![]() |
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
![]() |
![]() |
อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() หน้าต่างที่ ๓ / ๕. บทว่า ปาปิมา เป็นไวพจน์ของคำว่า มารนั้นนั่นเอง. จริงอยู่ มารนั้น ท่านเรียกว่ามาร เพราะประกอบด้วยบาปธรรม. แม้คำว่า กัณหะ อันตกะ นมุจิ ปมัตตพันธุ ก็เป็นชื่อของมารนั้นเหมือนกัน. บทว่า ภาสิตา โข ปเนสา ความว่า ก็มารนี้ ติดตามมาที่โพธิมัณฑสถาน ในสัปดาห์ที่ ๘ นับแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ กล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบรรลุประโยชน์ บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิยตฺตา ได้แก่ ฉลาดโดยมรรค. ภิกษุทั้งหลายถูกแนะนำอย่างนั้นเหมือนกัน แกล้วกล้าก็อย่างนั้น. บทว่า พหุสฺสุตา ชื่อว่าพหูสูต เพราะมีสุตะมาก โดยพระไตรปิฏก. ชื่อว่าธรรมธร เพราะทรงธรรมนั่นแล. อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบความในข้อนี้อย่างนี้ว่า เป็นพหูสูตโดยปริยัติ ๑ เป็นพหุสูตโดยปฏิเสธ ๑. ชื่อว่าธรรมธร เพราะทรงธรรม คือปริยัติและปฏิเวธนั่นแล. บทว่า ธมฺมานุธมฺมปฏิปนฺนา ได้แก่ ปฏิบัติวิปัสสนาธรรมอันสมควรแก่อริยธรรม. บทว่า สามีจิปฏิปนฺนา ได้แก่ ปฏิบัติปฏิปทาอันเหมาะ. บทว่า อนุธมฺมจาริโน แปลว่า มีปกติประพฤติธรรมอันสมควร. บทว่า สกํ อาจริยกํ ได้แก่ วาทะอาจารย์ของตน. คำทั้งหมดมีว่า อาจิกฺขนฺติ เป็นต้น เป็นไวพจน์ของกันและกัน. บทว่า สห ธมฺเมน ได้แก่ ถ้อยคำอันมีเหตุมีการณ์. บทว่า สปฺปาฏิหาริยํ ความว่า จักแสดงธรรม จนถึงธรรมอันนำสัตว์ออกจากทุกข์. บทว่า พฺรหฺมจริยํ ได้แก่ สาสน บทว่า ปถุภูตํ ได้แก่ ถึงความแน่นหนาโดยอาการทั้งปวง. แน่นหนาอย่างไร. แน่นหนาจนกว่าเทพยดาและมนุษย์ประกาศด้วยดีแล้ว. อธิบายว่า เทวดาและมนุษย์ผู้เป็นวิญญูชนมีอยู่ประมาณเพียงไร เทวดาและมนุษย์ทั้งหมดนั้นประกาศดีแล้ว. บทว่า อปฺโปสฺสุกฺโก ได้แก่ ปราศจากความอาลัย. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนมารผู้มีบาป ตั้งแต่สัปดาห์ที่ ๘ ท่าน อายุสงฺขารโอสฺสชฺชนวณฺณนา บทว่า มหาภูมิจาโร ได้แก่ มหาปฐพีหวั่นไหว. ได้ยินว่า ครั้งนั้น หมื่น บทว่า ภึสนโก ได้แก่ เกิดความน่ากลัว. บทว่า เทวทุนฺทภิโยว ผลึสุ ได้แก่ เหล่ากลองทิพย์ก็บันลือลั่น เมฆฝนก็กระหึ่ม ครึมครางดั่งฤดูแล้ง สายฟ้ามิใช่ฤดูกาลก็แลบแปลบปลาบ. ท่านอธิบายว่า ฝนตกชั่วขณะ. ในคำว่า อุทานํ อุทาเนสิ ถามว่า ทรงอุทานเพราะเหตุไร. ตอบว่า เพราะได้ยินว่า ชื่อว่าใครๆ จะพึงพูดว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าถูกมาร ในอุทานนั้น ชื่อว่า ตุละ เพราะชั่งกำหนดโดยภาวะที่ประจักษ์ของสัตว์มีสุนัขบ้าน สุนัขจิ้งจอกเป็นต้นทั้งหมด. กรรมที่ชั่งได้นั้นเป็นอย่างไร. ได้แก่ กรรมฝ่ายกามาวจร. ชื่อว่า อตุละ เพราะชั่งไม่ได้. หรือ โลกิยกรรมอย่างอื่นที่เทียม ที่เหมือนกับกามาวจร อีกอย่างหนึ่ง กามาวจรกรรม รูปาวจรกรรมจัดเป็นตุละ. อรูปาวจรกรรมจัดเป็น อีกอย่างหนึ่ง กรรมที่มีวิบากน้อย ชื่อว่าตุละ. ที่มีวิบากมาก ชื่อว่าอตุละ. บทว่า สมฺภวํ ได้แก่ กรรมที่กระทำเป็นก้อน. อธิบายว่า กระทำเป็นกองอันเป็นเหตุเกิด. บทว่า ภวสงฺขารํ ได้แก่ กรรมที่แต่งภพใหม่. บทว่า อวสฺสชฺชิ ได้แก่ ปลง. บทว่า มุนี ได้แก่ พระมุนี คือพระพุทธเจ้า. บทว่า อชฺฌตฺตรโต คือ ยินดีภายในแน่นอน. บทว่า สมาหิโต คือ ตั้งมั่นแล้วด้วยอุปจารสมาธิและอัปปนาสมาธิ. บทว่า อภินฺทิ กวจมิว ได้แก่ ทำลายกิเลส ดุจเกาะ. บทว่า อตฺตสมฺภวํ ได้แก่ กิเลสที่เกิดแล้วในตน. ท่านอธิบายไว้ว่า พระมุนีทรงปลดปล่อยโลกิยกรรม กล่าวคือตุลกรรมและอตุล อีกนัยหนึ่ง บทว่า ตุลํ ได้แก่ ชั่ง คือพิจารณา. บทว่า อตุลญฺจ สมฺภวํ ได้แก่ พระนิพพานและภพ. บทว่า ภวสงฺขารํ ได้แก่ กรรมที่ไปสู่ภพ. บทว่า อวสฺสชฺชิ มุนี ความว่า พระมุนี คือ ____________________________ ๑- ขุ. ปฏิ. เล่ม ๓๑/ข้อ ๗๓๕ ๒- ม. ม. เล่ม ๑๓/ข้อ ๘๘ องฺ. จตุกฺก. เล่ม ๒๑/ข้อ ๒๓๒ มหาภูมิจาลวณฺณนา บทว่า มหาวาตา วายนฺตา ได้แก่ ธรรมดาว่า ลมอุกเขปกะเมื่อเกิดขึ้น ก็พัดตัดลมที่อุ้มน้ำหนา ๙๖๐,๐๐๐ โยชน์ขาดสะบั้น แต่นั้น น้ำก็ตกลงในอากาศ เมื่อน้ำตกลงแผ่นดินก็ตกลง. ลมก็หอบรับน้ำไว้อีกด้วยกำลังของตน เหมือนน้ำภายในธมกรก. แต่น้ำนั้นก็พุ่งขึ้น เมื่อน้ำพุ่งขึ้นแผ่นดินก็พุ่งขึ้น น้ำไหวแล้วก็ทำให้แผ่นดินไหวอย่างนี้. การไหวของน้ำและแผ่นดินย่อมมีมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ด้วยประการฉะนี้. แต่ความพุ่งลงและพุ่งขึ้นย่อมไม่ปรากฏ เพราะเป็นของหนา. บทว่า มหิทฺธิโก มหานุภาโว ความว่า สมณะหรือพราหมณ์ ชื่อว่าผู้มีฤทธิ์มาก เพราะมีความสำเร็จมาก ชื่อว่าผู้มีอานุภาพมาก เพราะสิ่งที่จะได้รับมาก. บทว่า ปริตฺตา แปลว่า มีกำลังน้อย. บทว่า อปฺปมาณา ได้แก่ ผู้มีกำลัง. บทว่า โส อิมํ ปฐวึ กปฺเปติ ความว่า ท่านทำฤทธิ์ให้เกิดแล้วเกิดความสังเวช เหมือนพระมหา ได้ยินว่า สามเณรนั้นขณะโกนผมเท่านั้นก็บรรลุพระอรหัต คิดว่า มีภิกษุไรๆ ไหมหนอ ที่เคยบรรลุพระอรหัตในวันที่บวชนั่นเอง แล้วทำเวช ครั้งนั้น เหล่านางรำของท้าวสักกะ ก็กล่าวกะสามเณรนั้นว่า ลูกสังฆรักขิต เธอประสงค์จะทำเวชยันตปราสาทให้ไหวด้วยศีรษะที่มีกลิ่นเหม็นเท่านั้นพ่อเอ๋ย ปราสาท แต่นั้น พระเถระพูดกะสามเณรนั้นว่า พ่อ สังฆรักขิต เจ้ายังไม่ได้ศึกษาจะเข้าไปต่อยุทธ์หรือ แล้วถามว่า พ่อเจ้าไม่สามารถทำให้เวชยันตปราสาทให้ไหวหรือ. ตอบว่า ผมยังไม่ได้อาจารย์นี้ขอรับ. ลำดับนั้น พระเถระจึงกล่าวกะสามเณรนั้นว่า พ่อเอ๋ย เมื่อคนเช่นเจ้าให้ไหวไม่ได้ คนอื่น คือใครเล่าจักให้ไหวได้ เจ้าเคยเห็นก้อนโคมัยลอยอยู่เหนือหลังน้ำไหมละพ่อ แล้วกล่าวต่อไปว่า พ่อเอ๋ย คนทั้งหลายเขาทำขนมเบื้อง เขาไม่ตัดที่ปลายดอก เจ้าจงรู้ด้วยอุปมานี้. สามเณรกล่าวว่า ปราสาทนั้นจักหมุนด้วยอาการเพียงเท่านี้ขอรับ แล้วอธิษ เราบวชวันนี้ก็บรรลุอาสวักขัยวันนี้ เราทำปราสาทให้ไหววันนี้ โอพระพุทธเจ้าทรงมีพระคุณมโหฬาร. เราบวชวันนี้ก็บรรลุอาสวักขัยวันนี้ เราทำปราสาทให้ไหววันนี้ โอพระธรรมมีพระคุณมโหฬาร. เราบวชวันนี้ก็บรรลุอาสวักขัยวันนี้ เราทำปราสาทให้ไหววันนี้ โอพระสงฆ์มีพระคุณมโหฬาร. คำที่จะพึงกล่าวในเรื่องแผ่นดินไหว ๖ ประการนอกจากนี้ ท่านกล่าวไว้แล้วในมหา ในเหตุเกิดแผ่นดินไหว ๘ ประการนี้ ดังกล่าวมานี้ ครั้งที่ ๑ ไหวด้วยธาตุกำเริบ ครั้งที่ ๒ ไหวด้วยอานุภาพของผู้มีฤทธิ์ ครั้งที่ ๓ และครั้งที่ ๔ ไหวด้วยเดชแห่งบุญ ครั้งที่ ๕ ไหวด้วยอำนาจแห่งญาณ ครั้งที่ ๖ ไหวด้วยอำนาจสาธุการ ครั้งที่ ๗ ไหวด้วยอำนาจความเป็นผู้มีกรุณา ครั้งที่ ๘ ไหวด้วยการร้องไห้. ครั้งเมื่อพระมหาสัตว์ลงสู่พระครรภ์พระมารดาและออกจากพระครรภ์นั้น แผ่นดินไหวด้วยอำนาจแห่งบุญของพระองค์. ครั้งตรัสรู้อภิสัมโพธิญาณ แผ่นดินไหวด้วยอำนาจพระญาณ ครั้งประกาศพระธรรมจักร แผ่นดินก็ผงาดขึ้นให้สาธุการไหว ครั้งปลงอายุสังขาร แผ่นดินผงาดขึ้นด้วยความกรุณา ทนความเคลื่อนไหวแห่งจิตไม่ได้ก็ไหว. ครั้งปรินิพพาน แผ่นดินก็ถูกกระหน่ำด้วยกำลังการร้องไห้ก็ไหว. ก็ความนี้พึงทราบด้วยอำนาจเทวดาประจำแผ่นดิน. แต่ข้อนี้ไม่มีแก่ปฐวีธาตุที่เป็นมหาภูตรูป เพราะไม่มีเจตนาแล บทว่า อิเม ในคำว่า อิเม โข อานนฺท อฎฺฐ เหตู นี้เป็นการชี้ข้อที่ทรงแสดงมาแล้ว. ก็แลด้วยเหตุเพียงเท่านี้ ท่านพระอานนท์กำหนดว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงปลงอายุสังขารวันนี้แน่แท้. ส่วนพระผู้มีพระภาคเจ้า แม้ทรงทราบว่าพระอานนท์กำหนดได้ ก็ไม่ประทานโอกาส ทรงประมวลเหตุทั้ง ๘ แม้อย่างอื่นเข้าไว้ด้วย จึงตรัสว่า อฎฺฐ โข อิมา ดังนี้เป็นต้น. อฏฺฐปริสวณฺณนา คำนี้ใช้ได้แม้ในจักรวาลอื่นๆ. บทว่า สลฺลปิตปุพฺพํ ได้แก่ เคยกระทำการสนทนาปราศรัย. บทว่า สากจฺฉา ได้แก่ เคยเข้าร่วมแม้แต่การสนทนาธรรม. บทว่า ยาทิสโก เตสํ วณฺโณ ความว่า สมณพราหมณ์เหล่านั้นผิวขาวบ้าง