![]() |
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
![]() |
![]() | |
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ประวัติภูเขาอิสิคิลิ บทว่า อญฺญาว สมญฺญา อโหสิ ความว่า (ก่อน) ที่ภูเขาอิสิคิลิจะได้ชื่อว่า อิสิคิลิ (นั้น) ได้มีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า เวภาระ. บทว่า อญฺญา ปญฺญตฺติ นี้เป็นไวพจน์ของบทแรกเท่านั้น. แม้ในบทที่เหลือก็มีนัยนี้เหมือนกัน. ได้ยินว่า คราวครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงออกจากนิโรธสมาบัติ ในเวลาเย็นแล้วเสด็จออกจากพระคันธกุฎี มีหมู่ภิกษุแวดล้อมประทับนั่ง ณ ที่ที่เมื่อคนทั้งหลายนั่งแล้วเห็นภูเขา ๕ ลูกปรากฏชัด แล้วตรัสบอกภูเขา ๕ ลูกเหล่านี้โดยลำดับ. ในการตรัสบอกนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้มีความต้องการด้วยเรื่องภูเขา. แต่เมื่อตรัสบอกภูเขาเหล่านี้โดยลำดับๆ ก็ย่อมเป็นอันจะต้องตรัสบอกภาวะที่ภูเขาอิสิคิลิเป็นภูเขา (มีชื่อว่า) อิสิคิลิ (ด้วย) เมื่อตรัสบอกเรื่องภูเขาอิสิคิลินั้น ก็จักต้องตรัสบอกชื่อของพระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ องค์ผู้เป็นบุตรของนางปทุมวดี และความปรารถนาของนางปทุมวดี เพราะเหตุดังกล่าวนี้ พระ บทว่า วิสนฺตา ทิสฺสนฺติ ปวิฏฺฐา น ทิสฺสนฺติ ความว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายเสด็จเที่ยวบิณฑบาตในสถานที่ตามสะดวก กระทำภัตกิจแล้ว เข้าไปข้างใน บทว่า อิเม อิสี ได้แก่ พระปัจเจกพุทธฤาษีเหล่านี้. ก็พระปัจเจกพุทธฤาษีเหล่านั้นได้อยู่ในภูเขานั้นตั้งแต่เมื่อไร? ได้ยินว่า ในอดีตกาล เมื่อพระตถาคตยังไม่อุบัติขึ้น กุลธิดาผู้หนึ่งในหมู่บ้านแห่งหนึ่งชานเมืองพาราณสี เฝ้านาอยู่ ได้ถวายดอกบัวดอกหนึ่งกับข้าวตอก ๕๐๐ ดอกแก่พระ นางดำรงตลอดกาลกำหนดชั่วอายุแล้วไปเกิดในเทวโลก จุติจากเทวโลก พระนางทรงครรภ์. มหาปทุมกุมารอยู่ในพระครรภ์พระมารดา ส่วนกุมารนอกนั้นอาศัยครรภ์มลทินอุบัติขึ้น. กุมารเหล่านั้นเจริญวัย ได้เล่นในสระบัวในอุทยาน นั่งที่ดอกบัวคนละดอก เริ่มตั้งความสิ้นและความเสื่อม ทำปัจเจกโพธิญาณให้เกิดขึ้น. คาถาพยากรณ์ของท่านได้มีดังนี้ว่า ดอกบัวในกอบัวเกิดขึ้นในสระบานแล้ว ถูกหมู่แมลงภู่เคล้าคลึง ก็เข้าถึงความ ร่วงโรย บุคคลรู้แจ้งข้อนี้แล้ว พึงเป็นผู้ เดียว เที่ยวไปเหมือนนอแรด พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านั้นได้อยู่ในภูเขานั้นมาแต่กาลครั้งนั้น. และแต่ครั้งนั้นมา ภูเขานั้นจึงได้เกิดชื่อว่า อิสิคิลิ. พระนามของพระปัจเจกพุทธเจ้า บัดนี้ เมื่อจะตรัสบอกชื่อของพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นกับชื่อของพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์อื่น ด้วยการผูกเป็นคาถา จึงตรัสคำเป็นต้นว่า เย สตฺตสารา ดังนี้. ในพระนามเหล่านั้น พระนามว่า สตฺตสารา แปลว่า เป็นหลักของสัตว์ทั้งหลาย. พระนามว่า อนีฆา แปลว่า ไม่มีทุกข์. พระนามว่า นิราสา แปลว่า ไม่มีความอยาก. พระนามว่า เทฺว ชาลิโน ความว่า