บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
ในพระสูตรนั้น คำว่า อุทญฺญายํ๑- นี้เป็นชื่อของทั้งรัฐ ทั้งพระนครนั้นว่า อุทัญ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอาศัยอุทัญญานครประทับอยู่. ____________________________ ๑- ฉ. อุรุญฺญายํ สี. อุชุญฺญายํ. บทว่า กณฺณกตฺถเล มิคทาเย ความว่า ในที่ไม่ไกลพระนครนั้นมีภูมิภาคที่น่ารื่นรมย์แห่งหนึ่ง ชื่อว่า กรรณกัตถละ. ภูมิภาคนั้น เขาเรียกกันว่ามิคทายวัน เพราะทรงพระราชทานไว้เพื่อให้อภัยแก่เนื้อทั้งหลาย. ณ ที่กรรณกัตถลมิคทายวันนั้น. บทว่า เกนจิเทว กรณีเยน ความว่า ไม่ใช่กิจอย่างอื่น เป็นกรณียกิจอย่างที่ได้กล่าวไว้ในสูตรก่อนนั่นแหละ. พระภคินีทั้งสองนี้ คือพระภคินีพระนามว่าโสมาและพระภคินีพระนามว่าสกุลา ทรงเป็นประชาบดีของพระราชา. บทว่า ภตฺตาภิหาเร ได้แก่ ในที่เสวยพระกระยาหาร. ก็ที่เสวยพระกระยาหารของพระราชา นางในทุกๆ คนจะต้องถือทัพพีเป็นต้นไปถวายงานพระราชา. พระนางทั้งสองนั้นได้ไปแล้วโดยทำนองนั้น. บทว่า กึ ปน มหาราชา เป็นคำถามว่า เพราะเหตุไร จึงตรัสอย่างนั้น. ตอบว่า เพื่อจะเปลื้องคำครหาพระราชาเสีย. เพราะพวกบริษัทจะพึงคิดกันอย่างนี้ว่า พระราชานี้เมื่อจะเสด็จมาก็ยังนำข่าวของมาตุคามมาทูลด้วย พวกเราสำคัญว่า มาเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยธรรมดาของตน แต่พระเจ้าอยู่หัวเอาข่าวของมาตุคามมาเห็นจะเป็นทาสของมาตุคามกระมัง แม้คราวก่อนพระองค์ก็เสด็จมาด้วยเหตุนี้เหมือนกัน ดังนี้. อนึ่ง พระราชานั้นถูกถามแล้วจักทูลถึงเหตุที่มาของตน คำครหาอันนี้จักไม่เกิดขึ้นแก่พระองค์ด้วยอาการอย่างนี้ เพราะฉะนั้น เพื่อจะทรงปลดเปลื้องคำครหาจึงตรัสอย่างนั้น. บทว่า อพฺภุทาหาสิ แปลว่า กล่าวแล้ว. คำว่า ไม่มีสมณะหรือพราหมณ์ที่จะรู้ธรรมทั้งปวงและที่จะเห็นธรรมทั้งปวงในคราวเดียวกัน ความว่า ผู้ใดจักรู้หรือจักเห็นธรรมทั้งปวงที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบันด้วยอาวัชชนะดวงเดียว ด้วยจิตดวงเดียว ด้วยชวนะดวงเดียวผู้นั้น ย่อมไม่มี. จริงอยู่ ใครๆ แม้นึกแล้วว่า เราจักรู้เรื่องทุกอย่างที่เป็นอดีต ด้วยจิตดวงเดียว ก็ไม่อาจจะรู้อดีตได้ทั้งหมด จะรู้ได้แต่เพียงวันเดียวเท่านั้น. ส่วนที่เป็นอนาคตและปัจจุบัน ก็จะไม่รู้ทุก ในบทนอกนี้ ก็นัยนี้. ตรัสปัญหานี้ด้วยจิตดวงเดียวอย่างนี้แล. บทว่า