ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 

อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘]อ่านอรรถกถา 11 / 1อ่านอรรถกถา 11 / 207อรรถกถา เล่มที่ 11 ข้อ 221อ่านอรรถกถา 11 / 364อ่านอรรถกถา 11 / 364
อรรถกถา ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค
สังคีติสูตร

หน้าต่างที่ ๓ / ๘.

               ว่าด้วยธรรมหมวด ๓               
               ครั้นแสดงสามัคคีรส ด้วยอำนาจธรรมหมวดสอง ดังนี้แล้ว บัดนี้ พระเถระเริ่มเทศนาต่อไป เพื่อจะแสดงด้วยอำนาจธรรมหมวดสาม.
               บรรดาธรรมเหล่านั้น ชื่อว่าโลภะ ด้วยอรรถว่าอยากได้. อกุศลนั้นด้วย เป็นมูลรากด้วย หรือว่า (โลภะเป็น) มูลรากแห่งอกุศลทั้งหลาย ดังนั้น จึงชื่อว่าอกุศลมูล. ชื่อว่าโทสะ ด้วยอรรถว่าประทุษร้าย. ชื่อว่าโมหะ ด้วยอรรถว่างมงาย.
               ส่วนอโลภะเป็นต้น พึงทราบโดยนัยตรงกันข้ามกับโลภะเป็นต้นเหล่านั้น.
               ความประพฤติเลวร้าย หรือว่าความประพฤติผิดรูป ดังนั้น จึงชื่อว่าทุจริต. ทุจริตด้วยกาย หรือว่าทุจริตอันเป็นไปทางกาย ดังนั้น จึงชื่อว่ากายทุจริต.
               แม้คำที่เหลือก็มีนัยเช่นเดียวกันนี้.
               ความประพฤติถูกต้อง หรือว่าความประพฤติดีงาม ดังนั้น จึงชื่อว่าสุจริต. และธรรมหมวดสามทั้ง ๒ ข้อนี้ ควรจะกล่าวโดยบัญญัตินัยหนึ่ง โดยกรรมบถนัยหนึ่ง.
               จะว่าโดยบัญญัติก่อน.
               ความล่วงละเมิดสิกขาบทที่บัญญัติไว้แล้วในกายทวาร ชื่อว่ากายทุจริต. ความไม่ล่วงละเมิด ชื่อว่ากายสุจริต. ความล่วงละเมิดสิกขาบทที่บัญญัติไว้แล้วในวจีทวาร ชื่อว่าวจีทุจริต. ความไม่ล่วงละเมิดชื่อว่าวจีสุจริต. ความล่วงละเมิดสิกขาบทที่บัญญัติไว้แล้วในทวารทั้ง ๒ นั่นเอง ชื่อว่ามโนทุจริต, ความไม่ล่วงละเมิด ชื่อว่ามโนสุจริต. นี้กล่าวโดยบัญญัติ.
               ส่วนเจตนา ๓ อย่างมีปาณาติบาตเป็นต้นที่เกิดขึ้น ทั้งในกายทวาร ทั้งในวจีทวาร ชื่อว่ากายสุจริต. เจตนา ๔ อย่างมีมุสาวาทเป็นต้น ชื่อว่าวจีทุจริต. ธรรม ๓ อย่างที่ประกอบด้วยเจตนา คืออภิชฌา (เพ่งเล็งอยากได้ของเขา) พยาบาท (ปองร้ายเขา) มิจฉาทิฐิ (เห็นผิด) ชื่อว่ามโนทุจริต.
               เจตนาก็ดี วิรัติก็ดี ทั้ง ๓ อย่าง ที่เกิดขึ้นแก่ผู้งดเว้นจากปาณาติบาตเป็นต้น ชื่อว่า กายสุจริต. เจตนาก็ดี วิรัติก็ดี ทั้ง ๔ อย่างที่เกิดขึ้นแก่ผู้งดเว้นจากมุสาวาทเป็นต้น ชื่อว่าวจีสุจริต. ธรรม ๓ อย่างที่ประกอบด้วยเจตนา คืออนภิชฌา (ไม่เพ่งเล็งอยากได้ของเขา) อพยาบาท (ไม่ปองร้ายเขา) สัมมาทิฐิ (เห็นถูก) ชื่อว่ามโนสุจริต. นี้กล่าวโดยกรรมบถ.
               วิตกที่ประกอบด้วยกาม ชื่อว่ากามวิตก. วิตกที่ประกอบด้วยพยาบาท ชื่อว่าพยาบาทวิตก. วิตกที่ประกอบด้วยวิหิงสา (ความเบียดเบียน) ชื่อว่าวิหิงสาวิตก.
               บรรดาวิตกเหล่านี้ วิตก ๒ อย่างย่อมเกิดขึ้นทั้งในสัตว์ ทั้งในสังขาร. เป็นความจริงที่เมื่อคิดถึงสัตว์ก็ตาม สังขารก็ตามที่น่ารักใคร่พอใจ กามวิตกย่อมเกิดขึ้น. ตั้งแต่เวลาที่โกรธแล้วมองดูสัตว์ก็ตาม สังขารก็ตาม ที่ไม่รักไม่ชอบใจ จนกระทั่ง (เห็นสัตว์หรือสังขารนั้น) พินาศไป พยาบาทวิตกย่อมเกิดขึ้น. วิหิงสาวิตกย่อมไม่เกิดขึ้นในสังขาร เพราะสังขารที่ชื่อว่าควรจะทำให้ถึงความลำบากได้ หามีไม่. แต่วิหิงสาวิตกย่อมเกิดขึ้นในสัตว์ในเวลาที่คิดว่า สัตว์พวกนี้จงถูกฆ่า จงขาดสูญไป จงพินาศไป หรือว่าจงอย่าได้มี.
               วิตกที่ประกอบด้วยเนกขัมมะ (ความออกจากกาม) ชื่อว่าเนกขัมมวิตก. เนกขัมวิตกนั้นจัดเป็นกามาวจรในบุรพภาคแห่งอสุภฌาน, จัดเป็นรูปาวจรในอสุภฌาน, จัดเป็นโลกุตตระในเวลาที่ทำฌานนั้นให้เป็นพื้นฐานแล้วเกิดมรรคผล. วิตกที่ประกอบด้วยอพยาบาท ชื่อว่าอพยาบาทวิตก. อพยาบาทวิตกนั้นจัดเป็นกามาวจรในบุรพภาคแห่งเมตตาฌาน, จัดเป็นรูปาวจรในเมตตาฌาน, จัดเป็นโลกุตตระในเวลาที่ทำฌานให้เป็นพื้นฐานแล้วเกิดมรรคผล. วิตกที่ประกอบด้วยอวิหิงสา ชื่อว่าอวิหิงสาวิตก. อวิหิงสาวิตกนั้นจัดเป็นกามาวจรในบุรพภาคแห่งกรุณา, จัดเป็นรูปาวจรในกรุณาฌาน, จัดเป็นโลกุตตระในเวลาที่ทำฌานนั้นให้เป็นพื้นฐานแล้วเกิดมรรคผล.
               เมื่อใดอโลภะเป็นตัวนำ เมื่อนั้นธรรม ๒ อย่างนอกนี้ก็ย่อมเป็นตัวตาม. เมื่อใดเมตตาเป็นตัวนำ เมื่อนั้นธรรม ๒ อย่างนอกนี้ก็ย่อมเป็นตัวตาม. เมื่อใดกรุณาเป็นตัวนำ เมื่อนั้นธรรม ๒ อย่างนอกนี้ก็ย่อมเป็นตัวตามด้วยประการดังนี้. ส่วนกามสังกัปปะเป็นต้น พึงทราบโดยนัยที่กล่าวแล้วนั่นแล. เพราะข้อนี้เป็นแต่เพียงเทศนาเท่านั้น. แต่โดยความหมายแล้ว ทั้งกามวิตกเป็นต้นและกามสังกัปปะเป็นต้น ไม่มีอะไรที่ทำให้แตกต่างกัน.
               สัญญาที่ประกอบด้วยกาม ชื่อว่ากามสัญญา. สัญญาที่ประกอบด้วยพยาบาท ชื่อว่าพยาบาทสัญญา. สัญญาที่ประกอบด้วยวิหิงสา ชื่อว่าวิหิงสาสัญญา. แม้อาการที่เกิดขึ้นแห่งสัญญาเหล่านั้น ก็พึงทราบเช่นเดียวกับกามวิตกเป็นต้น. เพราะสัญญาเหล่านี้ก็ล้วนแต่ประกอบด้วยกามวิตกเป็นต้นนั้นเช่นเดียวกัน. แม้เนกขัมมสัญญาเป็นต้นก็ประกอบด้วยเนกขัมมวิตกเป็นต้นเช่นกัน. เพราะฉะนั้น พึงทราบความเป็นกามาวจรเป็นต้นแห่งสัญญาเหล่านั้น เช่นเดียวกับเนกขัมมวิตกเป็นต้นนั้นนั่นเอง
               พึงทราบวินิจฉัยในธรรมทั้งหลายมีกามธาตุเป็นต้น (ต่อไป).
               ความตรึก วิตก ความดำริผิดที่ประกอบด้วยกาม นี้เรียกว่ากามธาตุ. อกุศลธรรมทั้งปวง ชื่อว่ากามธาตุ ดังกล่าวมานี้คือกามธาตุ. ความตรึก วิตก ความดำริผิดที่ประกอบด้วยพยาบาท นี้เรียกว่าพยาบาทธาตุ. ความอาฆาต ความกระทบแห่งจิต ความไม่พอใจ ในบรรดาวัตถุแห่งความอาฆาต ๑๐ อย่าง ดังกล่าวมานี้ คือพยาบาทธาตุ. ความตรึก วิตก ความดำริผิดที่ประกอบด้วยวิหิงสา นี้เรียกว่าวิหิงสาธาตุ, บางคนในโลกนี้ย่อมเบียดเบียน สัตว์ทั้งหลายด้วยฝ่ามือบ้าง ด้วยก้อนดินบ้าง ด้วยท่อนไม้บ้าง ด้วยศัตราบ้าง ด้วยเชือกบ้าง ด้วยวัตถุหรือกิริยาอย่างใดอย่างหนึ่งบ้าง ดังกล่าวมานี้ คือวิหิงสาธาตุ.
               ในเรื่องกามธาตุนั้น มีกถาอยู่ ๒ อย่าง คือ สัพพสังคาหิกกถาและอสัมภินนกถา.
               ในกถา ๒ อย่างนั้น ถือเอากามธาตุ ย่อมเป็นอันถือเอาธาตุ ๒ อย่างนอกนี้ด้วย แต่ทรงแยกออกจากธาตุนั้นแสดงว่า นี้คือพยาบาทธาตุ นี้คือวิหิงสาธาตุ ดังกล่าวมานี้ ชื่อว่าสัพพสังคาหิกกถา. พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะตรัสกามธาตุ ก็ทรงงดพยาบาทธาตุไว้ในที่ของพยาบาทธาตุ ทรงงดวิหิงสาธาตุไว้ในที่ของวิหิงสาธาตุ แล้วตรัสส่วนที่เหลือว่า นี้คือกามธาตุ, ดังที่กล่าวมานี้ ชื่อว่าอสัมภินนกถา.
               พึงทราบวินิจฉัยในธรรมทั้งหลายมีเนกขัมมธาตุเป็นต้น.
               ความตรึก วิตก ความดำริถูกที่ประกอบด้วยเนกขัมมะนี้ เรียกว่าเนกขัมมธาตุ. กุศลธรรมทั้งปวง ชื่อว่าเนกขัมมธาตุ ดังกล่าวมานี้ คือเนกขัมมธาตุ. ความตรึก ฯลฯ ที่ประกอบด้วยอพยาบาท นี้เรียกว่าอพยาบาทธาตุ. ไมตรีในสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ เมตตาเจโตวิมุตติ ดังกล่าวมานี้ คืออพยาบาทธาตุ. ความตรึก ฯลฯ ที่ประกอบด้วยอวิหิงสา นี้เรียกว่าอวิหิงสาธาตุ. ความกรุณาในสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ กรุณาเจโตวิมุตติ ดังกล่าวมานี้ คืออวิหิงสาธาตุ. แม้กถา ๒ อย่างในที่นี้ ก็พึงทราบโดยนัยที่กล่าวแล้วแต่หนหลังนั่นแล.
               คำว่า อปราปิ ติสฺโส ธาตุโย หมายถึงธาตุอย่างอื่นอีก ๓ ด้วยอรรถว่าเปล่า. บรรดาธาตุเหล่านั้น กามภพที่ท่านแถลงรายละเอียดไว้อย่างนี้ว่า บรรดาธาตุเหล่านั้น กามธาตุคืออะไร? คือ กามภพมีอเวจีนรกเบื้องต่ำให้เป็นที่สุด๑- ดังนี้ ชื่อว่ากามธาตุ. ส่วนรูปภพและอรูปภพ ที่ท่านแถลงรายละเอียดไว้อย่างนี้ว่า รูปภพมีพรหมโลกชั้นต่ำเป็นที่สุด. อรูปภพมีเทพที่เข้าถึงชั้นอากาสานัญจายตนะเป็นที่สุด ดังนี้ ชื่อว่ารูปธาตุและอรูปธาตุ ทั้ง ๒.
____________________________
๑- อภิ. วิ. เล่ม ๓๕/ข้อ ๑๑๐๓