พระนามว่า ชาลีมี ๒ องค์ คือ จุลลชาลี มหาชาลี. แม้คำว่า สันตจิตตะ ก็เป็นพระนามของพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง. ข้อว่า ปสฺสี ชหิ อุปธึ ทุกขมูลํ นี้เป็นคำสรรเสริญพระ แม้คำว่า อปราชิตะ ก็เป็นชื่อของพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งเหมือนกัน. ท่านทั้ง ๕ เหล่านี้ คือ พระสัตถา พระปวัตตา พระสรภังคะ พระโลมหังสะ พระอุจจังคมายะ. ท่านทั้ง ๓ แม้เหล่านี้ คือ พระอสิตะ พระอนาสวะ พระอโนมยะ. บทว่า พนฺธุมา ความว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่าพันธุมา เรียกกันว่าพระมานัจฉิทะ เพราะท่านตัดมานะได้เด็ดขาด. แม้บทว่า ตทาธิมุตตะ ก็เป็นพระนามพระปัจเจกพุทธเจ้าเหมือนกัน. ท่านทั้ง ๓ เหล่านี้ คือ พระเกตุมภราคะ พระมาตังคะ พระอริยะ. บทว่า อถจฺจุโต แยกบทออกเป็น อถ อจฺจุโต (แปลว่า อนึ่ง พระอัจจุตะ). ท่านทั้งสองเหล่านี้ คือ พระอัจจุตะ พระอัจจุตคามพยามกะ. ทั้งสองท่านเหล่านี้ คือ พระเขมาภิรตะ พระโสรตะ. บทว่า สยฺโห อโนมนิกฺกโม ความว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้นชื่อสัยหะ แต่เขาเรียกกันว่า อโนมนิกกมะ เพราะมีความเพียรไม่ต่ำต้อย. บทว่า อานนฺทนนฺโท อุปนนฺโท ทฺวาทส ความว่า พระปัจเจกพุทธเจ้า ๑๒ องค์อย่างนี้ คือ พระอานันทะ ๔ องค์ พระนันทะ ๔ องค์ พระอุปนันทะ ๔ องค์ บทว่า ภารทฺวาโช อนฺติเทหธารี เป็นคำสรรเสริญว่า พระ บทว่า ตณฺหจฺฉิโท ได้แก่ นี้เป็นคำสรรเสริญพระปสีทรี. แม้บทว่า วีตราโค ก็เป็นคำสรรเสริญพระมังคละ. บทว่า อุสภจฺฉิทา ชาลินึ ทุกฺขมูลํ ความว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้นชื่ออุสภะ ได้ตัดตัณหาเพียงดังข่ายอันเป็นรากเหง้าแห่งทุกข์ได้แล้ว. บทว่า สนฺตํ ปทํ อชฺฌคมูปนีโต ความว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้นชื่ออุปนียะ ได้บรรลุสันตบทแล้ว. แม้บทว่า วีตราคะ ก็เป็นพระนามของพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งเหมือนกัน. บทว่า สุวิมุตฺตจิตฺโต ได้แก่ นี้เป็นคำสรรเสริญพระกัณหะ. บทว่า เอเต จ อญฺเญ จ ความว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านี้ ทั้งที่มาในพระบาลีและไม่ได้มาในพระบาลี กับพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่าอื่น พระปัจเจกพุทธเจ้า ก็บรรดาพระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ เหล่านี้ พระปัจเจกพุทธเจ้า ๒ องค์ก็ดี ๓ องค์ก็ดี ๑๐ องค์ก็ดี ๑๒ องค์ก็ดีได้มีพระนามอย่างเดียวกัน เหมือนพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายมีพระอานันทะ ด้วยประการดังกล่าวมานี้ ย่อมเป็นอันระบุพระนามของพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายโดยพระนามอันมาในพระบาลีเท่านั้น เพราะเหตุนั้นต่อแต่นี้ไป ไม่ตรัสแยกเป็นรายองค์ ตรัส (รวม) ว่า เหล่านี้และเหล่าอื่นดังนี้. คำที่เหลือในที่ทุกแห่งง่ายทั้งนั้นแล. จบอรรถกถาอิสิคิลิสูตรที่ ๖ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ อนุปทวรรค อิสิคิลิสูตร จบ. |