่างดีจริงหนอ นกตัวนี้ทรงธรรม อย่างยิ่ง เอาเท้าข้างเดียวยืนร้องว่า ธรรม ธรรม วาจาของยักษ์หมูและกาเหล่านั้น ไม่สมกับกายและกายก็ไม่สมกับวาจาฉันใด ของพระผู้มีพระภาคเจ้า หาเป็นฉันนั้นไม่ ท่านแสดงว่า เพราะพระวาจาของพระผู้มีพระภาคเจ้าสมกับพระกาย และพระกายก็สมกับพระวาจาโดยแท้จริงดังนี้. ชื่อว่า ทรงล่วงความสงสัยได้ เพราะพระองค์ทรงล่วงคือทรงข้ามความสงสัยได้แล้ว. ชื่อว่าทรงปราศจากการถามว่าอย่างไรๆ เพราะพระองค์ปราศจากการถามอย่างไรๆ เห็นปานนี้ว่า นี้อย่างไร นี้อย่างไร. จริงอยู่ พระศาสดาไม่เหมือนคนจำนวนมากที่ยังมีความสงสัยว่า ต้นไม้นี้ชื่อต้นอะไร ตำบลนี้ (ชื่อตำบลอะไร) อำเภอ (หรือจังหวัด) นี้ (ชื่ออำเภอหรือจังหวัดอะไร) แคว้นนี้ชื่อแคว้นอะไร ทำไมนะต้นไม้นี้จึงมีลำต้นตรง ต้นไม้นี้มีลำต้นคด ทำไมจึงมีหนาม บางต้นตรง บางต้นคด บางดอกกลิ่นหอม บางดอกกลิ่นเหม็น บางผลหวาน บางผลไม่หวาน. จริงอย่างนั้น พระศาสดาทรงทราบว่า เพราะธาตุเหล่านี้หนาแน่น สิ่งนี้จึงเป็นอย่างนี้ จึงทรงเป็นผู้ปราศจากการถามอย่างไรๆ โดยแท้. และสำหรับพระพุทธเจ้าก็ไม่ทรงเหมือนผู้ที่ได้ฌานที่ ๑ เป็นต้น มีความสงสัยในฌานที่ ๒ เป็นต้น และถึงแม้พระปัจเจกพุทธเจ้า ก็ยังมีความสงสัยด้วยอำนาจโวหารอยู่โดยแท้ เพราะยังไม่มีการตกลงใจตามความเป็นจริงด้วยสัพพัญญุตญาณ ท้าวสักกะท่านจึงทรงแสดงว่า ก็แลพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงปราศจากการถามว่าอย่างไรๆ ในทุกสิ่งทุกอย่าง ดังนี้. บทว่า จบความคิดแล้ว คือ พระศาสดาของเราไม่เหมือนคนบางคนที่ไปจบความคิด คือเต็มมโนรถเอาแค่ศีล บ้างก็แค่วิปัสสนา บ้างก็แค่ฌานที่ ๑ ฯลฯ บ้างก็ด้วยเนวสัญญานาสัญญาสมาบัติ บ้างก็แค่ความเป็นพระโสดาบัน บ้างด้วยอรหัตตมรรค บ้างด้วยสาวกบารมีญาณ บ้างด้วยปัจเจกโพธิญาณ. ท้าวสักกะทรงชี้ว่า ส่วนพระศาสดาของเรา ทรงจบความคิดด้วยสัพพัญญุตญาณ. บทว่า อชฺฌาสยํ อาทิพฺรหฺมจริยํ เป็นปฐมาวิภัติลงในอรรถแห่งตติยาวิภัติ. อธิบายว่า ทรงข้ามความสงสัยได้ ทรงปราศจากการถามว่าอย่างไรๆ ทรงสิ้นสุดความคิด ด้วยข้อปฏิบัติอันเป็นเบื้องต้น พรหมจรรย์อันเป็นที่อาศัยอย่างยิ่ง คือเป็นที่อาศัยชั้นสูงสุด และด้วยอริยมรรคอันเป็นพรหมจรรย์เก่าแก่. แม้ความที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจบความคิด ชื่อว่าสำเร็จแล้วด้วยอริยมรรคนั่นแหละ เพราะพระบาลีว่า ตรัสรู้ บทว่า เหมือนอย่างพระผู้มีพระภาคเจ้านั่นเทียว คือ พระผู้มีพระภาคเจ้านั่นแลฉันใด. คนทั้งหลายหวังอยู่พูดว่า โอ้หนอ! พระชินเจ้าสี่พระองค์พึงเที่ยวจาริกแสดงธรรมในทิศทั้งสี่บนพื้นชมพูทวีปเดียว. ต่อมา