               ในที่มาแห่งธาตุ พึงกำหนดเขตด้วยภพ. ในที่มาแห่งภพ พึงกำหนดเขตด้วยธาตุ. ในที่นี้ ท่านแถลงการกำหนดเขตด้วยภพ.
               พึงทราบวินิจฉัยในรูปธาตุเป็นต้น.
               รูปธาตุและอรูปธาตุ ก็คือรูปภพ และอรูปภพนั่นเอง. ท่านแถลงนิพพานด้วยนิโรธธาตุ.
               พึงทราบวินิจฉัยในหีนธาตุเป็นต้น.
               คำว่า หีนธาตุ ได้แก่ จิตตุปบาทอันเป็นอกุศล ๑๒. ธรรมที่เหลืออันเป็นไปในภูมิ ๓ ชื่อว่า มัชฌิมธาตุ. โลกุตตรธรรม ๙ ชื่อว่า ปณีตธาตุ.
               คำว่า กามตัณหา ได้แก่ราคะอันประกอบด้วยเบญจกามคุณ. ส่วนราคะในรูปภพและอรูปภพจัดเป็นฌานนิกันติ (ความติดใจในฌาน), ราคะที่ประกอบด้วยสัสสตทิฐิคือการปรารถนาด้วยอำนาจภพ ชื่อว่าภวตัณหา. ราคะที่ประกอบด้วยอุจเฉททิฐิ ชื่อว่าวิภวตัณหา.
               อีกนัยหนึ่ง ยกเว้นตัณหา ๒ อย่างหลัง (คือภวตัณหา และวิภวตัณหา) ตัณหาที่เหลือ ชื่อว่ากามตัณหา.
               สมดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า๒-
               บรรดาตัณหาเหล่านั้น ภวตัณหาคืออะไร? คือราคะที่ประกอบด้วยสัสสตทิฐิ, สาราคะ (ความกำหนัดจัด) ฯลฯ สาราคะแห่งจิต นี้เรียกว่าภวตัณหา.
               บรรดาตัณหาเหล่านั้น วิภวตัณหาคืออะไร? คือราคะที่ประกอบด้วยอุจเฉททิฐิ, สาราคะ ฯลฯ สาราคะแห่งจิต นี้เรียกว่าวิภวตัณหา.
               ตัณหาที่เหลือ ชื่อว่ากามตัณหา.
               พึงทราบวินิจฉัยในกามตัณหาเป็นต้น อีกหมวดหนึ่ง.
               ราคะอันประกอบด้วยเบญจกามคุณ ชื่อว่ากามตัณหา. ฉันทราคะในรูปภพและอรูปภพ ชื่อว่ารูปตัณหาและอรูปตัณหา ๒ อย่างนอกนี้.
               ส่วนในพระอภิธรรม ท่านแถลงรายละเอียดเรื่องตัณหาหมวดนี้ไว้อย่างนี้ว่า ฉันทราคะที่ประกอบด้วยกามธาตุ ฯลฯ ที่ประกอบด้วยอรูปธาตุ.
____________________________
๒- อภิ. วิ. เล่ม ๓๕/ข้อ ๙๓๓

               ด้วยวาระนี้ ท่านแสดงอย่างไร.
               ท่านรวมเอาตัณหาทั้งหมดไว้ด้วยกามตัณหาว่า ธรรมทั้งปวงที่เป็นไปในภูมิ ๓ ชื่อว่าเป็นที่ตั้งแห่งตัณหา ด้วยอรรถว่าน่ากำหนัดยินดี. แล้วแสดงตัณหา ๒ อย่างนอกนี้แยกออกจากกามตัณหานั้น.
               พึงทราบวินิจฉัยในรูปตัณหาเป็นต้น.
               ฉันทราคะในรูปภพ ชื่อว่ารูปตัณหา. ฉันทราคะในอรูปภพ ชื่อว่าอรูปตัณหา. ราคะที่ประกอบด้วยอุจเฉททิฐิ ชื่อว่านิโรธตัณหา.
               พึงทราบวินิจฉัยในสังโยชน์ ๓ อย่าง.
               ชื่อว่าสังโยชน์ เพราะอรรถว่าร้อยรัดผูกพันไว้ในวัฏฏะ. ความเห็นในกายเช่นรูปเป็นต้นว่ามีอยู่ หรือว่าความเห็นในกายอันมีอยู่ ดังนั้น จึงชื่อว่าสักกายทิฐิ. เมื่อพิจารณาเลือกเฟ้นอยู่ ย่อมสงสัย คือไม่สามารถที่จะตกลงใจได้ เพราะธรรมชาติอันนี้ ดังนั้น ธรรมชาติอันนั้นจึงชื่อว่าวิจิกิจฉา. บุคคลย่อมลูบคลำ (ยึดติด) ศีลด้วย วัตรด้วย ดังนั้น จึงชื่อว่าสีลัพพตปรามาส.๓-
____________________________
๓- อภิ. วิ. เล่ม ๓๕/ข้อ ๙๓๒

               แต่ว่าโดยความหมายแล้ว ทิฐิอันมีวัตถุ ๒๐ ที่มาแล้วโดยนัยเป็นต้นว่า "ย่อมพิจารณาเห็นรูปว่าเป็นตัวตน" ชื่อว่าสักกายทิฐิ. ความสงสัยอันมีวัตถุ ๘ ที่มาแล้วโดยนัยเป็นต้นว่า "ย่อมสงสัยในพระศาสดา" ชื่อว่าวิจิกิจฉา. การยึดถืออย่างผิดปรกติ ที่มาแล้วโดยนัยเป็นต้นว่า บางคนในโลกนี้ลูบคลำ (ยึดติด) ศีล ลูบคลำวัตร ลูบคลำศีลพรตว่า "หมดจดได้ด้วยศีล หมดจดได้ด้วยวัตร หมดจดได้ด้วยศีลพรต ทิฐิความเห็นไปข้างทิฐิมีลักษณะอย่างนี้" ดังนี้ ชื่อว่าสีลัพพตปรามาส.
               พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า ตโย อาสวา นี้ต่อไป.
               ชื่อว่าอาสวะ ด้วยอรรถว่า เป็นฐานะที่อาศัยอยู่ช้านานบ้าง ด้วยอรรถว่าไหลไปทั่วบ้าง. ใน ๒ ความหมายนั้น พึงทราบอาสวะโดยความหมายที่ว่า เป็นฐานะที่อาศัยอยู่ช้านาน ก่อนอย่างนี้ :-๔-
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เงื่อนต้นแห่งอวิชชา ย่อมไม่ปรากฏว่า ก่อนแต่นี้อวิชชามิได้มี ต่อมาภายหลังจึงได้มี
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เงื่อนต้นแห่งภวตัณหา ภวทิฐิ ย่อมไม่ปรากฏว่า ก่อนแต่นี้ภวทิฐิมิได้มี ต่อมาภายหลังจึงได้มี ดังนี้.
____________________________
๔- องฺ. ทสก. เล่ม ๒๔/ข้อ ๖๑

               พึงทราบอาสวะโดยความหมายที่ว่า ไหลไปทั่ว อย่างนี้ว่า
               อาสวะย่อมไหลไป ไหลไปทั่ว ไหลทั่วไป เป็นไปในรูป โดยทางตา ในเสียง โดยทางหู ในกลิ่น โดยทางจมูก ในรส โดยทางลิ้น ในโผฏฐัพพะ โดยทางกาย. ย่อมไหลไป ไหลไปทั่ว ไหลทั่วไป เป็นไปในธรรมารมณ์ โดยทางใจ ดังนี้.
               แต่ในพระบาลีบางแห่ง อาสวะมีมา ๒ อย่าง คือ ทิฏฐธรรมิกาสวะ (อาสวะในภพนี้) และสัมปรายิกาสวะ (อาสวะในภพหน้า). บางแห่งมีมา ๓ อย่าง เช่น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาสวะ ๓ เหล่านี้ คือกามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ.
               ในพระอภิธรรม อาสวะ ๓ เหล่านั้นเอง รวมกับทิฐิอาสวะ เป็น ๔.
               ในนิพเพธิกปริยายสูตรมี ๕ อย่างนี้คือ :-
               ภิกษุทั้งหลาย อาสวะที่ยังให้ถึงนรกมีอยู่. อาสวะที่ยังให้ถึงกำเนิดดิรัจฉานมีอยู่. อาสวะที่ยังให้ถึงเปรตวิสัยมีอยู่. อาสวะที่ยังให้ถึงมนุษย์โลกมีอยู่. อาสวะที่ยังให้ถึงเทวโลก มีอยู่.
               ในอาหุเนยยสูตร ฉักกนิบาต มี ๖ อย่างนี้คือ :-
               ภิกษุทั้งหลาย อาสวะที่พึงละด้วยความสำรวมระวังมีอยู่, อาสวะที่พึงละด้วยการคบหามีอยู่, อาสวะที่พึงละด้วยการเว้นรอบมีอยู่, อาสวะที่พึงละด้วยความอดกลั้นมีอยู่, อาสวะที่พึงละด้วยการบรรเทามีอยู่, อาสวะที่พึงละด้วยการอบรมมีอยู่.
               ในสัพพาสวปริยายสูตร อาสวะ ๖ เหล่านี้เองรวมกับอาสวะที่พึงละด้วยทัสนะเป็น ๗.
               ส่วนในสังคีติสูตรนี้ อาสวะมีมา ๓ อย่าง.
               บรรดาอาสวะ ๓ อย่างนั้น ราคะที่ประกอบด้วยเบญจกามคุณ อันท่านกล่าวไว้อย่างนี้ว่า กามฉันทะในกามทั้งหลาย ดังนี้ ชื่อว่ากามาสวะ. ราคะที่ประกอบด้วยสัสตทิฐิ อันท่านกล่าวไว้อย่างนี้ว่า ภวฉันทะในภพทั้งหลาย ดังนี้ หรือความปรารถนาเนื่องด้วยภพ ชื่อว่าภวาสวะ. อวิชชาที่มาแล้วโดยนัยเป็นต้นว่า ความไม่รู้ทุกข์ ชื่อว่าอวิชชาสวะ๕- ดังนี้แล.
               กามภพเป็นต้นได้กล่าวมาแล้วโดยเกี่ยวกับกามธาตุเป็นต้นนั่นเอง.
____________________________
๕- อภิ. วิ. เล่ม ๓๕/ข้อ ๙๓๑

               พึงทราบวินิจฉัยในกาเมสนาเป็นต้น.
               ราคะที่แสวงหากาม อันท่านกล่าวไว้อย่างนี้ว่า๖- บรรดาธรรมเหล่านั้น กาเมสนาคืออะไร? คือกามฉันทะในกามทั้งหลาย ฯลฯ ความจมลงในกาม นี้เรียกว่ากาเมนา (แสวงหากาม).
               ราคะที่แสวงหาภพ อันท่านกล่าวไว้อย่างนี้ว่า บรรดาธรรมเหล่านั้น ภเวสนาคืออะไร? คือ ภวฉันทะในภพทั้งหลาย ฯลฯ ความจมลงในภพนี้เรียกว่า ภเวสนา (แสวงหาภพ).
               ทิฐิที่แสวงหาพรหมจรรย์ที่รู้กันว่าเป็นคติแห่งทิฐิ อันท่านกล่าวไว้อย่างนี้ว่า บรรดาธรรมเหล่านั้น พรหมจริเยสนาคืออะไร? คือทิฐิ ความเห็นไปข้างทิฐิ การยึดถืออย่างผิดปรกติ ถึงขนาดนี้ว่า โลกเที่ยงบ้าง ฯลฯ สัตว์ตายแล้วไม่เกิดอีกบ้าง สัตว์ตายแล้วจะไม่เกิดอีกก็หามิได้บ้าง นี้เรียกว่า พรหมจริเยสนา (แสวงหาพรหมจรรย์) ดังนี้ ชื่อว่าพรหมจริเยสนา.
               มิใช่เฉพาะภวราคทิฐิอย่างเดียวเท่านั้น แม้กรรมที่มีความหมายอย่างเดียวกันนั้น ก็จัดเป็นเอสนาเช่นกัน.
               สมดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า๖-
               บรรดาเอสนาเหล่านั้น กาเมสนาคืออะไร? คือกามราคะ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อันเป็นอกุศล ที่มีความหมายอย่างเดียวกันนั้น นี้เรียกว่ากาเมสนา.
               บรรดาเอสนาเหล่านั้น ภเวสนาคืออะไร? คือภวราคะ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อันเป็นอกุศล ที่มีความหมายอย่างเดียวกันนั้น นี้เรียกว่าภเวสนา.
               บรรดาเอสนาเหล่านั้น พรหมจริเยสนาคืออะไร? คือทิฐิที่ยึดถือจนสุดเหวี่ยง กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อันเป็นอกุศล ที่มีความหมายอย่างเดียวกันนั้น นี้เรียกว่าพรหมจริเยสนา.
____________________________
๖- อภิ. วิ. เล่ม ๓๕/ข้อ ๙๓๖

               พึงทราบวินิจฉัยในวิธา.
               การตั้งไว้ซึ่งอาการ ดังเช่นในประโยคว่า บัณฑิตกล่าวถึงคนมีศีลว่าเป็นอย่างไร, กล่าวถึงคนมีปัญญาว่าเป็นอย่างไร ดังนี้ ชื่อว่าวิธา.
               ส่วนก็ชื่อว่าวิธา ดังเช่นในประโยคว่า ญาณวัตถุโดย ๑ ส่วน, ญาณวัตถุโดย ๒ ส่วน.๗-
               มานะชื่อว่าวิธา ดังเช่นในประโยคว่า วิธา (มานะ) ว่าเราดีกว่าเขา.
____________________________
๗- อภิ. วิ. เล่ม ๓๕/ข้อ ๗๙๖