ผิวดำบ้าง ผิวสองสีบ้าง พระศาสดามีพระฉวีเหลืองดังทองคำ. ก็คำนี้ ท่านกล่าวอาศัยทรวดทรง. ก็แม้ทรวดทรงของสมณพราหมณ์เหล่านั้น ปรากฏเพียงอย่างเดียวเท่านั้น. ส่วนพระผู้มีพระภาคเจ้ามิใช่เหมือนชนชาติมิลักขะ ทั้งไม่ทรงสวมมณีกุณฑลประทับนั่งโดยเพศของพระพุทธเจ้าเท่านั้น. ก็ บทว่า ยาทิสโก เตสํ สโร ความว่า สมณ ความจริง แม้หากว่า ในบริษัทนั้น พระศาสดาประทับนั่งตรัสบนราชอาสน์ สมณ บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โก นุ โข อยํ ความว่า สมณพราหมณ์เหล่านั้นแม้พิจารณาทบทวนอย่างนี้ก็ไม่รู้ว่า ผู้นี้เป็นใครกันหนอตรัสด้วยภาษามคธ ภาษาสีหล ด้วยอาการละมุนละไม ในที่นี้เดี๋ยวนี้ ก็หายวับไป เป็นเทวดาหรือมนุษย์. ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมแก่เหล่าชนผู้ไม่รู้อย่างนี้ เพื่อประโยชน์อะไร. ตอบว่า เพื่อต้องการจะอบรม. จริงอยู่ เมื่อเป็นเช่นนี้ ธรรมที่แม้เขาฟังแล้ว ก็จะเป็น พึงทราบเหตุเกิดแห่งบริษัททั้งหลายมีพราหมณ์บริษัทหลายร้อยเป็นต้น โดยอำนาจโสณทัณฑสมาคมและกูฏทันตสมาคมเป็นต้น และด้วยอำนาจจักรวาลอื่น. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนำบริษัท ๘ นี้มาเพื่ออะไร? เพื่อแสดงความเป็นผู้ไม่กลัว. ได้ยินว่า พระองค์นำบริษัทเหล่านี้มาตรัสอย่างนี้ว่า อานนท์ ความกลัวหรือความกล้า ไม่มีแก่ตถาคตผู้เข้าไปหาบริษัท ๘ เหล่านี้แล้วแสดงธรรม แต่ใครเล่าควรจะให้เกิดความเข้าใจอย่างนี้ว่า ตถาคตเห็นมารแต่ละตนแล้วพึงกลัว อานนท์ ตถาคตไม่กลัว ไม่หวาด มีสติสัมปชัญญะปลงอายุสังขาร ดังนี้. อฏฺฐอภิภายตนวณฺณนา ครอบงำอะไร? ครอบงำธรรมที่เป็นข้าศึกบ้าง อารมณ์บ้าง. ความจริง เหตุเหล่านั้นย่อมครอบงำธรรมที่เป็นข้าศึก เพราะภาวะที่เป็นปฏิปักษ์ครอบอารมณ์ เพราะเป็นบุคคลที่ยิ่งด้วยญาณ. ก็ในคำว่า อชฺฌตฺตํ รูปสญฺญี ดังนี้เป็นต้น บุคคลชื่อว่ามีสัญญาในรูปภายในด้วยอำนาจบริกรรมในรูปภายใน. จริงอยู่ บุคคลเมื่อกระทำบริกรรมนีลกสิณในรูปภายใน ย่อมกระทำที่ผม ที่ดีหรือที่ดวงตา. เมื่อกระทำบริกรรมในปีตกสิณ ย่อมกระทำที่มันข้น ที่ผิว ที่หลังมือ หลังเท้า หรือที่สีเหลืองของดวงตา. เมื่อกระทำบริกรรมในโลหิตกสิณ กระทำที่เนื้อ เลือด ลิ้น หรือที่สีแดงของดวงตา. เมื่อกระทำบริกรรมในโอทาตกสิณ ย่อมกระทำที่กระดูก ฟัน เล็บ หรือที่สีขาวของดวงตา แต่บริกรรมนั้น เขียวดี เหลืองดี แดงดี ขาวดี ก็หาไม่ ยังไม่บริสุทธิ์ทั้งนั้น. บทว่า เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ ความว่า บริกรรมนั้นของบุคคลใด เกิดขึ้นภายใน แต่นิมิตเกิดในภายนอก. บุคคลนั้นมีความสำคัญว่ารูปในภายในด้วยอำนาจบริ บทว่า ปริตฺตานิ ได้แก่ ไม่เติบโต. บทว่า สุวณฺณทุพฺพณฺณานิ แปลว่า มีวรรณะดีหรือวรรณะทราม. อภิภายตนะนี้ พึงทราบว่า ท่านกล่าวไว้ด้วยอำนาจปริตตารมณ์. บทว่า ตานิ อภิภุยฺย ความว่า คนมีท้องไส้ดีได้ข้าวเพียงทัพพีเดียวจึงมาคิดว่า จะพอกินหรือกระทำเป็นคำเดียว ฉันใด บุคคลผู้ยิ่งด้วยญาณมีญาณกล้า คิดว่าจะพึงเข้าสมาบัติในอารมณ์เล็กน้อยเท่านี้จะพอหรือ. นี้ไม่หนักสำหรับเรา แล้วครอบงำรูปเหล่านั้นเข้าสมาบัติ. อธิบายว่า ย่อมให้ถึงอัปปนาในอภิภายตนะนั้น พร้อมกับทำนิมิตให้เกิดขึ้นทีเดียว. ก็ด้วยบทว่า ชานามิ ปสฺสามิ นี้ ท่านกล่าวถึงความคำนึงแห่งบุคคลนั้น. ก็แล เมื่อออกจากสมาบัติ ความคำนึงนั้นก็ไม่มีภายในสมาบัติ. บทว่า เอวํสญฺญี โหติ ความว่า มีสัญญาอย่างนี้ ด้วยสัญญาในความคำนึงบ้าง ด้วยสัญญาในฌานบ้าง. จริงอยู่ สัญญาเป็นเครื่องครอบงำย่อมมีแก่บุคคลนั้น แม้ภายในสมาบัติ. ส่วนสัญญาในความคำนึง ย่อมมีเมื่อออกจากสมาบัติเท่านั้น. บทว่า อปฺปมาณานิ ความว่า มีประมาณที่เจริญแล้ว คือใหญ่. ส่วนในบทว่า อภิภุยฺย นี้ เปรียบเหมือนบุรุษกินจุได้ข้าวพูนชาม ก็ยังคิดว่า ของอย่างอื่นจงยกไว้ ข้าวนี้จักพอแก่เราหรือไม่ ไม่เห็นข้าวนั้นว่ามากฉันใด บุคคลผู้ยิ่งด้วยญาณ มีญาณแก่กล้าก็ฉันนั้นเหมือนกัน