![]() |
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
![]() |
![]() | |
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ในคำเหล่านั้น คำว่า ฉันนะ ได้แก่ พระเถระมีชื่ออย่างนั้น ไม่ใช่เป็นพระเถระที่ออกไปด้วยกันกับพระพุทธเจ้า ตอนออกอภิเนษกรมณ์. คำว่า จากการหลีกเร้น คือ จากผลสมาบัติ. คำว่า ไต่ถามถึงความเป็นไข้ ได้แก่ การบำรุงภิกษุไข้ที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญ ทรงพรรณ คำว่า ศัสตรา ได้แก่ ศัสตราที่คร่าชีวิต. คำว่า ไม่หวัง คือ ไม่อยาก. คำว่า ไม่เข้าไปถึง คือ ไม่เกิด ไม่มีปฏิสนธิ. คำว่า นั่นของเราเป็นต้น ท่านกล่าวไว้ด้วยอำนาจความยึดถือด้วยตัณหา มานะและทิฐิ. คำว่า เห็นความดับอย่างสิ้นเชิง คือ ทราบความสิ้นและความเสื่อมไป. คำว่า ข้าพเจ้าพิจารณาเห็นว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่เรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา คือ ข้าพเจ้าพิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน. คำว่า เพราะเหตุนั้น คือ เพราะเหตุที่พระเถระกล่าวว่า เมื่อข้าพเจ้าอดกลั้นเวทนาที่มีความตายเป็นที่สุดไม่ได้ จึงได้นำเอาศัสตรามานั้น ท่านเป็นปุถุชนจึงชี้แจงว่า เพราะฉะนั้น ท่านจงใส่ใจแม้ข้อนี้. คำว่า ตลอดกาลเนืองนิตย์ คือ นิจกาล. คำว่า ที่อาศัยแล้ว คือ ตัณหาและทิฐิอิงแล้ว. คำว่า หวั่นไหว ได้แก่ เป็นของกวัดแกว่ง. คำว่า ความสงบ คือ ความสงบกายสงบจิต. อธิบายว่า ถึงความสงบกิเลส ก็ย่อมมี. คำว่า นติ ได้แก่ตัณหา. คำว่า นติยา อสติ คือ เมื่อไม่มีความกลุ้มรุมเพราะความอาลัยใยดีเพื่อประโยชน์แก่ภพ. คำว่า ไม่มีการมาและการไป คือ ชื่อว่าการมาด้วยอำนาจปฏิสนธิ ย่อมไม่มี ชื่อว่าการไปด้วยอำนาจจุติ ก็ย่อมไม่มี. คำว่า จุติและอุปบัติ คือ ชื่อว่าจุติด้วยอำนาจความเคลื่อน ชื่อว่าอุปบัติด้วยอำนาจการเกิดขึ้น. คำว่า ไม่มีในโลกนี้ ไม่มีในโลกหน้า ไม่มีโดยระหว่างโลกทั้งสอง คือ ในโลกนี้ก็ไม่มี ในโลกหน้าก็ไม่มี ในโลกทั้งสองก็ไม่มี. คำว่า นี่แลเป็นที่สุดของทุกข์ คือ นี้เท่านั้นเป็นที่สุดของวัฏทุกข์และกิเลสทุกข์ นี้เป็นกำหนดโดยรอบ เป็นทางโดยรอบ. เพราะนี้เท่านั้นเป็นความประสงค์ในข้อนี้. สำหรับท่านผู้ใดถือคำว่า ไม่มีโดยระหว่างโลกทั้งสอง แล้วต้องการระหว่างภพ ข้อคำที่ยิ่งไปสำหรับท่านเหล่านั้น ก็กล่าวในหนหลังเสร็จแล้วแล. คำว่า นำศัสตรามาแล้ว คือ เอาศัสตราสำหรับคร่าชีวิตมาแล้ว ตัดก้านคอแล้ว. ก็ขณะนั้น ความกลัวตายของท่านก็ก้าวลง คตินิมิตปรากฏขึ้น. ท่านรู้ว่าตัวยังเป็นปุถุชน เกิดสลดใจ ตั้งวิปัสสนา พิจารณาสังขาร สำเร็จเป็นพระอรหันต์ เป็นสมสีสีแล้วก็ปรินิพพาน. คำว่า ทรงพยากรณ์ความไม่เกิดต่อหน้าทีเดียว คือ ถึงแม้ว่าการพยากรณ์นี้ มีในเวลาที่พระเถระยังเป็นปุถุชนก็จริง ถึงอย่างนั้น การปรินิพพานที่ไม่มีอะไรมาแทรกแซงได้ของท่านก็ได้มีตามคำพยากรณ์นี้. เหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงถือเอาคำพยากรณ์นั้นแหละมาตรัส. คำว่า ตระกูลที่พึงเข้าไป คือ ตระกูลที่ควรเข้าไปด้วยคำว่า ตระกูลที่พึงเข้าไป นี้ พระเถระย่อมทูลถามว่า พระเจ้าข้า เมื่อยังมีพวกอุปัฏฐากและพวกอุปัฏฐายิกาอยู่อย่างนี้ ภิกษุนั้นจะปรินิพพานในพระศาสนาของพระองค์หรือ. ครั้งนั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงแสดงความที่ภิกษุนั้นไม่มีความคลุกคลีในตระกูลทั้งหลาย จึงตรัสคำว่า สารีบุตร ก็แลเหล่านี้ ย่อมมี ดังนี้เป็นต้น. เล่ากันมาว่า ในฐานะนี้ ความไม่ข้องเกี่ยวในตระกูลทั้งหลายของพระเถระได้เป็นที่ปรากฏแล้ว. คำที่เหลือในที่ทุกแห่งตื้นทั้งนั้นแล. จบอรรถกถาฉันโนวาทสูตรที่ ๒ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ สฬายตนวรรค ฉันโนวาทสูตร จบ. |