บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
บทว่า อจฺฉราคณสงฺฆุฏฺฐํ ความว่า ได้ยินว่า เทวบุตรนี้บวชในพระศาสนาของพระศาสดา บำเพ็ญวัตรปฏิบัติอยู่ ปวารณาแล้ว ในกาลแห่งตนมีพรรษา ๕ ทำมาติกาทั้งสองให้แคล่วคล่องแล้ว ศึกษาแล้วถึงสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ เรียนพระกรรมฐานอันเป็นที่พอใจแล้ว เป็นผู้ประพฤติเบาพร้อมเข้าไปสู่ป่า คิดว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าอนุญาตว่า มัชฌิมยามอันใดเป็นส่วนแห่งการนอนดังนี้ แม้เมื่อมัชฌิมยามนั้นถึงพร้อมแล้ว เราก็ยังกลัวต่อความประมาท ดังนี้ จึงสละเตียงนอนแล้ว พยายามทั้งกลางคืนและกลางวันทำกรรมฐานนั่นแหละไว้ในใจ. ลำดับนั้น ลมทั้งหลายเพียงดังศัสตราเกิดขึ้นในภายในแห่งภิกษุนั้น ทำลายชีวิตเสียแล้ว. ภิกษุนั้นได้ทำกาละในเพราะธุระ คือความเพียรนั่นแหละ. อนึ่ง ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งจงกรมอยู่ในเพราะการจงกรมก็ตาม ยืนอยู่เพราะอาศัยส่วนที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวไว้ก็ตาม วางจีวรไว้ที่สุดแห่งที่จงกรมเหนือศีรษะแล้วนั่งหรือนอนก็ตาม กำลังแสดงธรรมบนธรรมาสน์อันเขาตกแต่งในท่ามกลางแห่งบริษัทก็ตาม ย่อมกระทำกาละ ภิกษุนั้นทั้งหมดชื่อว่ากระทำกาละในเพราะธุระ คือความเพียร. แม้ภิกษุนี้ก็ทำกาละแล้วในที่เป็นที่จงกรม เพราะความที่ตนเป็นผู้มีอุปนิสัยน้อยจึงยังมิได้ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะ ได้ถือปฏิสนธิในภพดาวดึงส์ที่ประตูวิมานใหญ่ ราวกะว่าหลับแล้วตื่นขึ้นฉะนั้น. อัตภาพของเทวบุตรนั้นมีสามคาวุตเกิดขึ้น เหมือนเสาระเนียดปิดทองในขณะนั้นนั่นแหละ. ภายในวิมานนางอัปสรประมาณหนึ่งพันเห็นเทวบุตรนั้น แล้วกล่าวว่า เทวบุตรผู้เป็นเจ้าของวิมานมาแล้ว พวกเราจักให้เทวบุตรนั้นพอใจดังนี้ จึงถือเอาเครื่องดนตรีมาแวดล้อมแล้ว. เทวบุตรนั้นย่อมไม่รู้ซึ่งความที่ตนเป็นผู้จุติแล้วก่อน ยังสำคัญว่าตนเป็นบรรพชิตอยู่นั่นแหละ จึงเกิดความละอายเพราะเห็นหญิงทั้งหลายมาเที่ยวถึงที่อยู่ จึงเอาผ้าปิดเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ดุจภิกษุผู้ทรงผ้าบังสุกุลเอาผ้าที่วางกองไว้ข้างบนมาทำเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง สำรวมอินทรีย์ทั้งหลายแล้วได้ยืนก้มหน้าอยู่. พวกนางอัปสรเหล่านั้นทราบว่า เทวบุตรนี้เป็นเทวบุตรมาแต่สมณะโดยเห็นการเคลื่อนไหวกายของเทวบุตรนั้น จึงกล่าวอย่างนี้ว่า ข้าแต่เทวบุตรผู้เป็นเจ้า นี้ชื่อว่าเทวโลก ขณะนี้มิใช่โอกาสที่จะทำสมณธรรม ที่นี้เป็นโอกาสที่จะเสวยสมบัติ ดังนี้. เทวบุตรนั้นได้ยืนอยู่เหมือนอย่างนั้นนั่นแหละ. นางอัปสรเหล่านั้นคิดว่า เทวบุตรนี้ยังกำหนดไม่ได้ดังนี้ จึงบรรเลงดนตรีทั้งหลาย. เทวบุตรนั้นก็ยังไม่แลดูอยู่นั่นแหละ ได้ยืนอยู่แล้วเหมือนอย่างนั้น. ลำดับนั้น เทพธิดาทั้งหลายเหล่านั้นจึงวางกระจกอันให้เห็นกายทั้งหมดไว้ข้างหน้า. เทวบุตรนั้นเห็นเงาในกระจกแล้ว จึงทราบความที่ตนเป็นผู้จุติแล้ว ได้เป็นผู้มีความเดือดร้อนเพราะสมบัติ ด้วยคิดว่า เราทำสมณธรรมมิได้ปรารถนาฐานะเช่นนี้ เราปรารถนาพระอรหัตอันเป็นอุดมประโยชน์ ดังนี้. เทวบุตรนั้นพิจารณาดูแผ่นผ้าดังสีทอง จึงคิดว่า ชื่อว่าสมบัติในสวรรค์นี้เป็นของหาได้ง่าย ความปรากฏแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายหาได้ยาก ราวกะนักมวยปล้ำหยั่งลงสู่ที่ที่รบกัน (ย่อมต้องการ ของมีค่า) แต่กลับได้กำแห่งหัวมัน ดังนี้ จึงมิได้เข้าไปสู่วิมานเลย ผู้อันหมู่แห่งนางอัปสรแวดล้อมแล้ว ด้วยทั้งศีลยังมิได้ทำลายนั่นแหละมาสู่สำนักของพระทศพล ถวายอภิวาทแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ได้กล่าวคาถานี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อจฺฉราคณสงฺฆุฏฺฐํ ความว่า อันหมู่แห่งนางอัปสรให้กึกก้องแล้วด้วยการขับร้องและดนตรี. บทว่า ปิสาจคณเสวิตํ อธิบายว่า เทวบุตรนั้นย่อมกล่าวทำหมู่แห่งนางอัปสรนั้นนั่นแหละว่าเป็นหมู่แห่งปีศาจ. บทว่า วนํ ความว่า เทวบุตรนั้นกล่าวหมายเอาสวนชื่อนันทนวัน. จริงอยู่ เทวบุตรนี้ย่อมไม่ชอบใจที่จะกล่าวหมู่แห่งเทวดาว่าเป็นหมู่แห่งเทวดา ย่อม บทว่า กถํ ยาตฺรา ภวิสฺสติ อธิบายว่า การออกไปจักมีได้อย่างไร การก้าวออกไปจักมีได้อย่างไร ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระองค์จงตรัสบอกวิปัสสนาอันเป็นปทัฏฐาน (เหตุใกล้) แห่งพระอรหัตแก่ข้าพระองค์. ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพิจารณาอยู่ว่า เหตุที่เทวบุตรนี้กำหนด ธรรมดาว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมตรัสบอกปฏิปทาอันเป็นส่วนเบื้องต้นก่อนว่า เธอจงชำระศีลให้บริสุทธิ์ก่อน จงเจริญสมาธิ จงทำกัมมัสสกตปัญญาให้ตรง ดังนี้ ราวกะ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเข้าพระทัยดีว่า เทวบุตรนี้เป็นผู้กระทำ ผู้มีศีลยังมิได้ทำลาย ก็มรรคหนึ่งจักมีแก่เทวบุตรนี้ในอนาคต ดังนี้. เมื่อจะทรงบอกสุญญตาวิปัสสนา จึงตรัสคำว่า อุชุโก นาม เป็นอาทิ. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุชุโก อธิบายว่า มรรคประกอบด้วยองค์แปด ชื่อว่าทางตรง เพราะความที่ทางนั้นไม่มีการคดทั้งหลายมีการคดทางกายเป็นต้น. บทว่า อภยา นาม สาทิสา พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอาพระนิพพาน. จริงอยู่ ในพระนิพพานนั้น ภัยอะไรๆ ก็ไม่มี หรือว่าภัยนั้น ย่อมไม่มีแก่ผู้ บทว่า รโถ อกุชฺชโน ข้อนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระประสงค์เอาอัฏฐังคิกมรรค. เหมือนอย่างว่า