               ในที่นี้มุ่งหมายเอาวิธาที่แปลว่า มานะ นั้น.
               อันที่จริง มานะ ท่านเรียกว่าวิธา เพราะจัดแจงด้วยอำนาจที่ให้ถือว่าดีกว่าเขาเป็นต้น. ด้วยคำว่า เสยฺโย หมสฺมิ นี้ท่านกล่าวถึงมานะ ๓ อย่าง คือดีกว่าเขา เสมอเขา เลวกว่าเขา. แม้ในสทิสวิธา และหีนวิธา ก็มีนัยเดียวกันนี้.
               ที่จริง มานะนี้มี ๙ อย่าง คือ คนดีกว่าเขามีมานะ ๓ อย่าง คนเสมอเขามีมานะ ๓ อย่าง คนเลวกว่าเขามีมานะ ๓ อย่าง.
               บรรดามานะ ๙ อย่างนั้น สำหรับคนดีกว่าเขา มานะว่าเราดีกว่าเขา ย่อมเกิดขึ้นแก่พระราชาและบรรพชิต. พระราชาย่อมมีมานะเช่นนี้ว่า ใครหรือจะมาสู้เราได้ ไม่ว่าจะทางราชอาณาเขต ทางราชทรัพย์ หรือว่าทางไพร่พลพาหนะ. ฝ่ายบรรพชิตก็ย่อมมีมานะเช่นนี้ว่า ใครเล่าจะมาทัดเทียมเราได้ด้วยศีลคุณ และธุดงคคุณเป็นต้น.
               แม้มานะว่า เราเสมอเขาสำหรับคนดีกว่าเขา ก็ย่อมเกิดขึ้นได้แก่พระราชาและบรรพชิตนั้นเช่นกัน. พระราชาย่อมมีมานะเช่นนี้ว่า อะไรล่ะที่จะมาแตกต่างกันระหว่างเรากับราชาอื่นๆ ไม่ว่าจะทางราชอาณาเขต ทางราชทรัพย์ หรือว่าทางไพร่พลพาหนะ. ฝ่ายบรรพชิตก็ย่อมมีมานะเช่นนี้ว่า อะไรเล่าที่จะมาผิดแผกกัน ระหว่างเรากับภิกษุอื่น ไม่ว่าจะโดยศีลคุณหรือธุดงคคุณเป็นต้น.
               แม้มานะว่า เราเลวกว่าเขาสำหรับคนดีกว่าเขา ก็ย่อมเกิดขึ้นได้แก่พระราชาและบรรพชิตนั้นเช่นกัน. พระราชาองค์ใดมีราชอาณาเขต ราชทรัพย์ หรือไพร่พลพาหนะเป็นต้น ไม่สมบูรณ์มากนัก. พระราชาองค์นั้นย่อมมีมานะเช่นนี้ว่า เขาสักแต่เรียกเราว่าพระราชาไปอย่างนั้นเอง อย่างเราน่ะรึ ชื่อว่าราชา. ฝ่ายบรรพชิตที่ลาภสักการะน้อย ก็ย่อมมีมานะเช่นนี้ว่า เขาก็เพียงแต่เรียกเราว่า พระธรรมกถึก พหูสูต พระมหาเถระ ไปอย่างนั้นเอง อย่างเราไม่มีลาภสักการะ จะเป็นพระธรรมกถึก เป็นพหูสูต เป็นมหาเถระ ไปได้อย่างไร.
               สำหรับคนเสมอเขามานะว่า เราดีกว่าเขาเป็นต้น ย่อมเกิดขึ้นแก่อำมาตย์เป็นต้น. อำมาตย์หรือข้าราชการย่อมมีมานะเช่นนี้ว่า ข้าราชการอื่นๆ ใครหรือจะมาสู้เราได้ ไม่ว่าจะเป็นทางโภคทรัพย์ หรือทางยานพาหนะ เป็นต้น ดังนี้บ้าง ว่า อะไรล่ะที่จะมาแตกต่างกันระหว่างเรากับคนอื่น ดังนี้บ้าง. ว่า เขาสักแต่เรียกเราว่า อำมาตย์ไปอย่างนั้นเอง แม้เพียงของกินและเสื้อผ้าเราก็ไม่มี อย่างเรานี้หรือจะชื่อว่า อำมาตย์ ดังนี้บ้าง.
               สำหรับคนเลวกว่าเขา มานะว่าเราดีกว่าเขาเป็นต้น ย่อมเกิดขึ้นแก่คนใช้เป็นต้น. คนใช้ย่อมมีมานะเช่นนี้ว่า ชื่อว่าคนใช้อื่นๆ ใครหรือจะมาสู้เราได้ ไม่ว่าจะฝ่ายข้างแม่ หรือว่าฝ่ายข้างพ่อก็ตาม พวกอื่นๆ น่ะไม่สามารถจะเลี้ยงชีพอยู่ได้ จึงต้องมาเป็นขี้ข้าเขา แต่เรานี้ดีกว่าเพราะเป็นคนใช้สืบกันมาตามเชื้อสาย ดังนี้บ้าง. ว่า อะไรล่ะที่จะมาแตกต่างกันระหว่างเรากับคนใช้คนโน้น ไม่ว่าจะโดยความเป็นคนใช้ สืบกันมาตามเชื้อสาย หรือว่าโดยความเป็นคนใช้ขนานแท้ ทางฝ่ายแม่และฝ่ายพ่อ ดังนี้บ้าง. ว่า เราน่ะ ต้องเป็นคนใช้เขาก็เพราะต้องเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง แต่ว่ากันให้ถึงที่สุดพ่อแม่แล้ว เรามิได้มีฐานะเป็นคนใช้เลย อย่างเรานะรึจะชื่อว่าเป็นคนใช้ ดังนี้บ้าง.
               แม้พวกคนขนขยะ และคนจัณฑาลเป็นต้น ก็ย่อมมีมานะเช่นนี้ ดุจเดียวกับคนใช้เหมือนกัน.
               บรรดามานะเหล่านี้ คนดีกว่า มานะว่าเราดีกว่าเขา. คนเสมอเขา มานะว่าเราเสมอเขา และคนเลวกว่าเขา มานะว่าเราเลวกว่าเขา ทั้ง ๓ ประเภทนี้ได้ชื่อว่าเป็นมานะอย่างเข้มข้น จะฆ่าเสียได้ด้วยอรหัตตมรรค.
               ธรรมที่เหลือได้ชื่อว่าเป็นมานะอย่างไม่เป็นไปตามความจริง ฆ่าเสียได้ด้วยมรรคชั้นต้น.
               คำว่า ตโย อทฺธา หมายถึง กาล ๓.
               ในคำเป็นต้นว่า อตีโต อทฺธา มีปริยาย ๒ อย่าง คือ ปริยายแห่งพระสูตร และปริยายแห่งพระอภิธรรม. โดยปริยายแห่งพระสูตร ก่อนแต่ปฏิสนธิ ชื่อว่าอตีตัทธา (กาลอดีต). ภายหลังแต่จุติ ชื่อว่าอนาคตัทธา (กาลอนาคต). ในระหว่างนั้น พร้อมทั้งจุติและปฏิสนธิ ชื่อว่าปัจจุปปันนัทธา (กาลปัจจุบัน).
                อภิธมฺมปริยาเยน ตีสุ ขเณสุ ภงฺคโต อุทฺธํ อตีโต อทฺธา นามฯ
อุปฺปาทโต ปุพฺเพ อนาคโต อทฺธา นาม ฯ
ขณตฺตเย ปจฺจุปฺปนฺโนอทฺธา นาม ฯ

               อันว่า อัทธาอันต่างโดยอตีตัทธาเป็นต้นนี้ย่อมมีแก่ธรรมทั้งหลาย มิใช่มีแก่กาลเวลา. แต่อาศัยธรรมอันต่างโดยอตีตัทธาเป็นต้น กาลเวลาแม้จะไม่มีโดยปรมัตถ์ในที่นี้ ท่านก็เรียก (ว่า อตีตัทธาเป็นต้น) โดยโวหารนั้นนั่นเอง. พึงทราบตามที่กล่าวมานี้.
               คำว่า ตโย อนฺตา หมายถึง ส่วนทั้ง ๓.
               ที่สุดนั่นเอง ชื่อว่าอันตะ (ริม) ดังเช่นในประโยคว่า ริม (หรือชาย) ผ้ารัดประคต ย่อมเก่าไป.๘- ส่วนอื่นชื่อว่าอันตะ ดังเช่นในประโยคว่า นั่นเป็นส่วนอื่นแห่งทุกข์.๙- ความเลวทราม ชื่อว่าอันตะ ดังเช่นในพระบาลีนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นความเลวทรามของการเลี้ยงชีวิต.๑๐- ส่วนชื่อว่าอันตะ ดังเช่นในประโยคว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ สักกายะแลเป็นส่วนที่หนึ่ง.๑๑-
____________________________
๘- วิ. จุล. เล่ม ๗/ข้อ ๑๖๔   ๙- สํ. สฬา. เล่ม ๑๘/ข้อ ๘๕   สํ. นิ. เล่ม ๑๖/ข้อ ๑๙๕
๑๐- สํ. ข. เล่ม ๑๗/ข้อ ๑๖๗   ๑๑- องฺ. ฉกฺก. เล่ม ๒๒/ข้อ ๓๓๒

               ในที่นี้หมายเอาอันตะที่แปลว่าส่วน.
               คำว่า สกฺกาโย หมายถึง อุปาทานขันธ์ ทั้ง ๕.
               คำว่า สกฺกายสมุทโย หมายถึง ตัณหาในเบื้องต้นอันเป็นตัวทำให้เกิดอุปาทานขันธ์เหล่านั้น. คำว่า สกฺกายนิโรโธ หมายถึง ความดับที่ทำให้อุปาทานขันธ์และตัณหาทั้งคู่นั้นเป็นไปไม่ได้. ส่วนมรรคพึงทราบว่า เมื่อกล่าวถึงนิโรธแล้วก็เป็นอันกล่าวถึงด้วยทีเดียว เพราะเป็นอุบายแห่งการบรรลุนิโรธ.
               คำว่า ทุกฺขทุกฺขตา หมายเอาทุกข์เพราะเป็นทุกข์. คำนี้เป็นชื่อของทุกขเวทนา.
               คำว่า สงฺขารทุกฺขตา หมายเอาทุกข์เพราะความเป็นสังขาร. คำนี้เป็นชื่อของอทุกขมสุขเวทนา. ความเป็นทุกข์เพราะสังขารนั้นมีความเกิดขึ้นและเสื่อมไป ถูกความแตกดับบีบคั้น เพราะเป็นสภาพที่ถูกปรุงแต่ง เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวความเป็นทุกข์เพราะสังขารไว้ โดยเว้นจากสภาวะแห่งทุกข์อื่น.
               คำว่า วิปริณามทุกฺขตา หมายเอาทุกข์เพราะแปรปรวนไป. คำนี้เป็นชื่อของสุขเวทนา. แท้จริง เพราะสุขแปรปรวนไป ทุกข์จึงเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น ท่านจึงเรียกสุขว่า ทุกข์เพราะแปรปรวน.
               อีกประการหนึ่ง ธรรมทั้งปวงอันเป็นไปในภูมิ ๓ เว้นทุกขเวทนาและสุขเวทนา พึงทราบว่าทุกข์เพราะสังขาร โดยพระบาลีว่า สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์.๑๒-
____________________________
๑๒- ขุ. ธ. เล่ม ๒๕/ข้อ ๓๐

