![]() |
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
![]() |
![]() | |
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ๑. อรรถกถาอนาถปิณฑิโกวาทสูตร ในบทเหล่านั้น คำว่า ป่วยหนัก คือ ป่วยเหลือขนาดเข้าถึงการนอนรอความตาย. คำว่า เรียกหาแล้ว คือ เล่ากันมาว่า ตราบใดที่เท้าของคฤหบดี ยังพาไปได้ ตราบนั้น คฤหบดีก็ได้ทำการบำรุงพระพุทธเจ้า วันละครั้งสองครั้งหรือสามครั้งไม่ขาด และท่านบำรุงพระศาสดาเท่าใด ก็บำรุงพวกพระมหาเถระเท่านั้นเหมือนกัน วันนี้ ท่านเข้าถึงการนอนชนิดที่ไม่มีการลุกขึ้นอีก เพราะเท้าเดินไม่ได้แล้ว อยากส่งข่าวไปจึงเรียกหาชายคนใดคนหนึ่งมา. คำว่า เข้าไปแล้วโดยส่วนแห่งทิศนั้น คือครั้นทูลอำลาพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ก็เข้าไปหาในเวลาพระอาทิตย์ตก. คำว่า ค่อยยังชั่ว คือ ทุเลาเบาลง. คำว่า หนักขึ้น คือ เจริญยิ่งได้แก่เพียบลง คือเป็นเวทนาที่กล้าแข็ง. คำว่า มีแต่ความหนักขึ้นเป็นที่สุดปรากฏ ไม่มีความทุเลาลง คือ ก็ในสมัยที่เกิดเวทนาชนิดที่มีความตายเป็นที่สุดขึ้นมานั้น ย่อมเป็นเหมือนกระพือลมบนไฟที่ลุกโพลง ตลอดเวลาที่ไออุ่นยังไม่ดับ ต่อให้ใช้ความเพียรใหญ่ขนาดไหน ก็ไม่อาจทำให้เวทนานั้นระงับไปได้ แต่จะระงับไปได้ก็ต่อเมื่อไออุ่นดับไปแล้ว. ทีนั้น ท่านพระสารีบุตรคิดว่า เวทนาของมหาเศรษฐีเป็นเวทนาชนิดมีความตายเป็นที่สุด ไม่มีใครสามารถห้ามได้ ถ้อยคำที่เหลือใช้ประโยชน์ไม่ได้ เราจักกล่าวธรรมกถาแก่มหาเศรษฐีนั้น. และแล้วเมื่อกล่าวธรรมกถานั้นกะคฤหบดีนั้น จึงกล่าวขึ้นต้นว่า เพราะเหตุนั้นในกรณีนี้. ในคำเหล่านั้น คำว่า เพราะฉะนั้น คือ เพราะขึ้นชื่อว่าผู้ที่ถือเอาจักษุด้วยการถือเอาทั้งสามอย่างอยู่ สามารถป้องกันเวทนาที่มีความตายเป็นที่สุดที่บังเกิดขึ้นแล้วไม่มี. คำว่า จักไม่ยึดมั่นจักษุ คือ จักไม่ถือเอาจักษุด้วยการถือเอาทั้งสามอย่าง. คำว่า และความรู้แจ้งที่อาศัยจักษุของเราก็ไม่มี คือ และความรู้แจ้งที่อาศัยจักษุของเราก็จักไม่มี. รูปในอายตนะ ท่านได้แสดงในหนหลังว่า รูป ก็ไม่มีแล้ว. ในที่นี้เมื่อจะแสดงแม้รูปในกามภพทั้งหมด ท่านจึงกล่าวอย่างนี้. คำว่า โลกนี้ ก็ไม่มี หมายความว่า ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่อาศัย หรืออาหารการกินตลอดถึงเครื่องนุ่งห่ม กระผมไม่ยึดติดทั้งนั้น. ก็แหละคำนี้ ท่านแสดงเพื่อการไม่มีความสะดุ้งในปัจจัยทั้งหลาย. ส่วนในคำว่า โลกหน้า ก็ไม่มี หมายความว่า ยกโลกมนุษย์ออกแล้ว ที่เหลือ ชื่อว่าโลกหน้าหรือโลกอื่น คำนี้ ท่าน คำว่า แช่ลง คือ ท่านได้เห็นสมบัติของตนแล้ว ย่อมเกิด ย่อมแช่แฉะในอารมณ์ทั้งหลาย. เมื่อท่านพระอานนท์ว่าดังที่กล่าวมานี้แล้ว ก็สำคัญอยู่ว่า ขนาดคฤหบดี คำว่า ธรรมกถาทำนองนี้ กระผมยังไม่เคยได้ฟังเลย คือ อุบาสกนี้กล่าวว่า ธรรมกถาทำนองนี้ แม้จากสำนักพระศาสดา กระผมก็ยังไม่เคยได้ฟังเลย. ถามว่า พระศาสดาไม่ทรงแสดงถ้อยคำที่ละเอียดลึกซึ้งแบบนี้หรือ. ตอบว่า ไม่ทรงแสดงก็หาไม่. แต่ทว่าถ้อยคำที่ทรงแสดงถึงอายตนะภายใน ๖ อายตนะภายนอก ๖ พวกวิญญาณ ๖ พวกผัสสะ ๖ พวกเวทนา ๖ ธาตุ ๖ ขันธ์ ๕ อรูป ๔ โลกนี้และโลกหน้า แล้วตรัสใส่ไว้ในความเป็นพระอรหันต์ด้วยอำนาจรูปที่ตาได้เห็นแล้วเสียงที่หูได้ยินแล้ว กลิ่นรสโผฏฐัพพะที่จมูกลิ้นกายได้ทราบแล้วและธรรมารมณ์ที่ใจได้รู้แจ้งแล้ว ท่านคฤหบดีนี้ยังไม่เคยฟัง. เพราะฉะนั้น จึงกล่าวอย่างนั้น. อีกอย่างหนึ่ง อุบาสกนี้ยินดียิ่งในทาน เมื่อจะไปสำนักพระพุทธเจ้าจึงไม่เคยไปมือเปล่า เมื่อจะไปก่อนฉันก็ให้คนเอาข้าวต้มและของขบเคี้ยวเป็นต้นแล้วจึงไป เมื่อจะไปหลังฉันแล้ว ก็ให้เอาเนยใส น้ำผึ้งและน้ำอ้อยเป็นต้นแล้วจึงไป เมื่อไม่มีสิ่งนั้น ก็ให้แบกหามทรายเอาไปเกลี่ยลงในบริเวณพระคันธกุฎี ครั้นให้ทาน รักษา เล่ากันว่า อุบาสกนี้มีคติแบบโพธิสัตว์ ฉะนั้น ตลอดเวลา ๒๔ ปี โดยมาก พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแต่ทานกถาเท่านั้นแก่อุบาสกว่า อุบาสก ธรรมดาว่าทานนี้ เป็นทางดำเนินของเหล่าโพธิสัตว์ เป็นทางดำเนินของเราด้วย เราได้ให้ทานมาเป็นเวลาสื่อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัป ท่านก็ชื่อว่าดำเนินตามทางที่เราได้ดำเนินมาแล้วโดยแท้. ถึงพระมหาสาวกมีพระธรรมเสนาบดีเป็นต้น ในเวลาที่อุบาสกมาสู่สำนักของตนๆ ก็แสดงแต่ทานกถาแก่ท่านเหมือนกัน. เพราะเหตุนั้นแล ท่านจึงว่า คฤหบดี ธรรม มีคำที่ท่านอธิบายไว้อย่างนี้ว่า คฤหบดี สำหรับพวกคฤหัสถ์มีความพัวพันเหนียวแน่นแต่ในนาสวน เงินทอง คนใช้หญิงชาย บุตรและภรรยาเป็นต้น เอาแต่ความพอใจและความกลุ้มรุมอย่างแรง ถ้อยคำว่า อย่าทำความอาลัยใยดีในสิ่งเหล่านี้ อย่าไปทำความพออกพอใจ ดังนี้ จึงไม่ปรากฏ คือย่อมไม่ชอบใจแก่คฤหัสถ์เหล่านั้น ด้วยประการฉะนี้. คำว่า เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ความว่า ทำไมจึงเข้าไปเฝ้า. เล่ากันมาว่า พอคฤหบดีนั้นเกิดในชั้นดุสิตเท่านั้น ก็เห็นอัตภาพขนาดสามคาวุต โชติช่วงเหมือนกองทอง และสมบัติมีอุทยานและวิมานเป็นต้น จึงสำรวจดูว่า สมบัติ ในคำเหล่านั้น คำว่า ที่พวกฤษีซ่องเสพแล้ว ได้แก่ ที่หมู่ภิกษุซ่องเสพเสพแล้ว. ครั้นกล่าวชมพระเชตวันด้วยคาถาแรกอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะกล่าวชม ในคำเหล่านั้น คำว่า การงาน หมายถึงมรรคเจตนา. คำว่า ความรู้ หมายถึงมรรคปัญญา. คำว่า ธรรม หมายถึงธรรมที่เป็นฝักฝ่ายแห่งสมาธิ. ท่านแสดงว่า ชีวิตของผู้ที่ตั้งอยู่ในศีลว่าเป็นชีวิตที่สูงสุด ด้วยคำว่า ศีล ชีวิตที่สูงสุด. อีกอย่างหนึ่ง ความเห็นและความดำริ ชื่อว่าความรู้. ความพยายาม ความระลึก และความตั้งใจมั่น ชื่อว่าธรรม. การพูด การงานและการเลี้ยงชีพ ชื่อว่าศีล. ชีวิตของผู้ตั้งอยู่ในศีลนี้ เป็นชีวิตที่สูงสุด ชื่อว่าชีวิตอุดม. คำว่า หมู่สัตว์ย่อมหมดจดด้วยสิ่งนี้ คือ หมู่สัตว์ย่อมบริสุทธิ์ด้วยมรรคที่ประกอบด้วยองค์ ๘ นี้. คำว่า เพราะเหตุนั้น คือเพราะเหตุที่หมดจดด้วยมรรค มิใช่เพราะด้วยโคตรหรือทรัพย์. บาทคาถาว่า พึงเลือกเฟ้นธรรมโดยอุบายที่แยบคาย คือพึงเลือกเฟ้นธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งสมาธิอย่างแนบเนียน. บาทคาถาว่า อย่างนี้จึงจะหมดจดในธรรมนั้น คือด้วยลักษณะเช่นนี้จึงจะหมดจดในอริยมรรคนั้น. อีกอย่างหนึ่ง บาทคาถาว่า พึงเลือกเฟ้นธรรมโดยอุบายที่แยบคาย คือ พึงเลือกเฟ้นธรรมคือขันธ์ ๕ อย่างแนบเนียน. บาทคาถาว่า อย่างนี้จึงจะหมดจดในธรรมนั้น คือ อย่างนี้จึงจะหมดจดในสัจจะทั้ง ๔ ข้อนั้น. บัดนี้ อนาถปิณฑิกเทพบุตร เมื่อจะกล่าวชมพระสารีบุตรเถระ จึงได้กล่าวว่า พระสารีบุตรนั่นแหละ เป็นต้น. ในบทเหล่านั้น คำว่า พระสารีบุตรนั่นแหละ เป็นคำอวธารณะ (ห้ามข้อความอื่น) อนาถปิณ คำว่า ด้วยความสงบระงับ คือ ด้วยความเข้าไปสงบกิเลส. คำว่า ถึงฝั่ง คือ ถึงพระนิพพาน. อนาถปิณฑิกเทพบุตรย่อมกล่าวว่า ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งบรรลุพระนิพพาน ภิกษุรูปนั้นอย่างมากก็เท่านี้ ไม่มีใครที่เกินเลยพระเถระไปได้. ที่เหลือในที่ทุกแห่งตื้นทั้งนั้นแล. จบอรรถกถาอนาถปิณฑิโกวาทสูตรที่ ๑ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ สฬายตนวรรค อนาถปิณฑิโกวาทสูตร จบ. |