คิดว่า จะเข้าฌานในอารมณ์นี้ได้หรือ อารมณ์นี้ไม่มีประมาณก็หาไม่ จึงครอบงำอารมณ์เหล่านั้น เข้าฌานด้วยคิดว่า ในการกระทำเอกัคคตาจิตไม่หนักแก่เราเลย. อธิบายว่า ให้ถึงอัปปนาในอารมณ์นั้น พร้อมกับจิตตุปบาทนั่นแล. บทว่า อชฺฌตฺตํ รูปสญฺญี ความว่า เว้นจากบริกรรมสัญญาในรูปภายใน เพราะยังไม่ได้ หรือเพราะไม่ต้องการ. บทว่า เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ ความว่า ทั้งบริกรรมทั้งนิมิตของผู้ใดเกิดขึ้นในภายนอก ข้อที่เหลือในคำนั้นมีนัยกล่าวแล้ว ในอภิภายตนะที่ ๔ ทั้งนั้น. ก็ในอภิภายตนะ ๔ เหล่านี้ ปริตตอภิภายตนะมาด้วยอำนาจวิตกจวิต อัปปมาณอภิ จริงอยู่ อภิภายตนะเหล่านี้เป็นสัปปายะของผู้มีจริตเหล่านี้. แม้ความที่อภิภา พึงทราบวินัยในอภิภายตนะที่ ๕ เป็นต้นดังต่อไปนี้ บทว่า นีลานิ ท่านกล่าวไว้โดยรวมทั้งหมด. บทว่า นีลวณฺณานิ ท่านกล่าวโดยวรรณะ. บทว่า นีลนิทสฺสนานิ ท่านกล่าวโดยตัวอย่าง ท่านอธิบายว่า วรรณะที่ไม่เจือกัน ที่ไม่ปรากฏช่องว่าง ปรากฏว่ามีสีเขียวเป็นอันเดียวกัน. ส่วนคำว่า นีลนิภาสานิ นี้ ท่านกล่าวไว้โดยอำนาจโอภาส. อธิบายว่า มีแสงสีเขียว คือประกอบด้วยรัศมีเขียว. ด้วยบทนี้ ท่านแสดงความที่วรรณะเหล่านั้นบริสุทธิ์. จริงอยู่ ท่านกล่าวว่าอภิภายตนะ ๔ เหล่านี้ไว้โดยวรรณบริสุทธิ์เท่านั้น. บทว่า อุมฺมารปุปฺผํ ความว่า จริงอยู่ ดอกไม้นี้สนิทอ่อนนุ่ม แม้ที่เห็นๆ กันอยู่ ก็สีเขียวทั้งนั้น ส่วนดอกกัณณิกาเขาเป็นต้นที่เห็นๆ กันอยู่ ก็ขาว เพราะฉะนั้น ท่านจึงถือเอาดอกผักตบนี้เท่านั้น ดอกกัณณิกาเขา ท่านหาถือเอาไม่. บทว่า พาราณเสยฺยกํ แปลว่า ที่เกิดในกรุงพาราณสี ได้ยินว่า ในกรุงพาราณสีนั้น ทั้งฝ้ายก็อ่อน ทั้งคนกรอด้าย ทั้งช่างทอก็ฉลาด. แม้น้ำก็สะอาดสนิท เพราะฉะนั้น ผ้านั้นจึงเกลี้ยงทั้งสองข้าง คือในข้างทั้งสอง ก็เกลี้ยงปรากฏว่าอ่อนสนิท. แม้ในคำว่า ปิตานิ เป็นต้น ก็พึงทราบเนื้อความโดยนัยนี้แล. เมื่อจะกำหนดนีลกสิณ ย่อมกำหนดนิมิตในสีเขียว. ก็การกระทำกสิณก็ดี การบริกรรมก็ดี อัปปนาวิธีก็ดี ในที่นี้มีอาทิว่า ปุปฺผสฺมึ วา วตฺถสฺมึ วา วณฺณธาตุยา วา ทั้งหมดมีนัยที่กล่าวไว้โดยพิสดารแล้วในวิสุทธิวรรค. อภิภายตนะ ๘ เหล่านี้ ท่านนำมาก็เพื่อแสดงความเป็นผู้ไม่กลัว. ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสอภิภายตนะแม้เหล่านี้ แล้วจึงตรัสอย่างนี้ว่า อานนท์ ความกลัว หรือความกล้าไม่มีแก่ตถาคตผู้กำลังเข้าสมาบัติแม้เหล่านี้ และกำลังออก ใครเล่าควรจะเกิดความเข้าใจอย่างนี้ว่า ตถาคตเห็นมารผู้เดียวพึงกลัว อานนท์ ตถาคตไม่กลัว ไม่ขลาด มีสติสัมปชัญญะปลงอายุสังขาร. อฏฺฐวิโมกฺขวณฺณนา วิโมกข์ ๘ เหล่านี้ ท่านนำมาเพื่อความเป็นผู้ไม่กลัวเหมือนกัน. ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสวิโมกข์แม้เหล่านี้แล้ว จึงตรัสอย่างนี้ว่า ดูก่อนอานนท์ ความกลัวหรือความกล้าไม่มีแก่ตถาคตผู้กำลังเข้าสมาบัติแม้เหล่านี้ และกำลังออก ฯลฯ ปลงอายุสังขาร. แม้บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ไม่ประทานโอกาสแก่พระอานนท์เถระเลย ทรงเริ่มเทศนาแม้อย่างอื่นอีก โดยนัยมีว่า เอกมิทาหํ เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปฐมาภิสมฺพุทฺโธ ได้แก่ เป็นผู้ตรัสรู้ครั้งแรกทีเดียว คือในสัปดาห์ที่ ๘. บทว่า โอสฺสฎฺโฐ แปลว่า ปล่อยสละ. ได้ยินว่า ครั้นกล่าวอย่างนี้ จึงกล่าวว่า เพราะเหตุนั้น หมื่นโลกธาตุจึงไหว. อานนฺทยาจนกถาวณฺณนา ด้วยบทว่า สทฺทหสิ ตฺวํ ท่านกล่าวว่า เธอเชื่อว่า ตถาคตกล่าวอย่างนี้ไหม. ด้วยบทว่า ตสฺมาติหานนฺท พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า เพราะเหตุที่เธอเชื่อคำนี้ ฉะนั้น ข้อนี้จึงเป็นการทำไม่ดีของเธอเอง พระผู้มีพระภาคเจ้าเริ่มคำว่า เอกมิทาหํ เป็นต้น เพื่อจะยกโทษของพระเถระแต่ผู้เดียวโดยประการต่างๆ เพื่อจะบรรเทาความโศกอย่างนี้ว่า เรามิได้เรียกเธอมาในที่นี้อย่างเดียวเท่านั้นดอก. แม้ในเวลาอื่นๆ เราก็เรียกมาทำนิมิตอย่างหยาบ เธอก็มิได้ล่วงรู้นิมิตแม้นั้น อันนี้ก็เป็นความผิดพลาดของเธอผู้เดียว. บทว่า ปิเยหิ มนาเปหิ ความเป็นต่างๆ โดยชาติ ความละเว้นเพราะมรณะ ความเป็นอย่างอื่นเพราะภพ (พลัดพราก) จากมารดา บิดา พี่ชาย พี่หญิงเป็นต้น. คำว่า ตํ ในคำว่า ตํ กุเตตฺถ ลพฺภา แปลว่า เพราะฉะนั้น. อธิบายว่า เพราะจะต้อง บทว่า ปุน ปจฺจาคมิสฺสติ ความว่า สิ่งที่ตถาคตสละแล้ว คายแล้ว สิ่งนั้นก็จักกลับปรากฏอีกไม่ได้ดอก. บทว่า ยถยิทํ พฺรหฺมจริยํ แปลว่า คือ สาสนพรหมจรรย์ที่สงเคราะห์ด้วยสิกขา ๓. บทว่า อทฺธนียํ แปลว่า ทนอยู่นาน. บทว่า จิรฎฺฐิติกํ ได้แก่ ตั้งอยู่นานด้วยอำนาจเป็นนาน. บทว่า จตฺตาโร สติปฎฺฐานา เป็นอาทิ ทั้งหมด ท่านกล่าวโดยเป็นโลกิยะและโลกุตตระ. ส่วนการวินิจฉัยในโพธิปักขิยธรรมเหล่านี้ ท่านกล่าวไว้ในปฏิปทา คำที่เหลือในที่นี้ง่ายทั้งนั้นแล. นาคาปโลกิตวณฺณนา ก็พระยาช้างประสงค์จะเหลียวดูข้างหลังต้องเอี้ยวไปทั้งตัวฉันใด พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ต้องทรงเอี้ยวพระวรกายไปฉันนั้น. แต่พอพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับยืนที่ประตูพระนคร ก็ทรงเกิดความคิดว่าจะ ท่านหมายเอาข้อนั้น จึงกล่าวว่า นาคาวโลกิตํ นี้. ถามว่า การทอดทัศนากรุงเวสาลี มิใช่เป็นปัจฉิมทัศนะอย่างเดียว การ ตอบว่า เพราะไม่เป็นอัศจรรย์. จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้ากลับมาเหลียวดูในที่นั้น ข้อนั้นไม่น่าอัศจรรย์ เพราะฉะนั้น จึงไม่ชื่อว่าทรงเอี้ยวพระวรกายแลดู. อนึ่ง เหล่าเจ้าลิจฉวี กรุงเวสาลีใกล้พินาศ จักพินาศไปใน ๓ ปีข้างหน้า เพราะฉะนั้น เจ้าลิจฉวีเหล่านั้นจึงสร้างเจดีย์ชื่อว่านาคาปโลกิตเจดีย์ ใกล้ประตูพระนคร จักบูชาเจดีย์นั้นด้วยสักการะมีของหอมและดอกไม้เป็นต้น ข้อนั้นก็จะมีเพื่อประโยชน์เกื้อกูลเพื่อความสุขตลอดกาลนาน เพราะฉะนั้น จึงเอี้ยวพระวรกายแลดูเพื่ออนุเคราะห์เจ้าลิจฉวีเหล่านั้น. บทว่า ทุกฺขสฺสนฺตกโร ได้แก่ กระทำที่สุดแห่งวัฏฏทุกข์. บทว่า จกฺขุมา ได้แก่ ผู้มีจักษุ บทว่า ปรินิพฺพุโต ได้แก่ ปรินิพพานด้วยกิเลสปรินิพพาน. มหาปเทสวณฺณนา บทว่า อนภินนฺทิตพฺพํ คือ อันผู้ร่าเริงยินดีให้สาธุการควรฟังก่อนหามิได้. จริงอยู่ เมื่อกระทำอยู่อย่างนี้ แม้ภายหลังถูกต่อว่า ว่าข้อนี้ไม่เหมาะสม ก็โต้ตอบได้ว่า เมื่อก่อนข้อนี้เป็นธรรมเดี๋ยวนี้ไม่เป็นธรรมหรือ ชื่อว่าไม่สละลัทธิ. บทว่า น ปฏิกฺโกสิตพฺพํ ความว่า ไม่พึงกล่าวก่อนอย่างนี้ว่า คนพาลผู้นี้พูดอะไร. ก็เมื่อถูกต่อว่า จักไม่พูดแม้แต่คำที่ควรจะพูด. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า อนภินนฺทิตฺวา อปฏิกฺโกสิตฺวา. บทว่า ปทพฺยญฺชนานิ ได้แก่ พยัญชนะ กล่าวคือบท. บทว่า สาธุกํ อุคฺคเหตฺวา ได้แก่ ถือเอาด้วยดีว่า ท่านกล่าวบาลีไว้ในที่นี้ กล่าวความไว้ในที่นี้ กล่าวเบื้องต้นและเบื้องปลายไว้ในที่นี้. บทว่า สุตฺเต โอตาเรตพฺพานิ ได้แก่ พึงสอบสวนในพระสูตร. บทว่า วินเย สนฺทสฺเสตพฺพานิ ได้แก่ เทียบเคียงในพระวินัย. ก็ในที่นี้ ที่ชื่อว่าสูตร ได้แก่วินัย. เหมือนที่ท่านกล่าวไว้ว่า ห้ามไว้ในที่ไหน ห้ามไว้ในเมืองสาวัตถี ห้ามไว้ในสุต ____________________________ ๑- วิ. จุล. เล่ม ๗/ข้อ ๖๕๒ ก็พระสุทินนเถระคัดค้านคำนี้ทั้งหมดว่า พระพุทธวจนะ ชื่อว่าไม่ใช่สูตรมีอยู่หรือดังนี้ แล้วกล่าวว่า ปิฏก ๓ ชื่อว่าสูตร ส่วนวินัยชื่อว่าเหตุ. แต่นั้น เมื่อจะแสดงเหตุนั้น จึงนำสูตรนี้มาอ้างว่า ดูก่อนโคตมี เธอพึงรู้ธรรมเหล่านั้นอันใดว่า ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อมีราคะ ไม่เป็นไปเพื่อปราศจากราคะ เป็นไปเพื่อประกอบทุกข์ ไม่เป็นไปเพื่อปราศจากทุกข์ เป็นไปเพื่อมีอุปาทาน ไม่เป็นไปเพื่อปราศจากอุปาทาน เป็นไปเพื่อความมักมาก ไม่เป็นไปเพื่อความมักน้อย เป็นไปเพื่อความไม่สันโดษ ไม่เป็นไปเพื่อความสันโดษ เป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน ไม่เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร เป็นไปเพื่อความคลุกคลีด้วยหมู่ ไม่เป็นไปเพื่อความสงัด เป็นไปเพื่อความสะสม ไม่เป็นไปเพื่อปราศจากความสะสม. เธอพึงรู้โดยส่วนเดียวว่า นั่นไม่ใช่ธรรม นั่นไม่ใช่วินัย นั่นไม่ใช่คำสั่งสอนของพระศาสดา. ดูก่อนโคตมี เธอพึงรู้ธรรมเหล่านั้นอันใดว่า ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อปราศจากราคะ ไม่เป็นไปเพื่อราคะ เป็นไปเพื่อปราศจากความประกอบทุกข์ ไม่เป็นไปเพื่อความประกอบทุกข์ เป็นไปเพื่อปราศจากอุปาทาน ไม่เป็นไปเพื่อมีอุปาทาน เป็นไปเพื่อความมักน้อย ไม่เป็นไปเพื่อความมักมาก เป็นไปเพื่อความสันโดษ ไม่เป็นไปเพื่อไม่สันโดษ เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร ไม่เป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน เป็นไปเพื่อความสงัด ไม่เป็นไปเพื่อความคลุกคลีด้วยหมู่ เป็นไปเพื่อปราศจากความสะสม ไม่เป็นไปเพื่อความสะสม เธอพึงรู้โดยส่วนเดียวว่า นั่นเป็นธรรม นั่นเป็นวินัย นั่นเป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา.๒- ____________________________ ๒- วิ. จุล. เล่ม ๗/ข้อ ๕๒๓; องฺ. อฏฺฐก. เล่ม ๒๓/ข้อ ๑๔๓ เพราะฉะนั้น พึงสอบสวนในพระไตรปิฏก พุทธวจนะ ที่ชื่อว่าสูตร พึงเทียบเคียงในเหตุ คือวินัยมีราคะเป็นต้น ที่ชื่อว่าวินัย ความในข้อนี้มีดังกล่าวมาฉะนี้. บทว่า น เจว สุตฺเต โอตรนฺติ ความว่า บทพยัญชนะเหล่านั้นไม่มา ในที่ไหนๆ ตามลำดับสูตร ยกแต่สะเก็ดมาจากคุฬหเวสสันตระ คุฬหอุมมัคคะ คุฬหวินัย เวทัลละและปิฏก ปรากฏอยู่. จริงอยู่ บทพยัญชนะที่มาอย่างนี้ แต่ไม่ปรากฏในการกำจัดกิเลสมีราคะเป็นต้น ก็พึงทิ้งเสีย. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ดังนั้น เธอพึงทิ้งข้อนั้นเสีย. พึงทราบความในที่ทุกแห่งด้วยอุบายนี้. คำว่า อิทํ ภิกฺขเว จตุตฺถํ มหาปเทสํ ธาเรยฺยาถ ความว่า เธอพึงทรงจำโอกาสเป็นที่ประดิษฐานแห่งธรรมข้อที่ ๔ นี้ไว้. ก็ในที่นี้ พึงทราบปกิณณกะดังนี้ว่า ในพระสูตรมีมหาประเทศ ๔ ในขันธกะมีมหาประเทศ ๔ ปัญหาพยากรณ์ ๔ สุตตะ ๑ สุตตานุโลม ๑ อาจาริยวาท ๑ อัตตโนมติ ๑ สังคีติ ๓. ในปกิณณกะเหล่านั้น เมื่อถึงการวินิจฉัยธรรมว่า นี้ธรรม นี้วินัย มหาประเทศ ๔ เหล่านี้ถือเอาเป็นประมาณ ข้อใดสมในมหาประเทศ ๔ เหล่านี้ ข้อนั้นควรถือเอา ข้อ เมื่อถึงการวินิจฉัยข้อที่ควรและไม่ควรว่า สิ่งนี้ควร สิ่งนี้ไม่ควร มหาประเทศ ๔ ที่ตรัสไว้ในขันธกะโดยนัยว่าภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่า สิ่งนี้ไม่ควร หากว่าสิ่งนั้นเข้ากันกับสิ่งที่ไม่ควร ขัดกันกับสิ่งที่ควร สิ่งนั้นไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย๓- ดังนี้เป็นต้น ถือเอาเป็นประมาณ. กถาวินิจฉัยมหาประเทศเหล่านั้นกล่าวไว้ ในอรรถกถาพระวินัยชื่อว่าสมันตปาสาทิกา โดยนัยที่กล่าวไว้ในที่นั้น พึงทำสันนิษฐานอย่างนี้ว่า สิ่งใดที่เข้ากันได้กับสิ่งที่ควร สิ่งนั้นควร นอกนั้นไม่ควร. ____________________________ ๓- วิ. มหา. เล่ม ๕/ข้อ ๙๒ เอกังสพยากรณียปัญหา ๑ วิภัชชพยากรณียปัญหา ๑ ปฏิปุจฉาพยากรณียปัญหา ๑ ฐปนียปัญหา ๑ เหล่านี้ชื่อว่า ปัญหาพยากรณ์ ๔. ในปัญหาพยากรณ์ ๔ นั้น ถูกถามว่า จักษุไม่เที่ยงหรือ. พึงพยากรณ์ก่อนโดยส่วนเดียวว่าไม่เที่ยงขอรับ. ในโสตะเป็นต้นก็มีนัยนี้. นี้ชื่อว่าเอกังสกรณียปัญหา. ถูกถามว่า จักษุหรือชื่อว่าไม่เที่ยง. พึงแจกแล้วพยากรณ์อย่างนี้ว่า ไม่ใช่จักษุเท่านั้น แม้แต่โสตะก็ไม่เที่ยง แม้ฆานะก็ไม่เที่ยง. นี้ชื่อว่าวิภัชชพยากรณียปัญหา. ถูกถามว่า จักษุฉันใด โสตะก็ฉันนั้น โสตะฉันใด จักษุก็ฉันนั้นเป็นต้น. จึงย้อนถามว่า ท่านถามด้วยอรรถว่าอะไร เมื่อเขาตอบว่า ถามด้วยอรรถว่าเห็น จึงพยากรณ์ว่าไม่ใช่. เมื่อเขาตอบว่า ถามด้วยอรรถว่าไม่เที่ยง จึงพยากรณ์ว่าใช่. นี้ชื่อว่าปฏิปุจฉาพยากรณียปัญหา. แต่ถูกถามว่า นั้นก็ชีวะ นั้นก็สรีระ เป็นต้น พึงหยุดเสียด้วยกล่าวว่า ข้อนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่พยากรณ์. ปัญหานี้ไม่พึงพยากรณ์. นี้ชื่อว่าปฐนียปัญหา. ดังนั้น เมื่อปัญหามาถึงโดยอาการนั้น ปัญหาพยากรณ์ ๔ เหล่านี้ ถือเอาเป็นประมาณได้. พึงพยากรณ์ปัญหานั้นด้วยอำนาจปัญหาพยากรณ์ ๔ นี้. ก็ปิฏก ๓ ที่ยกขึ้นสู่สังคีติ ๓ ชื่อว่าสุตตะ ในปกิณณกะมีสุตตะเป็นต้น. ข้อที่เข้ากันได้กับกัปปิยะ ชื่อว่าสุตตานุโลม. อรรถกถา ชื่อว่าอาจริยวาท. ปฏิภาณของตน ตามความคาดหมายตามความรู้ ชื่อว่าอัตตโนมัติ. ในปกิณณกะเหล่านั้น สุตตะ ใครๆ คัดค้านไม่ได้ เมื่อคัดค้านสุตตะนั้น ก็เท่ากับคัดค้านพระพุทธเจ้าด้วย. ส่วนข้อที่เข้ากันได้กับกัปปิยะ ควรถือเอาเฉพาะข้อที่สมกับสุตตะเท่านั้น นอกนั้นไม่ควรถือเอา. แม้อาจริยวาทเล่า ก็ควรถือเอาแต่ที่สมกับสุตตะเท่านั้น นอกนั้นไม่ควรถือเอา. ส่วนอัตตโนมัติเพลากว่าเขาทั้งหมด. แม้อัตตโนมัตินั้นก็ควรถือเอาแต่ที่สมกับสุตตะเท่านั้น นอกนั้นไม่ควรถือเอา. ก็สังคีติมี ๓ เหล่านี้คือ ปัญจสติกสังคีติ (สังคายนาครั้งที่ ๑) สัตตสติกสังคีติ (ครั้งที่ ๒) สหัสสิกสังคีติ (ครั้งที่ ๓). แม้สุตตะเฉพาะที่มาในสังคีติ ๓ นั้น ควรถือเอาเป็นประมาณ. นอกนั้นเป็นที่ท่านตำหนิ ไม่ควรถือเอา. จริงอยู่ บทพยัญชนะแม้ที่ลงกันได้ในสุตตะนั้น พึงทราบว่าลงกันไม่ได้ในพระสูตรและเทียบกันไม่ได้ในพระวินัย. กมฺมารปุตฺตจุนฺทวตฺถุวณฺณนา เล่ากันมาว่า บุตรของนายช่างทองนั้นเป็นกุฏุมพีใหญ่ผู้มั่งคั่ง เป็นโสดาบัน เพราะเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าครั้งแรกเท่านั้น ก็สร้างวัดในสวนมะม่วงของตนมอบถวาย. ท่าน บทว่า สูกรมทฺทวํ ได้แก่ ปวัตตมังสะของสุกรที่ใหญ่ที่สุดตัวหนึ่ง ไม่หนุ่มนัก ไม่แก่นัก. นัยว่า ปวัตตมังสะนั้นนุ่มสนิท. อธิบายว่า ให้จัดปวัตตมังสะนั้น ทำให้สุกอย่างดี. อาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่า ก็คำว่า สูกรมัททวะ นี้เป็นชื่อของข้าวสุกอ่อน ที่จัดปรุงด้วย อาจารย์บางพวกกล่าวว่า วิธีปรุงรส ชื่อว่าสูกรมัททวะ ก็สูกรมัททวะนั้นมาใน สูกรมัททวะนั้น นายจุนทะตบแต่งตามรสายนวิธี ด้วยประสงค์ว่าการปรินิพ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบันลือสีหนาทนี้ว่า นาหนฺตํ เพื่ออะไร. เพื่อทรงเปลื้องคำว่าร้ายของคนอื่น. จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าสดับคำของพวกที่ต้องการจะกล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ประทานสูกรมัททวะที่พระองค์เสวยเหลือ ทั้งแก่ภิกษุ ทั้งแก่ผู้คนทั้งหลาย โปรดให้ฝังเสียในหลุม ทำให้เสียหายดังนี้ จึงทรงบันลือสีหนาท เพื่อเปลื้องคำว่าร้ายของชนเหล่าอื่น ด้วยพระประสงค์ว่า จักไม่มีโอกาสกล่าวร้ายได้. บทว่า ภุตฺตสฺส สูกรมทฺทเวน ความว่า ความอาพาธอย่างแรงกล้าเกิดขึ้นแก่พระองค์ผู้เสวย แต่ไม่ใช่เกิดเพราะสูกรมัททวะที่เสวยเป็นปัจจัย. ก็ผิว่า พระองค์ไม่เสวยก็จักเกิดอาพาธได้ และเป็นอาพาธอันแรงกล้าเสียด้วย. แต่เพราะเสวยโภชนะอันสนิท พระองค์จึงมีทุกขเวทนาเบาบาง. ด้วยเหตุนั้นนั่นแล พระองค์จึงเสด็จพุทธดำเนินไปได้. บทว่า วิเรจมาโน ได้แก่ พระองค์ทรงออกพระโลหิตอยู่เนืองๆ. ท่านกล่าวอย่างนี้ว่า อโวจ ก็เพื่อประโยชน์แก่ปรินิพพานในสถานที่ที่พระองค์มีพระพุทธประสงค์. พึงทราบความว่า ก็พระธรรมสังคาหกเถระตั้งคาถาเหล่านี้ไว้. ปานียาหรณวณฺณนา บทว่า อจฺโฉทกา แปลว่า มีน้ำใส. บทว่า สาโตทกา แปลว่า มีน้ำอร่อย. บทว่า สีโตทกา แปลว่า น้ำเย็นสนิท. บทว่า เสโตทกา แปลว่า ปราศจากเปือกตม. บทว่า สุปติฎฺฐา แปลว่า มีท่าดี. กุสินาราคมนวณฺณนา บทว่า มลฺลปุตฺโต แปลว่า บุตรของเจ้ามัลละ. ได้ยินว่า พวกเจ้ามัลละผลัดเปลี่ยนกันครองราชสมบัติ. ตราบใดวาระของเจ้ามัลละเหล่าใดยังไม่มาถึง ตราบนั้นเจ้ามัลละเหล่านั้นก็กระทำการค้าขายไป. เจ้าปุกกุสะแม้นี้ก็ทำการค้าขายอยู่นั่นแล จัด ในคราวนั้น ลมพัดไปข้างหลัง