               คำว่า มิจฺฉตฺตนิยโต คือ เป็นสภาพความผิดที่แน่นอน. คำนี้เป็นชื่อของอนันตริยกรรม พร้อมทั้งนิยตมิจฉาทิฐิ. ชื่อว่าสัมมัตตนิยตะ เพราะแน่นอนในสภาพที่ถูกต้อง. คำนี้เป็นชื่อของ อริยมรรค ๔. ชื่อว่าอนิยตะ เพราะไม่แน่นอน. คำนี้เป็นชื่อของธรรมที่เหลือ.
               อวิชชา ชื่อว่า ตมะ (ความมืด) ในคำว่า ตโย ตมา เพราะพระบาลีว่า ห้วงน้ำคืออวิชชาทำให้มืดมิด ลุ่มหลง มีภัยมาก. แต่ในที่นี้ ท่านกล่าวถึงวิจิกิจฉา โดยหัวข้อว่า อวิชชา. คำว่า อารพฺภ เท่ากับ อาคมฺม (แปลว่า มาถึงหรืออาศัย). คำว่า กงฺขติ ความว่า ให้เกิดความสงสัย. คำว่า วิจิกิจฺฉติ ความว่า เมื่อเลือกเฟ้นอยู่ย่อมถึงอาการลังเล ไม่อาจที่จะตกลงใจได้. คำว่า นาธิมุจฺจติ ความว่า ไม่อาจที่จะน้อมเชื่อในกาลนั้น.
               บทว่า น สมฺปสีทติ ความว่า ไม่อาจเพื่อจะปลูกความเลื่อมใสโดยอาศัยกาลนั้น.
               คำว่า อรกฺเขยฺยานิ แปลว่า ไม่ต้องรักษาไว้. ท่านแสดงความหมายว่า ไม่มีหน้าที่จะต้องรักษาเป็นอย่างๆ ไป ในทวารทั้ง ๓, ทุกอย่างรักษาไว้แล้วด้วยสติอย่างเดียว. คำว่า ปฏิจฺฉาเทมิ ความว่า กายทุจริต. ข้อนี้เกิดขึ้นเพราะความไม่รอบคอบของเรา, เราจะรักษาไว้มิให้คนอื่นรู้. คำว่า นตฺถิ ตถาคตสฺส ความว่า กายทุจริตที่จะต้องรักษาอย่างนั้น ไม่มีแก่พระตถาคต. แม้ในส่วนที่เหลือก็มีนัยเช่นเดียวกันนี้.
               ถามว่า พระขีณาสพอื่นๆ มีกายสมาจารเป็นต้น ไม่บริสุทธิ์กระนั้นหรือ.
               ตอบว่า ไม่ใช่ไม่บริสุทธิ์ เพียงแต่ว่าบริสุทธิ์ไม่เท่ากับพระตถาคต. พระขีณาสพที่ฟังมาน้อย ย่อมไม่ต้องอาบัติที่เป็นโลกวัชชะ ก็จริงอยู่ แต่เพราะไม่ฉลาดในพุทธบัญญัติ ก็ย่อมจะต้องอาบัติในกายทวาร ประเภททำวิหาร ทำกุฏิ (คลาดเคลื่อนไปจากพุทธบัญญัติ) อยู่ร่วมเรือน นอนร่วมกัน (กับอนุปสัมบันเป็นต้น). ย่อมต้องอาบัติในวจีทวารประเภทชักสื่อ กล่าวธรรมโดยบท พูดเกินกว่า ๕-๖ คำ บอกอาบัติที่เป็นจริง (เป็นต้น). ย่อมต้องอาบัติเพราะรับเงินรับทอง ในทางมโนทวารด้วยอำนาจยินดีเงินทองที่เขาเก็บไว้เพื่อตน.
               แม้พระขีณาสพขนาดพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรก็ยังเกิดมโนทุจริตขึ้นได้ ด้วยอำนาจที่นึกตำหนิในมโนทวาร. เมื่อศากยะปาตุเมยยกะขอขมาพระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อประโยชน์แก่พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะในคราวที่ทรงประณาม. พระเถระทั้งสองนั้นพร้อมกับภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป ในเรื่องปาตุมะ.
               พระเถระอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า เธอคิดอย่างไร สารีบุตร เมื่อภิกษุสงฆ์ถูกเราประณามแล้ว ดังนี้ ก็ให้เกิดความคิดขึ้นว่า เราถูกพระศาสดาประณาม เพราะไม่ฉลาดเรื่องบริษัท, ตั้งแต่บัดนี้ไป เราจะไม่สอนคนอื่นละ. จึงได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้ามีความคิดอย่างนี้ว่า ภิกษุสงฆ์อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประณามแล้ว บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจักทรงขวนขวายน้อย ประกอบทิฐธรรมสุขวิหารธรรมอยู่. แม้เราทั้งสองก็จักขวนขวายน้อย ประกอบทิฐธรรมสุขวิหารธรรมอยู่.
               ลำดับนั้น พระศาสดา เมื่อจะทรงยกข้อตำหนิเพราะมโนทุจริตนั้นของพระเถระ จึงตรัสว่า เธอจงรอก่อนสารีบุตร. ความคิดอย่างนี้ไม่ควรที่เธอจะให้เกิดขึ้นอีกเลย สารีบุตร. แม้เพียงความคิดว่า เราจะไม่ว่ากล่าวสั่งสอนคนอื่น อย่างนี้ก็ชื่อว่าเป็นมโนทุจริตของพระเถระ แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมไม่มีพระดำริเช่นนั้น และการที่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณแล้ว จะไม่พึงมีทุจริตนั้น ไม่ใช่ของน่าอัศจรรย์. แม้แต่ดำรงอยู่ในภูมิแห่งพระโพธิสัตว์ ทรงประกอบความเพียรอยู่ ๖ ปี พระองค์ก็มิได้มีทุจริต. แม้เมื่อเหล่าเทวดาเกิดความสงสัยขึ้นอย่างนี้ว่า หนังท้องติดกระดูกสันหลัง (อย่างนี้) พระสมณโคดมถึงแก่การดับสูญ (เสียละกระมัง).
               เมื่อถูกมารใจบาปกล่าวอยู่ว่า สิทธัตถะ ท่านจะต้องมาลำบากลำบนทำไม ท่านสามารถที่จะเสวยโภคสมบัติไปด้วย สร้างบุญกุศลไปด้วยได้ ดังนี้. แม้เพียงความคิดว่า "เราจัก (กลับไป) เสวยโภคสมบัติ" ก็ไม่เกิด.
               ครั้นแล้ว มารก็ติดตามพระผู้มีพระภาคเจ้าในเวลาที่ยังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ถึง ๖ ปีในเวลาที่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว อีก ๑ ปี ก็มิได้เห็นโทษผิดอันหนึ่งอันใด จึงกล่าวความข้อนี้ไว้ แล้วหลบไปว่า :-
                         เราติดตามพระผู้มีพระภาคเจ้าไปทุกย่างก้าว
                         ตลอดเวลา ๗ ปี ก็มิได้เห็นข้อบกพร่องใดๆ ของ
                         พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีพระสติไพบูลย์นั้นเลย.

               อีกประการหนึ่ง พึงทราบความไม่มีทุจริตของพระผู้มีพระภาคเจ้า แม้ด้วยอำนาจแห่งพุทธธรรม ๑๘ ประการ.
               อันว่าพุทธธรรม ๑๘ ประการ ดังนี้
               พระตถาคตไม่มีกายทุจริต ๑ ไม่มีวจีทุจริต ๑ ไม่มีมโนทุจริต ๑ พุทธญาณไม่มีอะไรติดขัดในอดีต ๑ พุทธญาณไม่มีอะไรติดขัดในอนาคต ๑ พุทธญาณไม่มีอะไรติดขัดในปัจจุบัน ๑ กายกรรมทั้งปวงของพระผู้มีพระภาคเจ้า คล้อยตามพระญาณ ๑ วจีกรรมทั้งปวงของพระผู้มีพระภาคเจ้า คล้อยตามพระญาณ ๑ มโนกรรมทั้งปวงของพระผู้มีพระภาคเจ้า คล้อยตามพระญาณ ๑ ไม่มีความเสื่อมฉันทะ ๑ ไม่มีความเสื่อมวิริยะ ๑ ไม่มีความเสื่อมสติ ๑ ไม่มีการเล่น ๑ ไม่มีการวิ่ง ๑ ไม่มีความพลาดพลั้ง ๑ ไม่มีความผลุนผลัน ๑ ไม่มีพระทัยที่ไม่ขวนขวาย ๑ ไม่มีอกุศลจิต ๑.
               คำว่า กิญฺจนา หมายถึง ปลิโพธ เครื่องกังวล. คำว่า ราโค กิญฺจนํ มีคำนิยามว่า ราคะ เมื่อเกิดขึ้นย่อมผูกมัดขัดข้องสัตว์เอาไว้ (ไม่ให้หลุดพ้นจากวัฏฏะ) ดังนั้น ท่านจึงเรียกว่า กิญฺจนะ (เครื่องข้อง). แม้ใน ๒ บทนอกนี้ก็มีนัยเดียวกันนี้แล.
               คำว่า อคฺคิ มีคำนิยามว่า ชื่อว่าอัคคี เพราะอรรถว่าตามเผาไหม้.
               คำว่า ราคคฺคิ มีคำนิยามว่า ราคะ เมื่อเกิดขึ้น ย่อมตามไหม้เผาผลาญสัตว์ให้ร้อน ดังนั้น ท่านจึงเรียกว่า อัคคี.
               แม้ใน ๒ บทนอกนี้ ก็มีนัยเดียวกันนี้.
               ในกรณีนั้น มีเรื่อง (ดังต่อไปนี้เป็นตัวอย่าง).
               ภิกษุณีสาวรูปหนึ่งไปยังโรงอุโบสถ ที่จิตตลบรรพตวิหาร ยืนมองร่างของนายทวารบาลอยู่. ครั้นแล้ว ราคะก็เกิดขึ้นภายในใจของเธอ. เธอถูกราคะนั้นเองเผาเอาจนตายไป (ในขณะที่ยืนอยู่ตรงนั้นเอง). พวกภิกษุณี เมื่อจะกลับ จึงกล่าวขึ้นว่า ภิกษุณีรูปนี้ยืนอยู่ (ตรงนั้นเอง) ไปเรียกเธอมา. ภิกษุณีรูปหนึ่งเดินไปจับแขนพูดว่า ยืนทำอะไรอยู่. พอถูกเข้าร่างภิกษุณีสาวนั้นก็ล้มพับลงไป. นี้เป็นเรื่องที่ราคะตามเผาเอาก่อน.
               ส่วนเรื่องที่โทสะตามเผาเอานั้น ก็อย่างพวกเทวดาประเภทมโนปโทสิกา (พวกถูกทำร้ายด้วยใจ คือโกรธขึ้นมาแล้วต้องจุติไป).
               เรื่องที่โมหะตามเผาเอานั้น พึงเห็นอย่างพวกเทวดาประเภทขิฑฑาปโทสิกา (พวกถูกทำร้ายด้วยการเล่น). คือ เทวดาพวกนั้นหลงลืมสติด้วยอำนาจโมหะ. เพราะฉะนั้น พอเลยเวลาอาหารไปแล้ว มัวแต่เที่ยวเล่นอยู่จึงต้องสิ้นชีวิตไป.
               พึงทราบวินิจฉัยในบทว่า อาหุเนยฺยคฺคิ เป็นต้น.
               เครื่องสักการะ ท่านเรียกว่าอาหุนะ. บุคคลผู้ควรแก่อาหุนะ ชื่อว่าอาหุไนย. แท้จริง มารดาบิดาย่อมควรแก่อาหุนะ เพราะมีอุปการะมากแก่บุตร. บุตรทั้งหลาย เมื่อปฏิบัติผิดพลาดในมารดาบิดา ก็ย่อมไปเกิดในอบายมีนรกเป็นต้น. ดังนั้น แม้ว่า มารดาบิดาจะไม่ตามเผาไหม้บุตรก็จริง แต่ก็เป็นต้นเหตุแห่งการถูกเผาไหม้. ท่านเรียกว่า อาหุเนยยัคคิ (ไฟคืออาหุไนยบุคคล) โดยอรรถว่าตามเผาไหม้ ด้วยประการดังนี้.
               ความข้อนี้นั้น พึงทราบด้วยเรื่องนายมิตตวินทุกะ.
               เรื่องมีอยู่ว่า นายมิตตวินทุกะถูกมารดากล่าวว่า ลูกเอ๋ย วันนี้เจ้าจงรักษาอุโบสถฟังธรรมที่วัดตลอดทั้งคืนเถิด แม่จะให้เจ้าพันหนึ่ง. ด้วยความอยากได้ทรัพย์จึงสมาทานอุโบสถไปวัด หมายใจว่าที่ตรงนี้ปลอดภัย จึงหลบเข้าไปนอนอยู่ใต้ธรรมาสน์ หลับไปตลอดทั้งคืน (รุ่งเช้า) ก็กลับบ้าน.
               ฝ่ายมารดาต้มยาคูไว้ แต่เช้าตรู่ เสร็จแล้วก็ยกเข้าไปให้. นายมิตตวินทุกะดื่มยาคูทั้งๆ ที่ยังกำเงินพันไว้. ต่อมาเขามีความคิดขึ้นว่าจะรวบรวมทรัพย์. ก็เลยคิดอยากจะไป (ค้าขาย) ทางเรือเดินทะเล. ทีนั้น มารดาห้ามเขาไว้ว่า ลูกเอ๋ย ในตระกูลนี้มีทรัพย์อยู่ถึง ๔๐ โกฏิแล้ว อย่าไปเลย. เขาไม่เอาใจใส่ต่อคำขอร้องของมารดา ขืนจะไปให้ได้. มารดาจึงยืนขวางหน้าไว้. เขาโกรธมารดาว่า แม่นี่มายืนขวางหน้าเราได้ จึงเตะมารดาล้มลง แล้วเดินข้ามไป.
               มารดาลุกขึ้นกล่าวว่า ลูกเอ๋ย เจ้าคงจะสำคัญว่า ทำกรรมเห็นปานนี้ในคนที่เป็นแม่อย่างเรา แล้วเดินทางไป จักมีความสุขในที่ที่ไปถึง.
               เมื่อนายมิตตวินทุกะลงเรือไป ถึงวันที่ ๗ เรือก็หยุด (ขึ้นมาเฉยๆ). คนทั้งหลาย (ที่ไปในเรือ) เหล่านั้นพากันกล่าวว่า ในเรือลำนี้มีคนบาปอยู่เป็นแน่ จงจับสลากกันดูเถิด. เมื่อจับสลากกันก็ตกอยู่แก่นายมิตตวินทุกะนั่นเองถึง ๓ ครั้ง. คนเหล่านั้นก็เอาเขาลงแพ ลอยไปในทะเล.
               เขาไปถึงเกาะแห่งหนึ่งเสวยสมบัติอยู่กับพวกนางเวมานิกเปรต เมื่อเปรตพวกนั้นบอกว่า อย่าไปต่อๆ ไปอีกเลย ก็กลับมองเห็นสมบัติ (ข้างหน้า) เป็นสองเท่าอยู่ร่ำไป จนกระทั่งได้พบสัตว์ตนหนึ่งมีจักรคม (พัดผันอยู่ที่ศีรษะ).
               เขาเห็นจักรนั้นเป็นประหนึ่งดอกบัว จึงกล่าวกับสัตว์ตนนั้นว่า นี่แม่ท่านจงให้ดอกบัวที่ท่านประดับอยู่นี้แก่ข้าพเจ้าเถิด.
               สัตว์นั้นกล่าวว่า นายเอย นี่มิใช่ดอกบัวดอก นี่มันจักรคม. เขากลับพูดว่า ท่านหลอกข้าพเจ้า, ดอกบัวทำไมข้าพเจ้าจะไม่เคยเห็น ดังนี้แล้วกล่าวต่อไปว่า ท่านลูบไล้จันทน์แดงอยู่แล้ว ไม่อยากจะให้ดอกบัวเครื่องประดับแก่ข้าพเจ้า.
               สัตว์ตนนั้นคิดว่า บุรุษผู้นี้คงจะได้ทำกรรมอย่างเดียวกับที่เราทำ จึงอยากจะเสวยผลกรรมนั้น. ครั้นแล้ว จึงกล่าวกับนายมิตตวินทุกะว่า เอาเถิด ข้าพเจ้ายกให้ แล้วเหวี่ยงจักรไปบนศีรษะของเขา.
               ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ว่า
                         ได้สี่แล้วอยากได้แปด ได้แปดแล้วอยากได้สิบหก
                         ได้สิบหกแล้วอยากได้สามสิบสอง จึงต้องมาทูนจักรไว้
                         คนที่ถูกความอยากเล่นงานเอา จักรกำลังหมุนอยู่บนหัว.