คนพวกอื่นหวังการเสด็จท่องเที่ยวไปด้วยกันในสามมณฑล ก็กล่าวว่า พระสัมมา พึงทราบวินิจฉัยในบทว่า นี้ไม่ใช่ฐานะ นี้ไม่ใช่โอกาส ดังต่อไปนี้. คำทั้งสองนี้คือ ฐานะ อวกาส เป็นชื่อของการณ์นั่นแหละ. จริงอยู่ การณ์ (เหตุ) ชื่อว่า ฐานะ เพราะผลย่อมตั้งอยู่ในที่นั้น เพราะความที่ผลเป็นของเป็นไปเกี่ยวเนื่องกับเหตุนั้น และเหตุนั้นก็เป็นเหมือนโอกาส จึงชื่อว่า อวกาส เพราะความที่ผลนั้น เว้นโอกาสนั้นเสียไม่มีในที่อื่น. บทว่า ยํ เป็นปฐมาวิภัติลงในอรรถตติยาวิภัติ. มีคำที่ท้าวสักกะทรงอธิบายไว้ดังนี้ว่า ในโลกธาตุเดียว พระพุทธเจ้าสองพระองค์พึงทรงเกิดขึ้นพร้อมกัน ด้วยเหตุใด เหตุนั้นไม่มี. และจักรวาลหนึ่งเท่านั้น ชื่อว่าหนึ่งโลกธาตุ ในคาถานี้ว่า พระจันทร์และพระอาทิตย์โคจร ส่องทิศให้สว่างไสว มีประมาณเท่าใด โลกตั้งพันก็เท่านั้น อำนาจของท่านย่อม เป็นไปในพันโลกนั้น. พันจักรวาล ชื่อว่าหนึ่งโลกธาตุในอาคตสถานว่า พันโลกธาตุได้หวั่นไหวแล้ว. ติสหัสสีจักรวาล มหาสหัสสีจักรวาล ชื่อว่าหนึ่งโลกธาตุ ในที่มาว่า อานนท์ ตถาคต เมื่อต้องการจะพึงใช้เสียงให้ติสหัสสีโลกธาตุ มหาสหัสสี หมื่นจักรวาลชื่อว่าโลกธาตุในที่มาว่า และหมื่นโลกธาตุนี้. พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงหมายถึงหมื่นโลกธาตุนั้น ตรัสว่า ในโลกธาตุหนึ่ง ดังนี้. ก็ที่เท่านี้ ชื่อว่าเขตแห่งพระชาติ. ถึงในเขตแห่งพระชาตินั้น ยกเว้นประเทศส่วนกลางแห่งชมพูทวีปในจักรวาลนี้เสียแล้ว ในประเทศอื่นพระพุทธเจ้าทั้งหลายหาได้ทรงเกิดขึ้นไม่ ก็แหละพ้นจากเขตแห่งพระชาติไป ไม่ปรากฏที่เสด็จเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายเลย. บทว่า ด้วยประโยชน์อันใด คือด้วยประโยชน์แห่งปวารณาสงเคราะห์ใด. บทว่า ด้วยวรรณะและด้วยยศนั่นเทียว ความว่า ด้วยเครื่องแต่งตัวและบริวาร และด้วยบุญสิริ. สาธุศัพท์เป็นไปในความเลื่อมใสในบทนี้ว่า สาธุท่านมหาพรหม. บทว่า พิจารณาแล้วยินดี คือ รู้แล้วจึงยินดี. ใครๆ ไม่สามารถกำหนดว่าเท่านี้ แล้วกล่าวได้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นทรงมีพระปัญญายิ่งใหญ่มานานเพียงไรแล้วเทียว ที่แท้ พระผู้มีพระภาคเจ้าของพวกเราพระองค์นั้นทรงมีพระปัญญายิ่งใหญ่มานาน คือนานเหลือเกินมาแล้ว เพราะฉะนั้น พวกท่านจะสำคัญอย่างไร ทีนั้น สนังกุมารพรหมมีความประสงค์จะแก้ปัญหานั้นด้วยพระองค์เองทีเดียว จึงตรัสว่า ท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย ไม่น่าอัศจรรย์เลย ข้อที่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงบำเพ็ญพระบารมีทำลายยอดมารทั้งสามที่โพธิบัลลังก์ ทรงมีพระญาณที่ไม่ทั่วไปซึ่งทรงแทงตลอดแล้ว พึงกลายเป็นผู้ทรงมีพระปัญญายิ่งใหญ่ในบัดนี้ อัศจรรย์อะไรในข้อนี้. แต่เพื่อนเอ๋ย ข้าพเจ้าจักบอกพวกท่านถึงความที่พระองค์ยังดำรงอยู่ใน เมื่อจะทรงนำเอาเหตุการณ์ที่ถูกภพปิดมาแสดง จึงตรัสคำเป็นต้นว่า ภูตปุพฺพํ โภ ดังนี้. คำว่า ปุโรหิต คือ ที่ปรึกษาสำหรับพร่ำสอนกิจทุกอย่าง. บทว่า โควินท์ คือได้รับอภิเษกด้วยการอภิเษกให้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน. ก็โดยปกติ เขามีชื่อเป็นอย่างอื่นแท้ๆ. ตั้งแต่เวลาได้รับอภิเษกแล้ว ก็ถึงการนับว่าโควินท์. คำว่า โชติบาล คือชื่อว่า โชติบาล เพราะรุ่งเรืองและเพราะรักษา. ได้ยินมาว่า ในวันที่โชติบาลเกิดนั้น อาวุธทุกชนิด ลุกโพลง. แม้พระราชา เมื่อทรงเห็นพระแสงมังคลาวุธของพระองค์ลุกโพลงในเวลาใกล้สว่าง ก็ทรงกลัวประทับยืนแล้ว. โควินท์ไปเฝ้าพระราชาแต่เช้าตรู่ กราบทูลถามการบรรทมเป็นสุข. พระราชาตรัสตอบว่า ท่านอาจารย์ ฉันจะนอนเป็นสุขแต่ที่ไหน แล้วก็ทรงบอกเหตุนั้น. มหาราชอย่าทรงกลัวเลย ลูกชายข้าพระพุทธเจ้าเกิดแล้ว ด้วยอานุภาพของเขา อาวุธทั้งหลายลุกโพลงทั่วทั้งพระนคร. พระราชาทรงคิดว่า เด็กนี้จะพึงเป็นศัตรูแก่เราหรือหนอ แล้วก็ยิ่งทรงกลัว. และเมื่อทรงถูกทูลถามว่า มหาราช พระองค์ทรงคิดอะไร? ก็ตรัสบอกข้อความนั้น. ทีนั้น โควินท์ได้กราบทูลพระองค์ว่า มหาราชอย่าทรงกลัวไปเลย เด็กนี้จักไม่ทำร้ายพระองค์ แต่ว่าในชมพูทวีปทั้งสิ้นจักไม่มีใครมีปัญญาเท่าเขา ความสงสัย พระราชาทรงพอพระทัยตรัสว่า จงเป็นค่าน้ำนมของเด็ก แล้วพระราชทานทรัพย์พันหนึ่ง ตรัสสั่งว่า จงแสดงเด็กแก่เรา ในเวลาเป็นผู้ใหญ่. เด็กถึงความเติบโตโดยลำดับ. เพราะความที่เด็กนั้นเป็นผู้รุ่งเรืองและเป็นผู้สามารถในการรักษา พ่อแม่จึงตั้งชื่อว่า โชติบาล. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า โชติบาล เพราะความรุ่งเรือง และเพราะการรักษาดังนี้. บทว่า ละได้อย่างถูกต้อง คือ สละได้โดยชอบ. หรือบทว่า สละได้โดยชอบ นี่เองเป็นปาฐะ. บทว่า เป็นผู้สามารถเห็นและไตร่ตรองข้อความ คือ เพราะเป็นผู้สามารถ อาจ ด้วยบทว่า อันโชติบาลมาณพนั่นแหละพึงพร่ำสอน ท่านแสดงว่า แม้พระราชานั้นก็ทรงถามโชติบาลนั่นแล แล้วจึงทรงปกครอง. บทว่า ขอความเจริญจงมีกะโชติบาลผู้เจริญ ความว่า ความเป็น ความเจริญ ความบรรลุคุณวิเศษ ความดีงามและมหามงคลทั้งหมดจงมีแก่โชติบาลผู้เจริญ. บทว่า ถ้อยคำนำให้เกิดความบันเทิง คือ จบคำปฏิสันถารอันเป็นเครื่อง บทว่า โชติบาลผู้เจริญ อย่าให้เราเสื่อมจากคำพร่ำสอน ความว่า