เหตุรูปํ ได้แก่ สภาวะแห่งเหตุ อันเกิดแต่เหตุ. บทว่า สเหตุรูปํ ได้แก่ อันเป็นชาติแห่งผลที่มีเหตุ. บทว่า สมฺปรายิกาหํ ภนฺเต ความว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ขอทูลถามถึงคุณอันจะมีในเบื้องหน้า. บทว่า ปญฺจีมานิ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสองค์เป็นที่ตั้งแห่งความเพียร ๕ ให้เจือด้วยโลกุตตระในพระสูตรนี้. แต่พระจูฬสมุทเถระผู้อยู่ ณ กวลังคณะ เมื่อเขาถามว่า พระคุณเจ้า ท่านชอบอะไร ดังนี้ ตอบว่า เราชอบใจโลกุตตระอย่างเดียว. บทว่า ปธานเวมตฺตตํ ได้แก่ ความต่างกันแห่งความเพียร. จริงอยู่ ความเพียรของปุถุชนก็เป็นอย่างอื่นของพระโสดาบันก็เป็นอย่างหนึ่ง ของพระสกทาคามีก็เป็นอย่างหนึ่ง ของพระอนาคามีก็เป็นอย่างหนึ่ง ของพระอรหันต์ก็เป็นอย่างหนึ่ง ของพระอสีติมหาสาวกก็เป็นอย่างหนึ่ง ของพระอัครสาวกทั้งสองก็เป็นอย่างหนึ่ง ของพระ บทว่า ทนฺตการณํ คจฺเฉยฺยํ ความว่า ในบรรดาการฝึกทั้งหลายมีฝึกมิให้โกง ไม่ให้ทิ่มแทง ไม่ให้ทอดทิ้งธุระ เหตุอันใดย่อมปรากฏ พึงเข้าถึงเหตุอันนั้น. บทว่า ทนฺตภูมี ได้แก่ สู่ภูมิสัตว์ที่ฝึกแล้วพึงไป. แม้บุคคล ๔ จำพวก คือ ปุถุชน พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี ชื่อว่าผู้ไม่มีศรัทธา ในบททั้งหลายว่า อสฺสทฺโธ เป็นต้น. จริงอยู่ ปุถุชนชื่อว่าไม่มีศรัทธา เพราะยังไม่ถึงศรัทธาของพระโสดาบัน. พระโสดาบัน... ของพระสกทา ส่วนในอัสสขฬุงคสูตรตรัสไว้ว่า ชื่อว่าสัมโพธิ แม้แห่งพระอริยสาวกมาแล้วในพระดำรัสนี้ว่า ตโย จ ภิกฺขเว อสฺสขฬุงฺเค ตโย จ ปริสขฬุงฺเค เทสิสฺสามิ๑- ด้วยอำนาจแห่งปุถุชนเป็นต้นนั้น จึงตรัสว่า เจือด้วยโลกุตตระ. ____________________________ ๑- องฺ. ติก. เล่ม ๒๐/ข้อ ๔๘๐ ฝ่ายปุถุชนยังไม่ถึงพร้อมซึ่งความเพียรในโสดาปัตติมรรค ฯลฯ พระอนาคามี ยังไม่ถึงพร้อมซึ่งความเพียรในพระอรหัตตมรรค. แม้เป็นผู้เกียจคร้านก็มี ๔ เหมือนกัน ดุจผู้ไม่มีศรัทธา. ท่านผู้มีปัญญาทรามก็เหมือนกัน. อนึ่ง พึงทราบการเทียบเคียงด้วยข้ออุปมาในฝ่ายดำ ด้วยคำว่า อทนฺตหตฺถิอาทโยวิย (เหมือนช้างที่ยังมิได้ฝึกเป็นต้น) และในฝ่ายขาวด้วยคำว่า ยถา ปน ทนฺตหตฺถิอาทโย (เหมือนอย่างช้างที่ฝึกแล้วเป็นต้น) ดังนี้เป็นต้น. ก็บุคคลที่เว้นจากมรรคปธาน เปรียบเหมือนช้างเป็นต้นที่ยังมิได้ฝึก ผู้มีมรรคปธาน