เมื่อเพลาแห่งรถไม่มีน้ำมันหยอด หรือว่าเมื่อคนขึ้นมากเกินไป ธรรมดา จริงอยู่ รถคืออริยมรรคนั้นแม้สัตว์ตั้งแปดหมื่นสี่พันขึ้นอยู่โดยการนำไปคราวเดียวกัน ย่อมไม่ดัง ย่อมไม่ส่งเสียง เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า อกุชฺชโน แปลว่า ไม่มีเสียงดัง. บทว่า ธมฺมจกฺเกหิ สํยุโต อธิบายว่า ประกอบพร้อมแล้วด้วยล้อคือธรรมทั้งหลาย กล่าวคือความเพียรอันเป็นไปทางกายและทางใจ. บทว่า หิริ นี้ แม้โอตตัปปะ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงถือเอาแล้วด้วยศัพท์ว่าหิริ นั่นแหละ. บทว่า ตสฺส อปาลมฺโพ อธิบายว่า เมื่อนักรบทั้งหลายยืนอยู่บนรถอันมีในภายนอก ย่อมมีฝาที่ทำด้วยไม้เพื่อต้องการแก่อันมิให้ตกไปฉันใด หิริและโอตตัปปะแห่งรถคือมรรคนี้อันมีทั้งภาย บทว่า สตฺยสฺส ปริวารณํ อธิบายว่า สติอันสัมปยุตด้วยรถคือมรรคแม้นี้เป็นเกราะกำบัง ราวกะรถของนักรบที่หุ้มด้วยวัตถุทั้งหลายมีหนังสีหะเป็นต้น. บทว่า ธมฺมํ ได้แก่ โลกกุตรมรรค. บทว่า สมฺมาทิฏฺฐิปุเร ชวํ อธิบายว่า สัมมาทิฏฐิแห่งวิปัสสนานำหน้าไป คือเป็นเครื่องดำเนินไปก่อน (เป็นประธาน) แห่งมรรคนั้นมีอยู่ เพราะเหตุนั้น มรรคนั้นจึงชื่อว่ามีสัมมาทิฏฐินำหน้า. ธรรมมีสัมมาทิฏฐินำหน้านั้น คือเหมือนอย่างว่า เมื่อราชบุรุษทั้งหลายทำหนทางให้สะอาดโดยการนำชนทั้งหลายมีคนบอดคนง่อยเป็นต้นออกไปก่อน แล้วพระราชาจึงเสด็จมาในภายหลังฉันใด ครั้นเมื่อธรรมทั้งหลายมีขันธ์เป็นต้นอันสัมมาทิฏฐิแห่งวิปัสสนาชำระให้หมดจดแล้วด้วยสามารถแห่งความเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น สัมมาทิฏฐิแห่งมรรคอันกำหนดรู้อยู่ซึ่งวัฏฏะได้แล้วในภูมิ จึงเกิดขึ้นในภายหลังฉันนั้นนั่นแหละ. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ธมฺมาหํ สารถึ พฺรูมิ สมฺมาทิฏฺฐิปุเร ชวํ แปลว่า เรากล่าวธรรมมีสัมมาทิฏฐินำหน้าว่า เป็นสารถี. พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นให้เทศนาสำเร็จด้วยประการฉะนี้แล้ว ในที่สุดทรงแสดงสัจจะ ๔ ในเวลาที่สุดลงแห่งเทศนา เทวบุตรตั้งอยู่เฉพาะแล้วในโสดาปัตติผล. เหมือนอย่างว่า ในเวลาที่พระราชาเสวยพระกระยาหาร พระองค์ก็ ข้อนี้ก็ฉันนั้นนั่นแหละ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า แม้ทรงแสดงเทศนาอันสุดยอดคือพระอรหัตอยู่ สัตว์ทั้งหลายย่อมบรรลุธรรมทั้งหลายมีโสดาปัตติผลเป็นต้น แม้เทวบุตรนี้ก็บรรลุโสดาปัตติผล แล้วบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยวัตถุทั้งหลายมีของหอมเป็นต้น แล้วหลีกไป. จบอรรถกถาอัจฉราสูตรที่ ๖ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เทวตาสังยุต อาทิตตวรรคที่ ๕ อัจฉราสูตรที่ ๖ จบ. |