อย่าให้เสื่อมเสียจากคำพร่ำสอน. อธิบายว่า เมื่อถูกขอร้องว่า จงพร่ำสอน ก็อย่าบอกเลิกพวกเราจากคำพร่ำสอนด้วยพูดว่า ข้าพเจ้าจะไม่พร่ำสอน. บทว่า จัดแจง คือ จัดแจง แต่งตั้ง. บทว่า พวกคนกล่าวอย่างนี้ ความว่า เมื่อพวกคนเห็นโชติบาลนั้นมีปัญญามากกว่าพ่อ พร่ำสอนกิจทุกชนิด จัดการงานทุกอย่าง ก็มีจิตยินดีกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ โควินทพราหมณ์หนอ ท่านผู้เจริญ มหาโควินทพราหมณ์หนอ. มีคำที่ท่านอธิบายอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ โควินทพราหมณ์เป็นบิดาของคนนี้ ส่วนคนนี้เป็น บทว่า กษัตริย์ ๖ องค์นั้น โดยที่ใด คือ กษัตริย์ ๖ องค์ที่ท่านกล่าวว่า สหายเหล่านั้นใด. เล่ากันมาว่า กษัตริย์เหล่านั้นร่วมพระบิดากับเจ้าชายเรณุ ทรงเป็นน้อง เพราะ บทว่า ผู้ทำของพระราชา ได้แก่ พวกข้าราชการ คือพวกอำมาตย์. บทว่า กามทั้งหลายเป็นที่ตั้งแห่งความเคลิบเคลิ้ม หมายความว่า กามทั้งหลายทำให้เมา ทำให้ประมาท. อธิบายว่า เมื่อเวลาล่วงไปๆ เจ้าชายเรณุนี้จะไม่พึงสามารถแม้เพื่อตามระลึกถึง เพราะฉะนั้น ท่านผู้เจริญทั้งหลายจงมา คือจงดำเนินมา. บทว่า ท่าน ข้าพเจ้ายังจำได้ คือ เขาว่าครั้งนั้นเป็นเวลาที่พวกคนชอบพูดความจริงกัน เพราะฉะนั้น เจ้าชายเรณุจึงไม่ตรัสคำไม่จริงว่า ข้าพเจ้าพูดเมื่อไร ใครได้เห็น ใครได้ยิน (แต่) ตรัสว่า ท่าน ข้าพเจ้ายังจำได้. บทว่า ถ้อยคำที่พึงบันเทิง คือ ถ้อยคำต้อนรับเห็นปานนี้ว่า มหาราช เมื่อพระราชาเสด็จสวรรคตแล้ว พระองค์อย่าไปทรงคิดอะไร นี่เป็นสิ่งแน่นอนของสรรพสัตว์ สังขารทั้งหลายเป็นอย่างนี้. บทว่า ตั้งเป็นหน้าเกวียนทั้งหมด คือ ตั้งหมดทั้ง ๖ แคว้นเป็นทางเกวียน. พระราชาแต่ละองค์มีราชสมบัติสามร้อยโยชน์ ประเทศที่เป็นที่รวมแห่งราชสมบัติของพระเจ้าเรณุสิบคาวุต. ก็ราชสมบัติของพระเจ้าเรณุอยู่ตรงกลางเช่นกับเพดาน. ทำไมจึงตั้งไว้อย่างนี้ กษัตริย์ทั้งหลาย เมื่อมาเฝ้าพระราชาเป็นบางครั้งบางคราว จักไม่ทรงเบียดเบียนราชสมบัติของกษัตริย์องค์อื่น ทรงมาและไปโดยประเทศของตนๆ เท่านั้น เพราะเมื่อทรงหยั่งลงสู่ราชสมบัติขององค์อื่นแล้ว ตรัสอยู่ว่า พวกท่านจงให้อาหาร จงให้โค พวกมนุษย์ก็จะยกโทษ พระราชาเหล่านี้ไม่เสด็จไปทาง มหาโควินท์คำนึงถึงข้อนี้ จึงตั้งไว้อย่างนี้ว่า เมื่อพวกพระราชาทรงบันเทิงพร้อมกันจงครอบครองราชสมบัติให้ยืนนานเถิด ดังนี้ นคร ๗ แห่งนี้ คือ ทันตปุระแห่งแคว้นกลิงค์ โปตนะแห่งแคว้นอัสสกะ มาหิสสดีแห่งแคว้นอวันตี โรรุกะแห่งแคว้นโสจิระ มิถิลาแห่งแคว้นวิเทหะ และสร้างจัมปาในแคว้น อังคะและพาราณสีแห่งแคว้นกาสี เหล่านี้โควินท์ สร้างไว้แล้ว อันมหาโควินท์นั่นแหละสร้างไว้เพื่อประโยชน์แก่พระราชาพระนามเหล่านี้คือ สัตตภู พรหมทัตต์ เวสสภู พร้อมกับภรตะ เรณุ และ สองธตรฐะ ทั้ง ๗ องค์นี้ได้เป็นผู้ทรงภาระในครั้งนั้น เป็นพระนาม แม้แห่งพระราชาทั้งเจ็ดพระองค์เหล่านั้น. จริงอยู่ ในเจ็ด บทว่า ทั้ง ๗ องค์ทรงมีภาระ คือ ทรงเป็นผู้มีพระภาระ ได้แก่ทรงเป็นมหา บทว่า เข้าไปหา คือ พระราชาทั้ง ๗ พระองค์ทรงพระดำริว่า อิสริยสมบัตินี้สำเร็จแล้วแก่พวกเรา ไม่ใช่ด้วยอานุภาพแห่งคนอื่น แต่ด้วยอานุภาพของมหาโควินท์ มหาโควินทร์ได้ทำให้พวกเราเหล่า ๗ ราชาพร้อมเพรียงกัน แต่งตั้งพวกเราในพื้นชมพูทวีป ก็แล พวกเราไม่ง่ายที่จะทำการตอบสนองแก่มหาโควินท์ผู้เป็นบุรพูปการี มหาโควินท์นี้แลจงพร่ำสอนพวกเรา แม้ทั้ง ๗ คน พวกเราจะให้มหาโควินท์นี้แลเป็นแม่ทัพและเป็นที่ปรึกษา เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราคงจะมีความเจริญแน่ แล้วก็เข้าไปหา. ถึงมหาโควินท์ก็คิดว่า เราได้ทำให้พระราชาเหล่านี้สมัครสมานกันแล้ว หากว่า พระราชาเหล่านี้จักมีคนอื่นเป็นแม่ทัพและเป็นที่ปรึกษา แต่นั้น พระราชาเหล่านี้ก็จักทรงถือถ้อยคำของแม่ทัพและที่ปรึกษาของตนๆ แล้วแตกกัน เราจะยอมรับทั้งตำแหน่งแม่ทัพและตำแหน่งที่ปรึกษาของพระราชาเหล่านี้แล้วรับว่า อย่างนั้น พระเจ้าข้า. บทว่า และพราหมณ์มหาศาล ๗ คน คือ มหาโควินท์มาคิดว่า เราจะพึงอยู่เฉพาะพระพักตร์หรือไม่ก็ตาม ในที่ทุกแห่ง พระราชาเหล่านี้จักทรงปฏิบัติหน้าที่โดยประการที่เราจักไม่อยู่เฉพาะพระพักตร์ได้ แล้วก็แต่งตั้งรองที่ปรึกษาไว้ ๗ คน ท่านหมายเอารองที่ปรึกษา ๗ คนนั้น จึงกล่าวคำนี้ว่า และพราหมณ์มหาศาล ๗ คน ดังนี้. ชื่อว่าผู้อาบ เพราะอาบน้ำวันละสามครั้ง หรืออาบในตอนเย็นและตอนเช้าทุกวัน หรือชื่อว่าอาบแล้ว ในเพราะจบการประพฤติพรต. ชื่อว่าผู้อาบ เพราะตั้งแต่นั้น พวกพราหมณ์ไม่กินไม่ดื่มร่วมกับพวกพราหมณ์ด้วยกัน. บทว่า ฟุ้งไป แปลว่า ขึ้นไปสูงอย่างยิ่ง. เล่ากันมาว่า ครั้งนั้น ถ้อยคำนี้แลเป็นไปแล้วแก่คนทั้งหลายในที่ที่นั่งแล้วๆ (ในที่นั่งทุกแห่ง) ว่า คนเราเมื่อได้ปรึกษากับพรหมแล้วก็จะพร่ำสอนได้หมดทั้งชมพูทวีป. บทว่า แต่เราไม่เลย ความว่า ได้ยินว่า มหาบุรุษคิดว่า คุณที่ไม่เป็นจริงนี้เกิดแก่เราแล้ว ก็แลการเกิดคุณขึ้นไม่ใช่ของหนักหนาอะไร แต่การรักษาคุณที่เกิดขึ้นแล้วนั่นแล เป็นของหนัก. อนึ่ง ทั้งๆ ที่เราไม่ได้คิดไม่ได้ปรึกษากระทำอยู่ คุณนี้ก็เกิดขึ้นแล้วเทียว ก็เมื่อเราคิดแล้วปรึกษาแล้วจึงทำ คุณก็จักยิ่งกว้างใหญ่เป็นแน่ แล้วก็แสวงหาอุบายในการเห็นพรหม เมื่อได้เห็นพรหมนั้นแล้ว ก็ปริวิตกถึงข้อนี้เป็นต้นว่า ก็แลข้อนั้นเราได้ฟังมาแล้ว ดังนี้. บทว่า เข้าเฝ้าพระเจ้าเรณุถึงที่ประทับ ความว่า มหาโควินท์มาคิดว่า ความต้องการเพื่อจะเฝ้า หรือความต้องการเพื่อจะสนทนากันในระหว่างอย่างนั้นจักไม่มีเลย เพราะเราตัดความกังวลได้แล้วจักอยู่สบาย ดังนี้ จึงเข้าเฝ้าเพื่อตัดความกังวลให้ขาด. ทุกแห่งก็นัยนี้. บทว่า พวกเช่นกัน คือ หญิงมีวรรณะเสมอกัน มีชาติเสมอกัน. บทว่า ให้สร้างสัณฐาคารหลังใหม่ คือ ให้สร้างที่อยู่อย่างวิจิตร เอาต้นอ้อมาล้อมข้างนอกมีที่พักกลางคืนที่พักกลางวันและที่จงกรม พร้อมบริบูรณ์เหมาะสำหรับอยู่ในฤดูฝน ๔ เดือน. บทว่า เพ่งกรุณาฌาน คือ เพ่งฌานทั้งหมวดสามและหมวดสี่แห่งกรุณา. ก็ในบทว่า เพ่งกรุณาฌานนี้ ด้วยมุขคือกรุณา ก็เป็นอันว่าพรหมวิหารที่เหลืออีกสามข้อ ท่านถือเอาแล้วเทียว. บทว่า ความกระสัน ความสะดุ้ง ความว่า เมื่ออยู่ในภูมิฌาน ไม่ว่าความกระสัน บทว่า ไม่รู้อยู่ คือ ไม่ทราบอยู่. บทว่า ทำอย่างไร พวกเราจึงจะรู้จักท่าน ความว่า พวกเราจะรู้จักท่านว่าอะไร. อธิบายว่า พวกเราจะจำท่านด้วยอาการอะไรในอาการเป็นต้นว่า คนนี้อยู่ที่ไหน ชื่ออะไร โคตรอะไร. คำว่า คนทั้งหลายรู้จักข้าพเจ้าว่าเป็นกุมาร ความว่า คนทั้งหลายรู้จักข้าพเจ้านั่นแลว่าเป็นกุมารว่าเป็นชายหนุ่ม. บทว่า ในพรหมโลก คือ ในโลกที่ประเสริฐสุด. บทว่า เป็นของเก่า คือ เป็นของนมนานเป็นของเก่าแก่. พรหมย่อมแสดงว่า ข้าพเจ้านั้นเป็นกุมารเก่า ชื่อสนังกุมารพรหม. บทว่า โควินท์ ท่านจงรู้อย่างนี้ ความว่า โควินท์ผู้เป็นบัณฑิต ท่านจงรู้ข้าพเจ้าอย่างนี้ คือจงจำข้าพเจ้าไว้อย่างนี้. ของที่พึงน้อมไปเพื่อแขก เรียกว่าของรับแขก ในคาถานี้ว่า ที่นั่ง น้ำ น้ำมันทาเท้า และผักนึ่งอย่างดี สำหรับพรหม (มีอยู่) ข้าพเจ้าขอต้อนรับผู้เจริญ ขอผู้เจริญจงรับของควรค่าของข้าพเจ้า. มีคำที่ท่านอธิบายไว้ด้วยบทว่า ของรับแขก นั้นเองว่า นี้ที่นั่งที่ปูไว้แล้ว เชิญนั่งบนที่นั่งนี้ นี้น้ำบริสุทธิ์ เชิญดื่มน้ำ เชิญล้างเท้าจากน้ำนี้ นี้น้ำมันทาเท้า ที่เอาน้ำมันมาปรุงเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่เท้า เชิญทาเท้าด้วยน้ำมันนี้. บทนี้ว่า ผักนึ่งอย่างดี คือ พรหมจรรย์ของพระโพธิสัตว์ หา เมื่อจะกล่าวว่า เชิญเอาผักนึ่งนี้ไปบริโภค จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า ข้าพเจ้าขอถามผู้เจริญเกี่ยวกับของรับแขก ของรับแขกทั้งหมดนี้มีไว้สำหรับพรหม ข้าพเจ้าขอถามของรับแขกเหล่านั้นกับผู้เจริญ ท่านผู้เจริญจงกระทำของรับแขกของข้าพเจ้า คือท่านผู้เจริญจงรับของรับแขกนี้ของข้าพเจ้าผู้ถามอยู่อย่างนี้. ก็ท่านมหาโควินท์นี้ไม่ทราบหรือว่า