               เจ้าของเรือน ท่านเรียกว่าคฤหบดี, คฤหบดีนั้น ชื่อว่ามีอุปการะมากแก่มาตุคามด้วยการเพิ่มให้ซึ่งสิ่งของ เช่นที่นอน ผ้าผ่อนเครื่องแต่งตัวเป็นต้น. มาตุคามนอกใจคฤหบดี ย่อมไปเกิดในอบายมีนรกเป็นต้น ดังนั้น คฤหบดีนั้น ท่านจึงเรียกว่า คหปตัคคิ ด้วยอรรถว่าตามเผาไหม้โดยนัยก่อนเช่นกัน.
               ในกรณีนั้น มีเรื่อง (นี้เป็นตัวอย่าง) :-
               ในสมัยพระกัสสปพุทธเจ้า ภริยาของอุบาสกผู้เป็นโสดาบัน ประพฤตินอกใจ. อุบาสกเห็นเหตุนั้นโดยประจักษ์จึงกล่าวว่า เหตุไร เธอจึงทำอย่างนี้. ภริยาตอบว่า ถ้าดิฉันทำเห็นปานนั้น (จริงอย่างที่ท่านว่า) ขอให้สุนัขตัวนี้ทิ้งกัดดิฉันเถิด ดังนี้แล้วตายไปเกิดเป็นเวมานิกเปรตที่สระกัณณมุณฑกะ. กลางวันเสวยสมบัติ กลางคืนเสวยทุกข์.
               คราวนั้น พระเจ้าพาราณสีเสด็จล่าเนื้อเข้าไปในป่า เสด็จไปถึงสระกัณณมุณกะโดยลำดับ ได้เสวยสมบัติอยู่กับนาง. นางเปรตลวงท้าวเธอไปเสวยทุกข์ในตอนกลางคืน. พระราชาทรงทราบความแล้ว ทรงสงสัยว่านางไปที่ไหนหนอ จึงเสด็จตามไปข้างหลัง ทรงหยุดอยู่ไม่ห่างนัก ทอดพระเนตรเห็นสุนัขตัวหนึ่งออกมาจากสระกัณณมุณกะ กัดกินนาง เสียงดังกรุบๆ กรับๆ อยู่ จึงทรงฟันด้วยพระแสงดาบ ขาดสองท่อน. สุนัขกลับเพิ่มขึ้นเป็น ๒. เมื่อถูกฟันขาดอีกก็เป็น ๔. เมื่อถูกฟันขาดอีกก็เพิ่มเป็น ๘. เมื่อถูกฟันขาดอีกก็เพิ่มเป็น ๑๖.
               นางทูลว่า สวามี พระองค์ทรงทำอะไร.
               ท้าวเธอตรัสว่า นี้อะไรกัน.
               นางทูลว่า พระองค์อย่าทำอย่างนั้น จงทรงถ่มก้อนเขฬะลงบนพื้นแล้วขยี้ด้วยพระบาท. ท้าวเธอทรงทำตามที่นางทูลบอก. สุนัขทั้งหลายก็หายไป. วันนั้น พอดีนางสิ้นกรรม. พระราชาไม่ทรงสบายพระทัย จึงทรงเริ่มจะเสด็จกลับ. นางทูลว่า สวามี กรรมของหม่อมฉันสิ้นแล้ว อย่าเสด็จไปเลย. พระราชาไม่ทรงฟัง เสด็จไปจนได้.
               ส่วนในคำว่า ทกฺขิเณยฺยคฺคิ นี้. คำว่า ทกฺขิณา คือปัจจัย ๔. ภิกษุสงฆ์ ชื่อว่าทักขิไณยบุคคล. ภิกษุสงฆ์ ชื่อว่ามีอุปการะมากแก่คฤหัสถ์ ด้วยการชักนำให้ประพฤติในกัลยาณธรรมทั้งหลายเป็นต้นว่า สรณะ ๓ ศีล ๕ ศีล ๑๐ การเลี้ยงดูมารดาบิดา การบำรุงสมณพราหมณ์ผู้มีธรรม. คฤหัสถ์ที่ปฏิบัติผิดในภิกษุสงฆ์ บริภาษด่าทอภิกษุสงฆ์ ย่อมไปเกิดในอบายมีนรกเป็นต้น ดังนั้นแม้ภิกษุสงฆ์ ท่านก็เรียกว่าทักขิเณยยัคคิ ด้วยอรรถว่าตามเผาไหม้โดยนัยก่อนเช่นกัน. และเพื่อจะให้ความข้อนี้กระจ่าง ควรจะแถลงเรื่องเวมานิกเปรตโดยละเอียดด้วย.
               พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า ติวิเธนรูปสงฺคโห นี้ต่อไป.
               คำว่า ติวิเธน แปลว่า ๓ ส่วน.
               คำว่า สงฺคโห หมายเอาสังคหะ ๔ อย่างคือ ชาติสังคหะ สัญชาติสังคหะ กิริยสังคหะและคณนสังหะ.
               บรรดาสังคหะ ๔ อย่างนั้น การรวบรวมเป็นต้นว่า กษัตริย์ทั้งปวงจงมา ดังนี้ ชื่อว่า ชาติสังคหะ (รวบรวมตามชาติกำเนิด). การรวบรวมเป็นต้นว่า ชาวโกศลทั้งหมดจงมา ดังนี้ ชื่อว่า สัญชาติสังคหะ (รวบรวมตามสัญชาติ). การรวบรวมเป็นต้นว่า ควาญช้างทั้งหมดจงมา ดังนี้ ชื่อว่า กิริยสังคหะ (รวบรวมตามอาการที่ทำ). การรวบรวมนี้ว่า ถามว่า อายตนะคือจักษุนับเข้าในขันธ์ไหน. ตอบว่า อายตนะคือจักษุนับเข้าในรูปขันธ์. พระสกวาทีกล่าวว่า๑๓- ถ้าอายตนะคือจักษุนับเข้าในรูปขันธ์ ด้วยเหตุนั้น ก็ควรจะกล่าวว่า อายตนะคือจักษุ สงเคราะห์เข้าด้วยรูปขันธ์ ดังนี้ ชื่อว่า คณนสังคหะ (รวบรวมตามการนับเข้าได้).
____________________________
๑๓- อภิ. ก. เล่ม ๓๗/ข้อ ๑๑๒๘

               คณนสังคหะนั้นมุ่งหมายเอาในที่นี้. เพราะฉะนั้น คำว่า ติวิเธน รูปสงฺคโห จึงมีความหมายว่า การนับรูปเป็น ๓ ส่วน.
               พึงทราบวินิจฉัยในสนิทัสสนะเป็นต้น.
               รูปพร้อมทั้งนิทัสสนะ กล่าวคือจักษุวิญญาณที่เป็นไปปรารภตน ชื่อว่าสนิทัสสนะ. รูปพร้อมทั้งปฏิฆะ เพราะสามารถที่จะกระทบจักษุ ชื่อว่าสัปปฏิฆะ. สัปปฏิฆะนั้นโดยความหมาย ก็คือรูปายตนะนั่นเอง. นิทัสสนะกล่าวคือจักษุวิญญาณของรูปนั้นไม่มี ดังนั้น จึงชื่อว่าอนิทัสสนะ. รูปพร้อมทั้งปฏิฆะ เพราะสามารถที่จะกระทบโสต ชื่อว่าสัปปฏิฆะ. สัปปฏิฆะนั้นโดยความหมาย ก็คืออายตนะ ๙ มีอายตนะคือจักษุเป็นต้น. นิทัสสนะมีประการดังกล่าวมาแล้วของรูปนั้นไม่มี ดังนั้น จึงชื่อว่าอนิทัสสนะ. ปฏิฆะของรูปนั้นไม่มี ดังนั้น จึงชื่อว่าอัปปฏิฆะ. อัปปฏิฆะนั้นโดยความหมาย ก็คือสุขุมรูปที่เหลือ ยกเว้นอายตนะ ๑๐.
               คำว่า ตโย สงฺขารา มีคำนิยามว่า ชื่อว่าสังขาร เพราะปรุงขึ้น คือทำให้เป็นกลุ่มขึ้น ซึ่งธรรมที่เกิดร่วมกัน และธรรมที่มีผลในกาลต่อไป. ชื่อว่าอภิสังขาร เพราะปรุงขึ้นอย่างยิ่ง. อภิสังขารคือบุญ ชื่อว่าปุญญาภิสังขาร.
               คำว่า ปุญญาภิสังขาร นั้นเป็นชื่อของมหาจิตเจตนา อันเป็นกามาวจรกุศล ๘ ดวง และเจตนาอันเป็นรูปาวจรกุศล ๕ ดวง ที่ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ว่า๑๔-
               บรรดาอภิสังขารเหล่านั้น ปุญญาภิสังขารคืออะไร คือ กุศลเจตนาเป็นกามาวจร รูปาวจร สำเร็จด้วยทาน สำเร็จด้วยศีล สำเร็จด้วยภาวนา.
____________________________
๑๔- อภิ. วิ. เล่ม ๓๕/ข้อ ๒๕๗

               บรรดาเจตนาเหล่านั้น เฉพาะเจตนา ๘ ดวง สำเร็จด้วยทาน สำเร็จด้วยศีล. ทั้ง ๑๓ ดวง สำเร็จด้วยภาวนา. อุปมาเหมือนบุคคลสาธยายธรรมที่ตนคล่อง แม้จะว่าไป ๑ หรือ ๒ หัวข้อแล้วก็ไม่รู้ ภายหลังระลึกขึ้นมาจึงรู้ฉันใด ท่านผู้ทำกสิณบริกรรม พิจารณาฌานที่ตนคล่องอยู่ภาวนาก็ย่อมเป็นญาณวิปยุต (ไม่ประกอบด้วยความรู้) ได้บ้างฉันนั้นเหมือนกันฯ ด้วยเหตุนั้น จึงกล่าวว่าทั้ง ๑๓ ดวง สำเร็จด้วยภาวนา.
               บรรดาปุญญาภิสังขารที่สำเร็จด้วยทานเป็นต้นนั้น ความตั้งใจจำนง จงใจที่ปรารภทานเกิดขึ้น มีทานเป็นหลัก นี้ท่านเรียกว่าปุญญาภิสังขารที่สำเร็จด้วยทาน. ความตั้งใจจำนง จงใจที่ปรารภศีล ... ปรารภภาวนาเกิดขึ้น มีภาวนาเป็นหลัก นี้ท่านเรียกว่าปุญญาภิสังขารที่สำเร็จด้วยภาวนา. ดังกล่าวมานี้ เป็นสังเขปเทศนา.
               เจตนาที่เป็นไปในกาลทั้ง ๓ ของผู้ถวายสิ่งของนั้นๆ ในจำพวกปัจจัย ๔ มีจีวรเป็นต้น อารมณ์ ๖ มีรูปารมณ์เป็นต้น หรือทานวัตถุ ๑๐ อย่างมีข้าวเป็นต้น คือในกาลเบื้องต้นตั้งแต่ยังสิ่งของเหล่านั้นให้เกิดขึ้น ๑ ในกาลขณะกำลังบริจาค ๑ ในกาลที่หวนระลึกในภายหลังด้วยจิตโสมนัส ๑ ดังนี้ ชื่อว่าทานมัยเจตนา (เจตนาที่สำเร็จด้วยทาน).
               ส่วนเจตนาที่เป็นไปแล้ว ของท่านผู้ไปวัดด้วยตั้งใจว่าจักบวชบำเพ็ญศีล ของผู้กำลังบวช ของผู้ยังมโนรถให้ถึงที่สุดแล้ว หวนระลึกว่า เราบวชแล้วหนอ สำเร็จประโยชน์ด้วยของผู้สำรวมพระปาฏิโมกข์ ของผู้พิจารณาปัจจัยทั้งหลายมีจีวรเป็นต้น ของผู้สำรวมทวารมีจักษุทวารเป็นต้นในอารมณ์มีรูปเป็นต้นที่มาถึงเข้า และของผู้ชำระอาชีวะให้หมดจด (ดังนี้) ชื่อว่าสีลมัยเจตนา (เจตนาที่สำเร็จด้วยศีล).
               เจตนาที่เป็นไปแล้วของท่านผู้อบรมจักษุ โดยความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาด้วยวิปัสสนา. มรรคที่กล่าวไว้ในปฏิสัมภิทา ของท่านผู้อบรมใจ ฯลฯ ของท่านผู้อบรมจักษุวิญญาณ มโนวิญญาณ จักษุสัมผัส มโนสัมผัส เวทนาที่เกิดแต่จักษุสัมผัส เวทนาที่เกิดแต่มโนสัมผัส ในรูปารมณ์ ในธรรมารมณ์, ของท่านผู้อบรมรูปสัญญา ฯลฯ ชรามรณะ โดยความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ชื่อว่าภาวนามัยเจตนา (เจตนาที่สำเร็จด้วยภาวนา),
               ดังกล่าวมานี้ เป็นวิตถารกถา.
               อภิสังขารนั้นด้วย มิใช่บุญ (เป็นบาป) ด้วยดังนั้น จึงชื่อว่าอปุญญาภิสังขาร (อภิสังขารอันเป็นบาป).
               คำว่า อปุญญาภิสังขาร นี้เป็นชื่อของเจตนาที่สัมปยุตด้วยอกุศลจิต.
               สมดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า บรรดาอภิสังขารเหล่านั้น อปุญญาภิสังขารคืออะไร? คืออกุศลเจตนาที่เป็นกามาวจร นี้เรียกว่าอปุญญาภิสังขาร.
               ชื่อว่าอาเนญชาภิสังขาร เพราะปรุงขึ้นอย่างยิ่ง ซึ่งอรูปนั่นเองที่เป็นวิบาก ไม่หวั่นไหว ไม่สั่นคลอน สงบ.
               คำว่า อาเนญชาภิสังขาร นี้เป็นชื่อของกุศลเจตนาอันเป็นอรูปาวจร ๔ ดวง.
               สมดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า๑๕- บรรดาอภิสังขารเหล่านั้น อาเนญชาภิสังขารคืออะไร? คือกุศลเจตนาอันเป็นอรูปาวจร นี้เรียกว่าอาเนญชาภิสังขาร.
____________________________
๑๕- อภิ. วิ. เล่ม ๓๕/ข้อ ๒๕๗