เปรียบเหมือนช้างเป็นต้นที่ฝึกแล้ว. ช้างเป็นต้นที่ยังมิได้ฝึกก็ไม่อาจเพื่อจะไม่กระทำอาการโกง หนี สลัดธุระไปยังการฝึกแล้ว หรือถึงที่ที่เขาฝึกแล้วได้ฉันใด ท่านผู้เว้นจากมรรคปธานก็ฉันนั้นเหมือนกันย่อมไม่อาจเพื่อบรรลุคุณที่ท่านผู้มีมรรคปธานพึงถึง หรือพึงยังคุณที่ผู้มีมรรค อนึ่ง ช้างเป็นต้นที่ฝึกแล้ว ก็ไม่กระทำอาการโกง ไม่ทิ่มแทง ไม่สลัดธุระ ย่อมอาจไปยังที่ที่สัตว์ฝึกแล้วพึงไป หรือพึงถึงภูมิที่สัตว์ฝึกแล้วพึงถึงฉันใด ผู้มีมรรคปธานก็ฉันนั้นเหมือนกัน ก็อาจบรรลุคุณที่ผู้มีมรรคปธานพึงบรรลุ อาจยังคุณที่ผู้มีมรรคปธานพึงให้เกิดให้บังเกิดขึ้นได้. ท่านกล่าวอธิบายไว้ดังนี้ว่า ผู้มีโสดาปัตติมรรคปธาน ย่อมอาจบรรลุโอกาสที่ผู้มีโสดาปัตติมรรคปธานบรรลุ เพื่อจะยังคุณที่ผู้มีโสดาปัตติมรรคปธานพึงให้บังเกิด บังเกิดขึ้นได้ ฯลฯ ผู้มีอรหัตตมรรคปธานย่อมอาจเพื่อบรรลุโอกาสที่ผู้มีอรหัตต บทว่า สมฺมปฺปธานา ได้แก่ ความเพียรชอบ คือการกระทำต่อเนื่องด้วยมรรคปธาน. ข้อว่า อาตมภาพย่อมไม่กล่าวการกระทำต่างกันอย่างไร คือ วิมุตติกับวิมุตติ ความว่า การกระทำต่างๆ กันปรารภผลวิมุตติของคนนอกนี้ กับผลวิมุตติของคนหนึ่ง ที่ควรจะกล่าวอันใด เราย่อมไม่กล่าวถึงการ คำว่า อจฺฉิยา วา อจฺฉึ ความว่า หรือเปลวไฟกับเปลวไฟ. แม้ใน ๒ บทที่เหลือก็นัยนี้เหมือนกัน. ก็บทว่า อจฺฉึ นี้ เป็นทุติยาวิภัตติ ใช้ในอรรถแห่งสัตตมีวิภัตติ. บทว่า กึ ปน ตฺวํ มหาราช ความว่า ดูก่อนมหาราช พระองค์ไม่ทรงทราบหรือว่า เทวดามีอยู่อย่างนี้คือ มีเทวดาชั้นจาตุมหาราช มีเทวดาชั้นดาวดึงส์ ฯลฯ มีเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตดี มีเทวดาชั้นสูงๆ ขึ้นไปอีก พระองค์ตรัสอย่างนี้ เพราะเหตุใด. แต่นั้น พระราชาเมื่อจะตรัสถามคำนี้ว่า ข้าพระองค์รู้ว่ามี แต่เทวดาทั้งหลายมาสู่ บทว่า สพฺยาปชฺฌา ได้แก่ มีทุกข์ คือยังละทุกข์ทางใจไม่ได้ โดยละได้เด็ดขาด. บทว่า อาคนฺตาโร ความว่า ผู้มาโดยอำนาจอุปบัติ. บทว่า อพฺยาปชฺฌา ได้แก่ ตัดความทุกข์ได้เด็ดขาด. บทว่า อนาคนฺตาโร ได้แก่ ผู้ไม่มาด้วยสามารถแห่งอุปบัติ. บทว่า ปโหติ แปลว่า ย่อมอาจ. จริงอยู่ พระราชาย่อมอาจกระทำผู้ที่ถึงพร้อมด้วยลาภแลสักการะแม้มีบุญโดยที่ไม่มีใครจะเข้าไปใกล้ได้ ให้เคลื่อนจากฐานะนั้น. ย่อมอาจกระทำแม้ผู้ไม่มีบุญนั้น ผู้ไม่ได้สิ่งสักว่าเที่ยวไปสู่บ้านทั้งสิ้นเพื่อปิณฑะ แล้วยังอัตตภาพให้เป็นไปได้ โดยประการที่จะเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยลาภและสักการะ ให้เคลื่อนจากฐานะนั้น. ย่อมอาจเพื่อประกอบแม้ผู้มีพรหมจรรย์กับหญิงให้ถึงศีลพินาศ ให้สึกโดยพลการหรือให้เคลื่อนจากฐานะนั้น. ไม่ให้อำมาตย์ผู้เพียบพร้อมด้วยกามคุณ แม้มิได้ประพฤติพรหมจรรย์ให้เข้าไปสู่เรือนจำ ไม่ให้เห็นแม้หน้าของหญิงทั้งหลาย ชื่อว่าย่อมให้เคลื่อนจากฐานะนั้น. แต่เมื่อให้เคลื่อนจากรัฐ ชื่อว่าขับไล่ไปตามต้องการ. บทว่า ทสฺสนายปิ นปฺปโหนฺติ ความว่า เทพผู้มีทุกข์ ย่อมไม่อาจแม้เพื่อจะเห็นด้วยจักษุวิญญาณ ซึ่งเทพผู้ไม่มีทุกข์ชั้นกามาวจรก่อน. ถามว่า เพราะเหตุไร. ตอบว่า เพราะไม่มีฐานะในภพนั้นโดยสมควร. แต่ย่อมอาจเพื่อจะเห็นด้วยจักษุวิญญาณ ซึ่งเทพชั้นรูปาวจรว่า ย่อมยืนอยู่ด้วย ย่อมนั่งอยู่ด้วยในวิมานเดียวกันนั่นเทียว. แต่ไม่อาจเพื่อจะเห็น เพื่อจะกำหนด เพื่อจะแทงตลอดลักษณะที่เทพเหล่านี้เห็นแล้ว กำหนดแล้ว แทงตลอดแล้ว. ย่อมไม่อาจเพื่อจะเห็นด้วยญาณจักษุ (ด้วยประการฉะนี้). ทั้งไม่อาจเพื่อจะเห็นเทพที่สูงๆ ขึ้นไป แม้ด้วยการเห็นด้วยจักษุวิญญาณแล. บทว่า โก นาโม อยํ ภนฺเต ความว่า พระราชาแม้ทรงรู้จักพระเถระ ก็ตรัสถามเหมือนไม่รู้จัก. ถามว่า เพราะเหตุไร. ตอบว่า เพราะเป็นผู้ใคร่เพื่อทรงสรรเสริญ. บทว่า อานนฺทรูโป ได้แก่ มีสภาวะน่ายินดี. แม้การตรัสถามถึงพรหม ก็พึงทราบโดยนัยที่กล่าวแล้วนั่นเทียว. บทว่า อถโข อญฺญตโร ปุริโส ความว่า ได้ยินว่า ถ้อยคำนั้น วิฑูฑภะนั่นเองตรัสแล้ว. ชนเหล่านั้นโกรธแล้วว่า ท่านกล่าวแล้ว ท่านกล่าวแล้ว จึงให้หมู่พลของตนๆ ลุกขึ้นกระทำแม้การทะเลาะซึ่งกันและกัน ในที่นั้นนั่นเทียว. ราชบุรุษนั้นได้กล่าวคำนั้นเพื่อจะห้ามเสียด้วยประการฉะนี้. คำที่เหลือในที่ทั้งปวง ตื้นทั้งนั้น. อนึ่ง เทศนานี้จบลงแล้วด้วยสามารถแห่งไนยบุคคล ดังนี้แล. จบอรรถกถากรรณกัตถลสูตรที่ ๑๐ จบราชวรรคที่ ๔ ----------------------------------------------------- รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ ๑. ฆฏิการสูตร ๒. รัฐปาลสูตร ๓. มฆเทวสูตร ๔. มธุรสูตร ๕. โพธิราชกุมารสูตร ๖. อังคุลิมาลสูตร ๗. ปิยชาติกสูตร ๘. พาหิติยสูตร ๙. ธรรมเจติยสูตร ๑๐. กรรณกัตถลสูตร .. อรรถกถา มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ ราชวรรค กรรณกัตถลสูตร ว่าด้วยเหตุการณ์ที่ตำบลกรรณกัตถลมิคทายวัน จบ. |