เพราะฉะนั้น เขาจึงส่งหมู่ บทว่า อาฬาโร เป็นชื่อของดาบสนั้น. ได้ยินว่า ดาบสนั้นมีร่างสูงและเหลือง เพราะเหตุนั้น ท่านจึงมีชื่อว่าอาฬาระ. คำว่า กาลาโม ได้แก่ โคตร. คำว่า ยตฺร หิ นาม เท่ากับ โยหิ นาม. บทว่า เนว ทกฺขติ แปลว่า ไม่เห็น. แต่ท่านกล่าวคำนี้ไว้เป็นอนาคตกาล เพราะประกอบกับ ยตฺร ศัพท์. จริงอยู่ คำเห็นปานนี้ เป็นลักษณะศัพท์ในฐานะเช่นนี้. บทว่า นิจฺฉรนฺตีสุ แปลว่า ร่ำร้อง. บทว่า อสนิยา ผลนฺติยา ได้แก่ ร้องไห้โฮใหญ่ เหมือนฟ้าผ่าแยกออก ๙ สาย. ความจริง ฟ้าผ่ามี ๙ สาย คือ อสัญญา วิจักกา สเตรา คัคครา กปิสีสา มัจฉวิโลลิกา กุกกุฎกา ทัณฑมณิกา และสุกขาสนิ. บรรดาฟ้าผ่า ๙ นั้น ฟ้าผ่าที่ชื่อว่าอสัญญา กระทำโดยไม่หมายรู้. ที่ชื่อว่าวิจักกา กระทำล้ออันเดียว. ที่ชื่อว่าสเตรา ตกไปเช่นกับใบเรือ. ที่ชื่อว่าคัคครา ออกเสียงดุจไม้ค้อนตกไป. ที่ชื่อว่ากปิสีสา เป็นเหมือนลิงยักคิ้ว. ที่ชื่อว่ามัจฉวิโลลิกา เป็นเหมือนปลาน้ำตาไหล. ที่ชื่อกุกกุฏกา ตกเหมือนไก่. ที่ชื่อว่าทัณฑมณิกา ตกเช่นกับหางไถ. ที่ชื่อว่าสุกขาสนิ เพิกสถานที่ที่ตกขึ้น (ผ่าขึ้น). บทว่า เทเว วสฺสนฺเต ได้แก่ คำรามกระหึมแห้งๆ เมื่อฝนตกเป็นระยะๆ. บทว่า อาตุมายํ ความว่า ได้อาศัยเมืองอาตุมาอยู่. บทว่า ภูสาคาเร ได้แก่ โรงลานข้าว. บทว่า เอตฺถ โส ได้แก่ หมู่มหาชนที่ชุมนุมกัน เพราะเหตุนี้. บทว่า กฺว อโหสิ เป็น กุหึ อโหสิ. บทว่า โส ตํ ภนฺเต เป็น โส ตฺวํ ภนฺเต. บทว่า สิงฺคิวณฺณํ ได้แก่ มีเหมือนทองสิงคี. บทว่า ยุคมฎฺฐํ แปลว่า เกลี้ยงทั้งคู่. อธิบายว่า คู่ผ้าเนื้อละเอียด. บทว่า ธารณียํ ได้แก่ พึงทรงไว้. อธิบายว่า พึงห่มเป็นระยะๆ. เจ้าปุกกุสะนั้นใช้เฉพาะในวันมหรสพเห็นปานนั้นเท่านั้น ในเวลาอื่นก็ทิ้งไป. ท่านหมายเอาคู่ผ้ามงคลสูงสุด จึงกล่าวไว้อย่างนี้. บทว่า อนุกมฺปํ อุปาทาย ได้แก่ อาศัยความเอ็นดูในเรา. บทว่า อจฺฉาเทหิ นี้เป็นคำละเมียดละไม. อธิบายว่า จงให้แก่เราหนึ่งผืน อานนท์หนึ่งผืน. ถามว่า ก็พระเถระรับผ้านั้นหรือ. ตอบว่า รับสิ. เพราะเหตุไร เพราะมีกิจถึงที่สุดแล้ว. ความจริง ท่านพระอานนท์นั้น ห้ามลาภเห็นปานนั้น ปฏิบัติหน้าที่อุปัฏฐากก็จริงอยู่ แต่หน้าที่อุปัฏฐากของท่านนั้นถึงที่สุดแล้ว เพราะฉะนั้น ท่านจึงได้รับ. ก็หรือว่า ชนเหล่าใดพึงพูดอย่างนี้ว่า พระอานนท์ที่จะไม่ยินดี ท่านอุปัฏฐากมาถึง ๒๕ ปี ไม่เคยได้อะไรจากสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าเลย. เพราะฉะนั้น ท่านจึงได้รับเพื่อตัดโอกาสของชนเหล่านั้น. อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงทราบว่า อานนท์แม้รับก็จักไม่ใช้ด้วยตนเอง คงจักบูชาเราเท่านั้น แต่บุตรของเจ้ามัลละ เมื่อบูชาอานนท์ ก็จักเท่ากับบูชาพระสงฆ์ด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ กองบุญใหญ่ก็จักมีแก่บุตรเจ้ามัลละนั้น เพราะฉะนั้น จึงโปรดให้ถวายพระเถระผืนหนึ่ง. ฝ่ายพระเถระจึงได้รับ เพราะเหตุนั้นเหมือนกัน. บทว่า ธมฺมิยา กถาย ได้แก่ กถากล่าวอนุโมทนาวัตถุทาน. บทว่า ภควโต กายํ อุปนามิตํ ได้แก่ คล้องไว้โดยทำนองนุ่งห่ม. แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนุ่งผืนหนึ่ง ห่มผืนหนึ่งจากคู่ผ้านั้น. บทว่า หตจฺจิกํ วิย ความว่า ถ่านเพลิงที่ปราศจากเปลว ย่อมโชติช่วงข้างในๆ เท่านั้น แต่แสงแห่งถ่านเพลิงนั้นไม่มีข้างนอกฉันใด คู่ผ้าก็ฉันนั้นเหมือนกัน ปรากฏว่าขาดแสงภายนอก. ถามว่า ในคำว่า อิเมสุ โข อานนฺท ทฺวีสุ กาเลสุ เหตุไร กายของพระตถาคตจึงบริสุทธิ์อย่างยิ่งอย่างนี้ในกาลทั้ง ๒ นี้. ตอบว่า เพราะความวิเศษแห่งอาหารอย่างหนึ่ง เพราะโสมนัสมีกำลังอย่างหนึ่ง. ในกาลทั้ง ๒ นี้ เหล่าเทวดาในสากลจักรวาฬ ใส่โอชะลงในอาหาร. ก็โภชนะนั้นตกถึงท้องก็ก่อปสันนรูป. อินทรีย์ที่มีใจเป็นที่ ๖ ก็รุ่งเรืองยิ่งนัก เพราะมีรูปที่มีอาหารเป็นสมุฏฐานสดใส. ในวันที่พระองค์ตรัสรู้ ทรงระลึกว่า กองกิเลสที่เราสั่งสมมาหลายแสน |