               พึงทราบวินิจฉัยในปุคคลัตติกะต่อไป.
               บุรุษบุคคล ๗ ชนิด ย่อมศึกษาไตรสิกขา ดังนั้น จึงชื่อว่าเสกขะ (ผู้ยังต้องศึกษา). พระขีณาสพไม่ต้องศึกษาอีก เพราะศึกษาไตรสิกขาจบแล้ว ดังนั้น จึงชื่อว่าอเสกขะ (ผู้ไม่ต้องศึกษา). ปุถุชน ชื่อว่าเสกขะก็ไม่ใช่ อเสกขะก็ไม่ใช่ เพราะอยู่ภายนอกจากสิกขาทั้งหลาย.
               พึงทราบวินิจฉัยในเถรัตติกะต่อไป.
               ท่านเป็นผู้ใหญ่โดยชาติ ชื่อว่า คิหิชาติเถระ.
               ท่านผู้ประกอบด้วยธรรมอย่างเดียว หรือหลายอย่าง ในบรรดาธรรมทั้งหลายที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้อย่างนี้ว่า๑๖-
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมที่ทำให้เป็นเถระ ๔ ประการเหล่านี้ คือ พระเถระในพระศาสนานี้ เป็นผู้มีศีล เป็นพหูสูต ได้ฌาน ๔ เพราะสิ้นอาสวะทั้งหลาย ฯลฯ เข้าถึงพร้อมอยู่.
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมที่ทำให้เป็นเถระ ๔ ประการเหล่านี้แล ดังนี้ชื่อว่าธรรมเถระ.
____________________________
๑๖- องฺ. จตุกฺก. เล่ม ๒๑/ข้อ ๒๒

               ท่านผู้มีชื่อว่าเถระอย่างนี้ คือภิกษุรูปใดรูปหนึ่งที่ชื่อว่าพระเถระก็ดี คนทั้งหลายเห็นนักบวชเช่นสามเณรเป็นต้นที่บวชเวลามีอายุมากแล้วเรียกขานว่า พระเถระ พระเถระก็ดี นี้ชื่อว่าสมมติเถระ.
               พึงทราบวินิจฉัยในบุญกิริยาวัตถุต่อไป.
               ทานนั่นเอง ชื่อว่าทานมัย. การทำบุญนั้นด้วยวัตถุ (คือที่ตั้ง) แห่งบุญญานิสงส์เหล่านั้นด้วย ดังนั้น จึงชื่อบุญญกิริยาวัตถุ (ที่ตั้งแห่งการทำบุญ). แม้ในบุญญกิริยาวัตถุข้ออื่นๆ ก็มีนัยเช่นเดียวกันนี้.
               แต่โดยความหมาย พึงทราบบุญญกิริยาวัตถุ ๓ อย่างเหล่านี้ พร้อมทั้งบุรพภาคเจตนา (ความตั้งใจก่อนแต่จะทำ) และอปรภาคเจตนา (ความตั้งใจภายหลังจากทำแล้ว) ด้วยอำนาจแห่งเจตนาที่สำเร็จด้วยทานเป็นต้น ซึ่งได้กล่าวไว้แล้วข้างต้น.
               และในเรื่องนี้ บุคคลทำกรรมอย่างหนึ่งๆ ด้วยกาย นับตั้งแต่บุรพภาคเจตนา ก็จัดเป็นกายกรรม. เมื่อเปล่งวาจาอันมีความหมายอย่างนั้น จัดเป็นวจีกรรม. เมื่อไม่ได้ยังองค์แห่งกายและองค์แห่งวาจาให้ไหว คิดด้วยใจ (อย่างเดียว) ก็จัดเป็นมโนกรรม.
               อีกนัยหนึ่ง สำหรับผู้ให้ทานวัตถุมีข้าวเป็นต้น (ในเวลาที่กล่าวว่า) ข้าพเจ้าให้อันนทาน (ให้ข้าว) เป็นต้นก็ดี ในเวลาที่ระลึกถึงทานบารมีแล้วให้ก็ดี จัดเป็นบุญญกิริยาวัตถุสำเร็จด้วยทาน. ตั้งอยู่ในวัตรและศีลแล้วให้ จัดเป็นบุญญกิริยาวัตถุสำเร็จด้วยศีล. เริ่มตั้งความพิจารณาโดยความสิ้นไปเสื่อมไปแล้วให้ จัดเป็นบุญญกิริยาวัตถุสำเร็จด้วยภาวนา.
               บุญกิริยาวัตถุอย่างอื่นมีอีก ๗ อย่าง คือ บุญญกิริยาวัตถุอันประกอบด้วยความเคารพยำเกรง ประกอบด้วยการขวนขวาย (ช่วยทำกิจของผู้อื่น) การให้ส่วนบุญ การอนุโมทนาส่วนบุญ อันสำเร็จด้วยการแสดงธรรม อันสำเร็จด้วยการฟังธรรม บุญกิริยาวัตถุคือการทำความเห็นให้ตรงดังนี้.
               บรรดาบุญญกิริยาวัตถุทั้ง ๗ นั้น ความเคารพยำเกรง พึงทราบโดยอาการ เช่นเห็นพระผู้เฒ่าแล้ว ลุกรับ รับบาตรจีวร กราบไหว้ หลีกทางให้เป็นต้น. การขวนขวาย พึงทราบด้วยการทำวัตร ปฏิบัติแก่พระภิกษุผู้แก่กว่าตน ด้วยการที่เห็นภิกษุเข้าบ้านเพื่อบิณฑบาต แล้วถือบาตรไปชักชวน รวบรวมภิกษาในบ้าน และด้วยการได้ฟังว่า ไปเอาบาตรของพวกภิกษุมา ดังนี้แล้วเร่งรีบไปนำบาตรมา เป็นต้น. การให้ส่วนบุญพึงทราบ ด้วยการที่ถวายปัจจัย ๔ แล้ว (ตั้งจิตอุทิศ) ให้เป็นไปว่าส่วนบุญจงมีแก่สรรพสัตว์. การอนุโมทนาส่วนบุญ พึงทราบด้วยการอนุโมทนาส่วนบุญที่ผู้อื่นให้ว่า สาธุ ถูกดีนักแล้ว.
               ภิกษุรูปหนึ่งตั้งอยู่ในความปรารถนาว่า คนทั้งหลายจักรู้จักเราว่าเป็นธรรมกถึกด้วยอุบายอย่างนี้. เป็นผู้หนักในลาภแสดงธรรม ข้อนั้นไม่มีผลมาก. ภิกษุรูปหนึ่งแสดงธรรมที่ตนคล่องแก่ชนอื่นๆ โดยไม่ได้หวังผลตอบแทน นี้ชื่อว่าบุญกิริยาวัตถุสำเร็จด้วยการแสดงธรรม.
               บุคคลผู้หนึ่ง เมื่อจะฟังธรรมก็ฟังด้วยความมุ่งหมายว่า คนทั้งหลายจักได้รู้จักเราว่ามีศรัทธาด้วยอาการอย่างนี้ ข้อนั้นไม่มีผลมาก. บุคคลผู้หนึ่งฟังธรรมด้วยจิตที่อ่อนโยนแผ่ประโยชน์ว่าจักมีผลมากแก่เราด้วยอาการอย่างนี้ นี้ชื่อว่าบุญกิริยาวัตถุสำเร็จด้วยการฟังธรรม.
               ส่วนการทำความเห็นให้ตรงเป็นลักษณะกำหนดสำหรับบุญญกิริยาวัตถุทุกอย่าง.
               ที่จริง คนทำบุญอย่างใดๆ ก็ตาม มีผลมากได้ ก็ด้วยความเห็นตรงนั่นเอง.
               บุญญกิริยาวัตถุ ๗ อย่างเหล่านี้ พึงทราบว่ารวมเข้าได้กับบุญญกิริยาวัตถุ ๓ อย่างข้างต้นนั่นเองด้วยประการดังนี้. ในที่นี้ ความเคารพยำเกรงและการขวนขวาย (ช่วยทำกิจของผู้อื่น) รวมลงได้ในสีลมัยบุญญกิริยาวัตถุ. การให้ส่วนบุญและการอนุโมทนาส่วนบุญ รวมลงได้ในทานมัยบุญญกิริยาวัตถุ, การแสดงธรรมและการฟังธรรม รวมลงได้ในภาวนามัยบุญญกิริยาวัตถุ, การทำความเห็นให้ตรง รวมลงได้ทั้ง ๓ อย่าง.
               คำว่า โจทนาวตฺถิ หมายถึงเหตุที่จะโจท (กล่าวหา) กัน.
               คำว่า ทิฏฺเฐน หมายความว่า เห็นความผิดด้วยตาเนื้อก็ตาม ด้วยตาทิพย์ก็ตาม แล้วโจทขึ้น. คำว่า สุเตน หมายความว่า ได้ยินเสียง (เล่าอ้าง) ของผู้อื่นด้วยหูธรรมดาก็ตาม ด้วยหูทิพย์ก็ตาม แล้วโจทขึ้น. คำว่า ปริสงฺกาย หมายความว่า โจทขึ้นด้วยความสงสัยเพราะได้เห็นมาก็ตาม ด้วยความสงสัยเพราะได้ยินมาก็ตาม ด้วยความสงสัยเพราะได้ทราบมาก็ตาม.
               นี้เป็นความสังเขปในเรื่องนี้. ส่วนรายละเอียดพึงทราบตามนัยที่ได้กล่าวไว้แล้วในสมันตปาสาทิกานั่นแล.
               บทว่า ผู้เข้าถึงกาม หมายความว่า ผู้เข้าไปเสพกาม หรือได้เฉพาะกาม.
               บทว่า ผู้มีกามปรากฏแล้ว ได้แก่ ผู้มีกามผูกมัดไว้ คือผู้มีอารมณ์ผูกมัด.
               คำว่า เปรียบเหมือนมนุษย์ คือ เหมือนพวกมนุษย์. เพราะว่า พวกมนุษย์ย่อมยังอำนาจให้เป็นไปในวัตถุที่ผูกพันเท่านั้น มีจิตปฏิพัทธ์ในมาตุคามคนใดก็ให้เงินร้อยหนึ่งบ้าง สองร้อยบ้าง แล้วนำมาตุคามนั้นมาบริโภคโภคะที่ผูกพัน. เทพยดาผู้อยู่ในเทวโลก ๔ เหล่า ชื่อว่าเทพยดาบางพวก. แม้เทพยดาเหล่านั้นก็ยังอำนาจให้เป็นไปในวัตถุที่ผูกพันนั่นแหละ. เทพยดาที่เหลือ เว้นพวกสัตว์นรก ชื่อว่าพวกวินิบาต. เพราะแม้ปลาและเต่าเป็นต้นก็ยังอำนาจให้เป็นไปในวัตถุที่ผูกพันนั้นแหละ.
               อธิบายว่า ปลาก็ยังอำนาจให้เป็นไปกับนางปลา เต่าก็ยังอำนาจให้เป็นไปกับนางเต่า.
               สองบทว่า เนรมิตแล้วๆ ความว่า เนรมิตรูปนั้นๆ ที่ปรารถนาสำหรับตน โดยเป็นรูปสีเขียวและรูปสีเหลืองเป็นต้น เหมือนเทวดาเหล่ามนาปกายิกาเนรมิตรูปไว้ข้างหน้าท่านพระอนุรุทธะฉะนั้น.
               บทว่า นิมฺมานรตี ความว่า ชื่อว่าเทวดาเหล่านิมมานรดี เพราะอรรถว่าเทวดาเหล่านั้นยินดีในของเนรมิตที่ตนเนรมิตแล้วๆ อย่างนั้น.
               บทว่า ปรนิมฺมิตกามา แปลว่า ผู้มีกามที่ผู้อื่นเนรมิตให้. เพราะว่าเทวดาพวกอื่นรู้ใจของเทวดาเหล่านั้น แล้วก็เนรมิตกามโภคะตามที่ชอบใจให้ เทวดาเหล่านั้นย่อมยังอำนาจให้เป็นไปในกามโภคะนั้นนั่นแหละ.
               ถามว่า ผู้อื่นรู้ใจของคนอื่นได้อย่างไร.
               ตอบว่า รู้ได้ด้วยอำนาจการเสพใช้ตามปรกติ.
               อุปมาเหมือนพ่อครัวผู้ฉลาด เมื่อพระราชาเสวยอยู่ย่อมรู้ได้ว่า พระราชาพระองค์นั้นทรงรับสิ่งใดๆ มาก พระองค์ย่อมโปรดสิ่งนั้นๆ. ผู้อื่นรู้อารมณ์ที่เขาชอบใจมากตามปรกติด้วยอาการอย่างนี้แล้ว จึงเนรมิตอารมณ์เช่นนั้นนั่นแลให้ พวกเขาย่อมยังอำนาจให้เป็นไปในสิ่งที่เขาเนรมิตให้นั้น คือเสพเมถุน.
               ส่วนพระเถระบางท่านกล่าวว่า กามกิจย่อมสำเร็จแก่พวกเขาด้วยอาการสักว่าหัวเราะ สักว่ามองดูและสักว่าการสวมกอด. คำของพระเถระบางท่านนั้นถูกคัดค้านไว้ในอรรถกถาว่าคำที่กล่าวนั้นไม่มี. กามกิจที่จะพึงถูกต้องจะสำเร็จแก่ผู้ไม่ถูกต้องด้วยกาย หามิได้. เพราะว่า กามทั้งหลายของเหล่าเทพชั้นฉกามาวจรเป็นไปตามปรกติเหมือนกัน.
               สมจริงดังที่ตรัสไว้ว่า๑๗-
                         เทพเหล่ากามาวจรหกชั้นเหล่านั้น พรั่งพร้อมด้วย
                         กามทั้งปวง อายุของเทพเหล่านั้น เมื่อนับรวมกัน
                         จะเป็นเท่าไร.