พรหมไม่บริโภคแต่สิ่งเดียวจากสิ่งนี้ ไม่ใช่ไม่ทราบ ทั้งที่ทราบอยู่ก็ถามด้วยมุ่งวัตรเป็นสำคัญว่า ชื่อว่าแขกที่มาสู่สำนักของตนเป็นผู้ที่ต้องถาม. ทีนั้นแล พรหมก็พิจารณาดูว่า บัณฑิตรู้ว่าเราไม่มีการทำการบริโภคแล้วจึงถามหรือหนอ หรือว่าตั้งอยู่ในความหลอกลวงแล้วจึงถาม ทราบว่าตั้งอยู่ในวัตรเป็นสำคัญจึงถาม จึงคิดว่า บัดนี้ เราควรรับ จึงกล่าวว่า โควินท์ เราจะขอรับของรับแขกที่ท่านกล่าวถึง. (มีคำที่มหาพรหมอธิบายว่า) โควินท์ คำที่ท่านกล่าวเป็นต้นว่า นี้ที่นั่งที่ปูไว้แล้วเชิญนั่งบนที่นั่งนี้ ในสิ่งเหล่านั้น เรานั้นชื่อว่าเป็นผู้นั่งแล้วบนที่นั่ง ชื่อว่าเป็นผู้ดื่มน้ำแล้ว แม้เท้าเราก็ชื่อว่าล้างแล้ว ชื่อว่าทาน้ำมันแล้ว ชื่อว่าบริโภคผักนึ่งน้ำแล้ว ตั้งแต่เวลาที่เรารับของที่ท่านให้ ท่านพูดถึงสิ่งใด สิ่งนั้นเป็นอันว่า เราได้รับเสร็จเรียบร้อยแล้ว เพราะเหตุนั้น ท่านจึงว่า โควินท์ เราขอรับของรับแขกที่กล่าวถึงนั้น. ก็แลครั้นรับของรับแขกแล้ว เมื่อจะทำโอกาสแห่งปัญหา มหาพรหมจึงกล่าวคำเป็นต้นว่า เพื่อประโยชน์เกื้อกูลในปัจจุบัน ดังนี้. บทว่า (ข้าพเจ้า) ผู้มีความสงสัย (ขอถามท่าน) ผู้ไม่สงสัย (ในปัญหา) ที่พึงทำให้คนอื่นเข้าใจ ความว่า ข้าพเจ้ายังมีความสงสัย (ขอถาม) ท่านผู้เจริญที่ไม่มีความสงสัยในปัญหาที่พึงทำให้คนอื่นเข้าใจ ซึ่งปรากฏแก่คนอื่น เพราะความที่ถูกคนอื่นสร้างขึ้นมาเอง. คำว่า ละความเป็นของเรา คือละตัณหาที่เป็นเครื่องมือให้ถือว่า นี้ของเรา ของเรานี้. คำว่า ในหมู่มนุษย์ คือในหมู่สัตว์ อธิบายว่า มนุษย์คนเราละความเป็นของเราแล้ว. คำว่า เป็นผู้โดดเดี่ยว คือ เป็นผู้เดียว หมายความว่า ยืนอยู่คนเดียว นั่งอยู่คนเดียว. ก็ในข้อนี้มีใจความของคำว่า ที่ชื่อว่าโดดเดี่ยว เพราะเป็นผู้เดียว เด่นขึ้น คือเป็นไป. ที่ชื่อว่า เป็นผู้โดดเดี่ยวเพราะเป็นผู้เช่นนั้น. คำว่า น้อมไปในความสงสาร คือ น้อมไปในฌานที่ประกอบด้วยความสงสาร. หมายความว่า ทำให้ฌานนั้นเกิดขึ้น. คำว่า ไม่มีกลิ่นสกปรก คือ ปราศจากกลิ่นเหม็น. คำว่า ตั้งอยู่ในนี้ คือตั้งอยู่ในธรรมเหล่านี้. คำว่า และกำลังสำเหนียกอยู่ในนี้ คือ กำลังศึกษาในธรรมเหล่านี้. นี้เป็นความย่อในเรื่องนี้. ส่วนความยาว มหาโควินท์และพรหมได้กล่าวไว้ข้างบนเสร็จแล้วแล. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ไม่รู้สิ่งเหล่านี้ มีความว่า ข้าพเจ้าไม่รู้ ไม่เข้าใจกลิ่นสกปรกเหล่านี้. บทว่า ธีระ ท่านจงกล่าวในที่นี้ ความว่า ธีระ คือนักปราชญ์ เพราะเหตุนั้น ท่านจงกล่าว คือจงบอกข้าพเจ้าในที่นี้. คำว่า หมู่สัตว์ถูกอะไรห่อหุ้มไว้ จึงมีกลิ่นเน่าเหม็นฟุ้งไป ความว่า สัตว์ถูกเครื่องกางกั้น คือกิเลสเป็นไฉนห่อหุ้มไว้จึงเน่าเหม็นฟุ้งไป คำว่า สัตว์อบาย ได้แก่สัตว์ที่เข้าถึงอบาย. บทว่า ปิดพรหมโลก คือ ชื่อว่าปิดพรหมโลกแล้ว เพราะพรหม มหาโควินท์ถามว่า หมู่สัตว์ถูกกิเลสอะไรห่อหุ้ม คือปิดได้แก่ปกปิดทางพรหม มหาพรหมตอบว่า ความโกรธ การกล่าวเท็จ ความหลอกลวง ความประทุษ คำว่า ความตระหนี่ การดูหมิ่น ความริษยา ความว่า ความตระหนี่มีความกระด้างและความเหนียวแน่นเป็นลักษณะ การดูหมิ่นมีการเหยียบย่ำแล้วดูถูกเป็นลักษณะ และความริษยามีความสิ้นไปแห่งสมบัติคนอื่นเป็นลักษณะ. บทว่า ความอยาก ความอยากแปลกๆ และความเบียดเบียนผู้อื่น ความว่า ความอยากมีความทยานอยากเป็นลักษณะ ความหวงแหนมีความตระหนี่เป็นลักษณะ และความเบียดเบียนผู้อื่นมีการทำให้ลำบากเป็นลักษณะ. บทว่า ความอยากได้ ความประทุษร้าย ความเมาและความหลง คือ ความอยากได้มีความโลภเป็นลักษณะ ความประทุษร้ายมีความร้ายกาจเป็นลักษณะ ความเมามีความมัวเมาเป็นลักษณะ และความหลงมีความลุ่มหลงเป็นลักษณะ. บทว่า ผู้ประกอบในเหล่านี้ ไม่ใช่เป็นผู้ไม่มีกลิ่นสกปรก ความว่า หมู่สัตว์ที่ประกอบในกิเลสทั้ง ๑๔ ข้อเหล่านี้ ไม่ใช่เป็นผู้ไม่มีกลิ่นสกปรก. มหาพรหมกล่าวว่า เป็นผู้มีกลิ่นสกปรก มีกลิ่นศพ มีกลิ่นเน่าเหม็นแท้ๆ. บทว่า สัตว์อบายปิดพรหมโลกแล้ว มหาพรหมย่อมแสดงว่า ก็แหละ หมู่สัตว์นี้เป็นสัตว์อบายและเป็นผู้ปิดทางพรหมโลก. ก็แลผู้กล่าวสูตรนี้อยู่พึงกล่าวให้แจ่มแจ้งได้ด้วยอามคันธสูตร แม้อามคันธสูตรก็พึงกล่าวให้แจ่มแจ้งได้ด้วยสูตรนี้. บทว่า (กลิ่นน่าสะอิดสะเอียน) เหล่านั้น ไม่ใช่พึงย่ำยีได้ง่าย ความว่า กลิ่นเหม็นๆ เหล่านั้น ไม่ใช่เป็นสิ่งที่จะพึงย่ำยีเสียได้โดยง่าย คือไม่ใช่เป็นสิ่งที่จะพึงย่ำยีเสียได้อย่างสะดวก คือไม่ใช่เป็นสิ่งที่จะพึงละได้อย่างง่ายๆ. หมายความว่า ละยาก คือลำบากที่จะละ. บทว่า โควินท์ผู้เจริญย่อมสำคัญกาลเพื่อสิ่งใดในบัดนี้ ความว่า โควินท์ผู้เจริญย่อม ครั้นกระทำงาน คือความมั่นคงแก่มหาบุรุษว่า การบวชนี้ชื่อว่าความเป็นพระพุทธเจ้า ดังนี้แล้ว พรหมสนังกุมารก็ไปสู่พรหมโลกตามเดิม. แม้มหาบุรุษมาคิดว่า การที่เราออกจากที่นี้แลบวชไม่สมควร เราย่อมพร่ำสอนอรรถแก่ราชตระกูล เพราะฉะนั้น เราจักกราบทูลแด่พระราชา ถ้าพระองค์จักทรงผนวชด้วยก็เป็นการดีแท้ ถ้าจักไม่ทรงผนวช เราจักเวรคืนตำแหน่งที่ปรึกษาเสร็จแล้วจึงบวช ดังนี้แล้วจึงเข้าเฝ้าพระราชา. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ท่าน ครั้งนั้นแล มหาโควินท์ ฯลฯ ข้าพระ |