____________________________
๑๗- อภิ. วิ. เล่ม ๓๕/ข้อ ๑๑๐๖

               บทว่า สุขูปปตฺติโย แปลว่า ผู้ได้เฉพาะสุข.
               คำว่า อุปฺปาเทตฺวา อุปฺปาเทตฺวา สุขํ วิหรนฺติ ความว่า ยังความสุขในปฐมฌานให้เกิดขึ้นในขั้นต่ำ แล้วเสวยความสุขในฌานอันเป็นตัววิบากในชั้นสูง.
               สองบทว่า สุเขน อภิสนนา แปลว่า ชุ่มฉ่ำด้วยสุข ในทุติยฌาน.
               บทว่า ปริสนฺนา แปลว่า ชุ่มฉ่ำโดยทั่วถึง.
               บทว่า ปริปูรา แปลว่า บริบูรณ์.
               บทว่า ปริปฺผุฏา เป็นไวพจน์ของคำว่า ปริปูรา นั้นนั่นแหละ.
               แม้คำนี้ที่ว่า สุขหนอ สุขหนอ ก็ทรงตรัสหมายเอาความสุขอันเป็นตัววิบากนั้นนั่นเอง.
               ได้ยินว่า เทพเหล่านั้นเกิดความโลภในภพมากชั้น เพราะฉะนั้น จึงเปล่งอุทานอย่างนั้นในที่บางแห่ง ในบางเวลา.
               บทว่า สนฺตเมว แปลว่า ประณีตแท้.
               บทว่า สนฺตุสิตา หมายความว่า เป็นผู้สันโดษ เพราะไม่ต้องการสุขยิ่งขึ้นไปกว่านั้น.
               สองบทว่า สุขํ ปฏิเวเทนฺติ แปลว่า เสวยสุขในตติยฌาน.
               ปัญญาของพระอริยเจ้า ๗ พวก ชื่อว่าเสกขปัญญา ปัญญาของพระอรหันต์เป็นอเสกขปัญญา ปัญญาที่เหลือเป็นเนวเสกขานาเสกขปัญญา (เป็นเสกขปัญญาก็ไม่ใช่ เป็นอเสกขปัญญาก็ไม่ใช่).
               ในปัญญาที่สำเร็จด้วยความคิดเป็นต้น มีความพิสดารดังต่อไปนี้
               ที่ว่าบรรดาปัญญาเหล่านั้น ปัญญาที่สำเร็จด้วยความคิดเป็นไฉน
               ในบ่อเกิดของการงานที่น้อมนำเข้าไปด้วยปัญญา หรือในบ่อเกิดของศิลปะที่น้อมนำไปด้วยปัญญา หรือในสถานที่ของวิชาที่น้อมนำเข้าไปด้วยปัญญา บุคคลไม่ได้ฟังมาแต่ผู้อื่น กลับได้กัมมัสกตาญาณ หรือสัจจานุโลมิกญาณ หรืออนุโลมิกขันติ ทิฐิ รุจิ มุนี เปกขะ ธัมมนิชฌานขันติ เห็นปานนี้ อันใดว่ารูปไม่เที่ยง ฯลฯ วิญญาณไม่เที่ยง นี้เรียกว่าจินตามยปัญญา.
               ในปัญญา ๓ ประการนั้น ปัญญาที่สำเร็จด้วยการฟังเป็นไฉน
               ในบ่อเกิดของการงานที่น้อมนำเข้าไปด้วยปัญญา ได้ฟังจากผู้อื่นเท่านั้น จึงกลับได้ ฯลฯ ธัมมนิชฌานขันติ นี้เรียกว่าสุตมยปัญญา.
               ในปัญญา ๓ ประการนั้น ปัญญาที่สำเร็จด้วยการเจริญภาวนาเป็นไฉน
               ปัญญาแม้ทั้งหมดของผู้เข้าสมาบัติ ชื่อว่าภาวนามยปัญญา.๑๘-
____________________________
๑๘- อภิ. วิ. เล่ม ๓๕/ข้อ ๘๐๔

               บทว่า สุตาวุธํ ได้แก่ อาวุธคือสุตะ.
               อาวุธคือสุตะนั้น โดยใจความได้แก่ พระพุทธพจน์ คือพระไตรปิฎก. เพราะว่า ภิกษุอาศัยอาวุธนั้น คืออาศัยอาวุธ ๕ ประการ ย่อมเป็นผู้ไม่ครั่นคร้าม ข้ามล่วงสังสารกันดารได้ เหมือนทหารกล้าไม่ครั่นคร้ามข้ามล่วงมหากันดารได้ฉะนั้น.
               เพราะเหตุนั้นแหละ สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า๑๙-
               ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้มีสุตะเป็นอาวุธ ย่อมละอกุศล ทำกุศลให้เจริญ ละสิ่งที่มีโทษ ทำสิ่งที่ไม่มีโทษให้เจริญ บริหารตนให้บริสุทธิ์อยู่ดังนี้.
____________________________
๑๙- องฺ. สตฺตก. เล่ม ๒๓/ข้อ ๖๔

               บทว่า ปวิเวกาวุธํ ความว่า อาวุธคือวิเวก แม้สามประการนี้คือ กายวิเวก จิตตวิเวก อุปธิวิเวก. วิเวก ๓ ประการนั้นมีการกระทำต่างๆ กัน. กายวิเวกสำหรับบุคคลผู้มีกายหลีกออกไป ยินดีในเนกขัมมะ. จิตตวิเวกสำหรับบุคคลผู้มีจิตบริสุทธิ์ บรรลุถึงความผ่องแผ้วอย่างยอด และอุปธิวิเวกสำหรับบุคคลผู้ไม่มีอุปธิ ถึงซึ่งวิสังขาร (คือพระนิพพาน). ก็บุคคลผู้ยินดียิ่งแล้วในวิเวก ๓ อย่างนี้ ย่อมไม่กลัวแต่ที่ไหนๆ เพราะฉะนั้น วิเวกแม้นี้ก็เรียกว่าอาวุธ เพราะอรรถว่าเป็นที่พึ่งอาศัย.
               อาวุธคือปัญญา อันเป็นโลกิยะและโลกุตตระ จัดเป็นอาวุธคือปัญญา. เพราะว่า บุคคลผู้มีอาวุธคือปัญญานั้น ย่อมไม่กลัวแต่ที่ไหนๆ ทั้งใครๆ ก็ไม่กลัวบุคคลนั้น เพราะฉะนั้น ปัญญาแม้นั้นก็เรียกว่าอาวุธ เพราะอรรถว่าเป็นที่พึ่งอาศัย.
               บทว่า อนญฺญตญฺญสฺสามีตินฺทฺริยํ ความว่า อินทรีย์ที่เกิดขึ้นแก่ผู้ปฏิบัติด้วยหวังว่า เรารู้จักธรรมที่ยังไม่รู้ ยังไม่แจ้งในกาลก่อนแต่นี้.
               คำว่า อนญฺญตญฺญตสฺสามีตินฺทฺริยํ นี้ เป็นชื่อของโสดาปัตติมรรคญาณ.
               บทว่า อญฺญินฺทฺริยํ ได้แก่ อินทรีย์อันเป็นความรู้ทั่วถึง คือเป็นความรู้.
               คำว่า อญฺญินฺทฺริยํ นี้เป็นชื่อของญาณในฐานะ ๖ ประการ เริ่มแต่โสดาปัตติผลไป.
               บทว่า อญฺญาตาวินฺทฺริยํ นี้ได้แก่ อินทรีย์ในธรรมทั้งหลายที่เป็นของท่านผู้รู้ทั่วถึง คืออันถึงที่สุดกิจของการรู้.
               คำว่า อญฺญาตาวินฺทฺริยํ นี้เป็นชื่อของอรหัตตผลญาณ.
               มังสจักขุ ได้แก่จักขุประสาท. ทิพยจักขุ ได้แก่ญาณอาศัยแสงสว่าง. ปัญญาจักขุ ได้แก่ปัญญาอันเป็นโลกิยะและโลกุตตระ.
               พึงทราบวินิจฉัยในอธิสีลสิกขาเป็นต้นต่อไป.
               ศีลอันยิ่งนั้นด้วย ชื่อว่าสิกขา เพราะจะต้องศึกษาด้วย เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าอธิสีลสิกขา. แม้ในสิกขาทั้ง ๒ นอกนั้นก็มีนัยนี้เหมือนกัน. ในอธิสีลสิกขาเป็นต้นนั้น ศีลคือศีลอันยิ่ง จิตคือจิตอันยิ่ง ปัญญาก็คือปัญญาอันยิ่ง เพราะเหตุนั้น พึงทราบความต่างกันเพียงเท่านี้.
               ศีล ๕ และศีล ๑๐ ชื่อว่าศีล. ความสำรวมในพระปาฏิโมกข์ ชื่อว่าศีลอันยิ่ง. สมาบัติ ๘ จัดเป็นจิต (สมาธิ). ฌานอันเป็นบาทของวิปัสสนาจัดเป็นจิตอันยิ่ง. กัมมัสสกตาญาณจัดเป็นปัญญา. วิปัสสนาจัดเป็นปัญญาอันยิ่ง. เพราะว่า ศีล ๕ และศีล ๑๐ ย่อมมีในพุทธุปบาทกาลแม้ยังไม่เกิดขึ้น เพราะเหตุนั้น ศีล ๕ ศีล ๑๐ จึงคงเป็นศีลนั้นแหละ. ปาติโมกขสังวรศีลย่อมมีเฉพาะในพุทธุปบาทกาลเท่านั้น เพราะเหตุนั้น ปาติโมกขสังวรจึงจัดเป็นศีลอันยิ่ง. แม้ในจิตและปัญญาก็นัยนี้เหมือนกัน.
               อีกอย่างหนึ่ง ศีล ๕ ก็ดี ศีล ๑๐ ก็ดี ที่บุคคลปรารถนาพระนิพพานสมาทานแล้ว จัดเป็นศีลอันยิ่งเหมือนกัน แม้สมาบัติ ๘ ที่บุคคลเข้าแล้ว ก็จัดเป็นจิตอันยิ่งเหมือนกัน. หรือว่าโลกิยศีลทั้งหมดเป็นศีลเท่านั้น. (ส่วน) โลกุตตรศีลเป็นศีลอันยิ่ง. แม้ในจิตและปัญญาก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
               พึงทราบวินิจฉัยในภาวนาต่อไป.
               กายอันเป็นไปในทวาร ๕ ของพระขีณาสพ ชื่อว่ากายภาวนา. สมาบัติ ๘ ชื่อว่าจิตตภาวนา. ปัญญาในอรหัตตผล ชื่อว่าปัญญาภาวนา. ก็พระขีณาสพย่อมเป็นผู้อบรมกายอันเป็นไปในทวาร ๕ มาดีแล้วโดยส่วนเดียว. สมาบัติ ๘ ของท่านก็ไม่ทุรพลเหมือนของคนอื่น และปัญญาของท่านเท่านั้น ชื่อว่าอบรมแล้ว เพราะถึงความไพบูลย์ด้วยปัญญา. เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าวอย่างนี้.
               พึงทราบวินิจฉัยในอนุตตริยะต่อไป.
               วิปัสสนาจัดเป็นทัสสนานุตตริยะ มรรคจัดเป็นปฏิปทานุตตริยะ ผลจัดเป็นวิมุตตานุตตริยะ. หรือว่า ผลเป็นทัสสนานุตตริยะ มรรคเป็นปฏิปทานุตตริยะ นิพพานเป็นวิมุตตานุตตริยะ. หรือว่า นิพพานจัดเป็นทัสสนานุตตริยะ เพราะว่า ธรรมดาสิ่งที่จะพึงเห็นที่ยิ่งไปกว่าพระนิพพานนั้น ย่อมไม่มี มรรคจัดเป็นปฏิปทานุตตริยะ ผลจัดเป็นวิมุตตานุตตริยะ.
               คำว่า อนุตฺตริยํ แปลว่า สูงสุด คือเจริญที่สุด.
               พึงทราบวินิจฉัยในสมาธิต่อไป.
               สมาธิในปฐมฌาน มีทั้งวิตกและวิจาร. โดยปัญจกนัย สมาธิในทุติยฌานไม่มีวิตก มีแต่วิจาร. สมาธิที่เหลือ (จากสมาธิในทุติยฌาน) ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร.
               กถาในสุญญตะเป็นต้น มี ๓ อย่างคือ โดยความสำเร็จ โดยคุณของตน โดยอารมณ์.
               ภิกษุรูปหนึ่ง ยึดถือโดยความเป็นอนัตตา เห็นโดยความเป็นอนัตตา ย่อมออกไป (คือหลุดพ้น) โดยความเป็นอนัตตา ชื่อว่า (สุญญตะ) โดยความสำเร็จ. วิปัสสนาของท่าน ชื่อว่าเป็นสุญญตะ.
               เพราะเหตุไร.
               เพราะกิเลสตัวกระทำไม่ให้เป็นสุญญตะไม่มี. มรรคสมาธิชื่อว่าเป็นสุญญตะ เพราะสำเร็จด้วยวิปัสสนา ผลสมาธิชื่อว่าเป็นสุญญตะ เพราะสำเร็จด้วยมรรค.
               รูปอื่นอีก ยึดถือโดยความเป็นของไม่เที่ยง เห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยง แล้วออกไปโดยความเป็นของไม่เที่ยง. วิปัสสนาของท่าน ชื่อว่าเป็นอนิมิตตะ.
               เพราะเหตุไร.
               เพราะไม่มีกิเลสที่กระทำนิมิต. มรรคสมาธิชื่อว่าเป็นอนิมิตตะ เพราะสำเร็จโดยวิปัสสนา. ผลชื่อว่าอนิมิตตะ เพราะสำเร็จโดยมรรค.
               รูปอื่นอีก ยึดมั่นโดยความเป็นทุกข์ เห็นโดยความเป็นทุกข์ แล้วออกไป (หลุดพ้น) โดยความเป็นทุกข์. วิปัสสนาของท่าน ชื่อว่าเป็นอัปปณิหิตะหาที่ตั้งมิได้.
               เพราะเหตุไร.
               เพราะไม่มีกิเลสตัวที่กระทำปณิธิที่ปรารถนา. มรรคสมาธิชื่อว่าเป็นอัปปณิหิตะ เพราะสำเร็จโดยวิปัสสนา. ผลชื่อว่าเป็นอัปปณิหิตะ เพราะสำเร็จโดยมรรค.
               กถาโดยความสำเร็จมีเท่าที่พรรณนามานี้แล.
               ก็มรรคสมาธิ ชื่อว่าสุญญตะ เพราะว่างเปล่าจากราคะเป็นต้น ชื่อว่าอนิมิตตะ เพราะไม่มีราคะเป็นนิมิตเป็นต้น. ชื่อว่าอัปปณิหิตะ เพราะไม่มีราคะเป็นที่ตั้งอาศัยเป็นต้น.
               กถาโดยคุณของตนมีเท่าที่พรรณนามานี้แล.
               พระนิพพาน ชื่อว่าสุญญตะ อนิมิตตะและอัปปณิหิตะ เพราะว่างเปล่าจากราคะเป็นต้น และเพราะไม่มีราคะเป็นต้นเป็นเครื่องหมายและเป็นที่ตั้งอาศัย. มรรคสมาธิซึ่งมีนิพพานนั้นเป็นอารมณ์ จึงเป็นสุญญตะ อนิมิตตะ อัปปณิหิตะ.
               กถาว่าโดยอารมณ์มีเพียงเท่านี้.
               ธรรมอันทำความสะอาด คือปฏิปทาแห่งความสะอาด ชื่อว่า โสเจยฺยานิ. ก็ในข้อที่ว่าด้วยความสะอาดนี้ พึงทราบความพิสดารด้วยอำนาจสุจริต ๓ ซึ่งตรัสไว้โดยนัยมีอาทิดังนี้ว่า ในความสะอาด ๓ อย่างนั้น ความสะอาดทางกายเป็นไฉน คือ เจตนาเครื่องงดเว้นจากปาณาติบาต.
               ธรรมอันทำความเป็นมุนี ได้แก่ โมเนยฺยปฏิปทา ชื่อว่า โมเนยฺยานิ.
               ความพิสดารแห่งธรรมอันทำความเป็นมุนีเหล่านั้น ดังนี้ว่า
               ในความเป็นมุนีเหล่านั้น ความเป็นมุนีทางกายเป็นไฉน คือการละกายทุจริต ๓ อย่าง เป็นกายโมเนยยะ กายสุจริต ๓ อย่าง เป็นกายโมเนยยะ ญาณมีกายเป็นอารมณ์ เป็นกายโมเนยยะ มรรคอันสหรคตด้วยการกำหนดรู้กายเป็นกายโมเนยยะ การละฉันทราคะในกาย เป็นกายโมเนยยะ การเข้าจตุตถฌานอันดับเสียซึ่งกายสังขาร เป็นกายโมเนยยะ.
               ในความเป็นมุนีเหล่านั้น ความเป็นมุนีทางวาจาเป็นไฉน การละวจีทุจริต ๔ เป็นวจีโมเนยยะ. วจีสุจริต ๔ ญาณมีวาจาเป็นอารมณ์ มรรคอันสหรคตด้วยการกำหนดรู้วาจา การละฉันทราคะในวาจา การเข้าทุติยฌานอันดับเสียซึ่งวจีสังขาร เป็นวจีโมเนยยะ.
               ในความเป็นมุนีเหล่านั้น ความเป็นมุนีทางใจเป็นไฉน การละมโนทุจริต ๓ เป็นมโนโมเนยยะ. มโนสุจริต ๓ ญาณมีใจเป็นอารมณ์ มรรคอันสหรคตด้วยการกำหนดรู้ใจ การละฉันทราคะในใจ การเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติอันดับเสียซึ่งจิตตสังขาร เป็นมโนโมเนยยะ.
               พึงทราบวินิจฉัยในความเป็นผู้ฉลาดต่อไป.
               ความเจริญ ชื่อว่าอายะ. ความไม่เจริญ ชื่อว่าอปายะ. เหตุแห่งความเจริญและไม่เจริญนั้นๆ เป็นอุบาย. ความรู้ทั่วถึงความเจริญ ความไม่เจริญ และเหตุแห่งความเจริญและไม่เจริญเหล่านั้น เป็นความฉลาด.
               ก็ความพิสดารตรัสไว้ในวิภังค์นั่นแล.
               สมจริงดังที่ตรัสไว้ว่า๒๐-
               ในความฉลาดเหล่านั้น ความฉลาดในความเจริญเป็นไฉน
               ปัญญา ความรู้ทั่ว ฯลฯ ความเห็นชอบในความเจริญนั้นอันใดว่า เมื่อเรามนสิการถึงธรรมเหล่านี้ อกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดย่อมไม่เกิดขึ้น และอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมดับไป ก็หรือว่า เมื่อเรามนสิการถึงธรรมเหล่านี้ กุศลธรรมที่ยังไม่เกิดย่อมเกิดขึ้น และกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความภิญโญภาพ เพื่อความไพบูลย์ เพื่อความเจริญ เพื่อความบริบูรณ์ นี้เรียกว่าความเป็นผู้ฉลาดในความเจริญ
               ในความฉลาดเหล่านั้น ความฉลาดในความไม่เจริญเป็นไฉน
               ปัญญา ความรอบรู้ ฯลฯ ความเห็นชอบในความไม่เจริญนั้น อันใดว่า เมื่อเรามนสิการถึงธรรมเหล่านี้ กุศลธรรมที่ยังไม่เกิดย่อมไม่เกิด และกุศลที่เกิดแล้ว ย่อมดับไป ก็หรือว่า เมื่อเรามนสิการถึงธรรมเหล่านี้ อกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดย่อมเกิดขึ้น และอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความภิญโญภาพ เพื่อความไพบูลย์ เพื่อความเจริญ เพื่อความบริบูรณ์ นี้เรียกว่า ความเป็นผู้ฉลาดในความไม่เจริญ.
               ปัญญาอันเป็นอุบายในความเจริญและความไม่เจริญนั้น แม้ทั้งหมดเป็นความฉลาดในอุบาย ดังนี้.
               ก็ความฉลาดในอุบายนี้ พึงทราบด้วยอำนาจการรู้เหตุแห่งฐานะที่เกิดขึ้น เพื่อแก้ไขกิจรีบด่วนหรือภัยนั้น ในตอนที่กิจรีบด่วนหรือภัยเกิดขึ้น.๒๐-
____________________________
๒๐- อภิ. วิ. เล่ม ๓๕/ข้อ ๘๐๗

               บทว่า มทา แปลว่า เป็นไปด้วยอำนาจแห่งอาการมัวเมา.
               ในบรรดาความมัวเมาเหล่านั้น การกระทำมานะอย่างนี้ว่า เราเป็นคนไม่มีโรคตั้ง ๖๐ หรือ ๗๐ ปีล่วงไปแล้ว แม้แต่ชิ้นสมอเรายังไม่เคยขบเคี้ยว ส่วนคนอื่นเหล่านี้เที่ยวพูดว่า ที่โน้นยอกขัด พวกเราจะเคี้ยวกินยา ใครอื่นชื่อว่าเป็นคนไม่มีโรคเหมือนเราดังนี้ ชื่อว่าความเมาในความเป็นผู้ไม่มีโรค. การที่ยังอยู่ในความเป็นหนุ่มสาว แล้วทำมานะว่า พวกเราจักทำบุญในตอนแก่ ตอนนี้ยังเป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่ก่อน ดังนี้ ชื่อว่าเมาในความเป็นหนุ่มสาว. การกระทำมานะอย่างนี้ว่า เราเป็นอยู่มานานแล้ว ยังเป็นอยู่นาน จักเป็นอยู่อีกนาน เราอยู่เป็นสุขมาแล้ว กำลังเป็นอยู่อย่างเป็นสุข จักเป็นอยู่อย่างเป็นสุข (ต่อไป) ดังนี้ ชื่อว่าเมาในชีวิต.
               พึงทราบวินิจฉัยในความเป็นใหญ่ต่อไป
               คุณชาติอันมาแล้วจากความเป็นใหญ่ ชื่อว่าอาธิปเตยยะ. การทำตนให้เป็นใหญ่คือให้เป็นหัวหน้าอย่างนี้ว่า เราเป็นคนเท่านี้โดยศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ ข้อนั้นไม่ควรแก่เรา ดังนี้แล้วไม่กระทำความชั่ว ชื่อว่าอัตตาธิปไตย. การทำชาวโลกให้เป็นใหญ่แล้วไม่ทำความชั่ว ชื่อว่าโลกาธิปไตย. การทำโลกุตตรธรรมให้เป็นใหญ่แล้วไม่ทำความชั่ว ชื่อว่าธรรมาธิปไตย.
               เหตุของการกล่าวถ้อยคำ ชื่อว่า กถาวัตถุ.
               สองบทว่า อตีตํ วา อทฺธานํ แปลว่า คติธรรมที่ล่วงไปแล้ว. อธิบายว่า ขันธ์ที่เป็นอดีต.
               อีกอย่างหนึ่ง พึงแสดงเนื้อความในคำว่า อตีตํ วา อทฺธานํ นี้ โดยนิรุตติปถสูตร (สูตรที่ว่าด้วยหลักภาษา) ซึ่งมีที่มาอย่างนี้ว่า ภิกษุทั้งหลายรูปใดล่วงไปแล้ว ดับไปแล้ว แปรปรวนไปแล้ว การนับรูปนั้นว่าได้มีแล้ว การบัญญัติรูปนั้นว่าได้มีแล้ว การให้ชื่อรูปนั้นว่าได้มีแล้ว รูปนั้นไม่นับว่าจักมี รูปนั้นไม่นับว่ามีอยู่.๒๑-
____________________________
๒๑- สํ. ข. เล่ม ๑๗/ข้อ ๑๓๔

               บทว่า วิชฺชา ความว่า ชื่อว่าวิชชา เพราะอรรถว่าแทงทะลุความมืด. ชื่อว่าวิชชา เพราะอรรถว่าทำให้รู้แจ้งก็ได้. ก็บุพเพนิวาสานุสสติญาณซึ่งเกิดขึ้นอยู่ ชื่อว่าวิชชา เพราะอรรถว่าทำลายความมืดซึ่งตั้งปกปิดขันธ์ที่เคยอยู่อาศัยในกาลก่อน และกระทำขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อน ให้รู้แจ้ง. จุตูปปาตญาณ ชื่อว่าวิชชา เพราะอรรถว่าทำลายความมืดที่ปกปิดจุติ และกระทำจุติและปฏิสนธินั้นให้รู้แจ้ง. ญาณ ความรู้ในความสิ้นอาสวะทั้งหลาย ชื่อว่าวิชชา เพราะอรรถว่าทำลายความมืดที่ปกปิดสัจจะ ๔ และกระทำสัจจะธรรมทั้ง ๔ ให้รู้แจ้ง.
               พึงทราบวินิจฉัยในวิหารธรรมต่อไป.
               สมาบัติ ๘ ชื่อว่าทิพยวิหารธรรม. อัปปมัญญา ๔ ชื่อว่าพรหมวิหารธรรม. ผลสมาบัติ ชื่อว่าอริยวิหารธรรม.
               ปาฏิหาริย์ทั้งหลายทรงให้พิสดารแล้วในเกวัฏฏสูตร.
               ในคำว่า อิเม โข อาวุโส ดังนี้เป็นต้น พึงประกอบโดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
               พระเถระเมื่อกล่าวปัญหา ๑๘๐ ข้อด้วยอำนาจติกะ ๖๐ ถ้วน จึงได้แสดงสามัคคีรสไว้ด้วยประการฉะนี้แล.
               จบธรรมหมวด ๓               

.. อรรถกถา ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค สังคีติสูตร
อ่านอรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘]
อ่านอรรถกถา 11 / 1อ่านอรรถกถา 11 / 207อรรถกถา เล่มที่ 11 ข้อ 221อ่านอรรถกถา 11 / 364อ่านอรรถกถา 11 / 364
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=11&A=4501&Z=7015
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=6&A=4096
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=6&A=4096
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๖  กรกฎาคม  พ.ศ.  ๒๕๔๙
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :