ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 15 / 1อ่านอรรถกถา 15 / 328อรรถกถา เล่มที่ 15 ข้อ 331อ่านอรรถกถา 15 / 334อ่านอรรถกถา 15 / 956
อรรถกถา สังยุตตนิกาย สคาถวรรค โกสลสังยุตต์ ปฐมวรรคที่ ๑
ราชสูตรที่ ๓

               อรรถกถาราชสูตรที่ ๓               
               พึงทราบวินิจฉัยในราชสูตรที่ ๓ ต่อไป :-
               บทว่า อญฺญตฺร ชรามรณา ความว่า พระเจ้าปเสนทิโกศลทูลถามว่า คนที่พ้นจากชรามรณะมีอยู่หรือ.
               บทว่า ขตฺติยมหาสาลา แปลว่า กษัตริย์มหาศาล คือกษัตริย์ที่ถึงความเป็นผู้มีสารสมบัติมาก.
               จริงอยู่ กษัตริย์เหล่าใดมีทรัพย์เก็บไว้ ๑๐๐ โกฏิเป็นอย่างต่ำ มีกหาปณะ ๓ หม้อจัดกองไว้กลางคฤหะ (เรือน) สำหรับใช้สอย กษัตริย์เหล่านั้น ชื่อว่ากษัตริย์มหาศาล. พราหมณ์เหล่าใดมีทรัพย์เก็บไว้ ๘๐ โกฏิ มีกหาปณะหม้อครึ่งจัดกองไว้กลางคฤหะ สำหรับใช้สอย พราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าพราหมณมหาศาล. คฤหบดีเหล่าใดมีทรัพย์เก็บไว้ ๔๐ โกฏิ มีกหาปณะหม้อหนึ่งจัดกองไว้กลางคฤหะ สำหรับใช้สอย คฤหบดีเหล่านั้น ชื่อว่าคฤหบดีมหาศาล.
               บทว่า อฑฺฒา ได้แก่ เป็นใหญ่.
               ชื่อว่ามีทรัพย์มาก ก็เพราะทรัพย์ที่เก็บไว้มีมาก. ชื่อว่ามีโภคะมาก ก็เพราะของใช้สอยมีภาชนะทองเงินเป็นต้นมีมาก. ชื่อว่ามีทองและเงินมากพอ ก็เพราะทองและเงินที่ยังไม่ได้เก็บไว้มีมากพอ. ชื่อว่ามีอุปกรณ์ทรัพย์เครื่องปลื้มใจมากพอ ก็เพราะมีอุปกรณ์ทรัพย์เครื่องปลื้มใจ คือเหตุแห่งความยินดีมีมากพอ. ชื่อว่ามีทรัพย์และข้าวเปลือกมากพอ ก็เพราะทรัพย์คือโคเป็นต้นและข้าวเปลือก ๗ อย่างมีมากพอ.
               บทว่า เตสมฺปิ ชาตานํ นตฺถิ อญฺญตฺร ชรามรณา ความว่า อิสรชนดังกล่าวมาแม้เหล่านั้น เกิดมาแล้ว คือบังเกิดแล้วจะละเว้นจากชรามรณะไม่มี คือชื่อว่าพ้นจากชรามรณะ เพราะเกิดมาแล้วนั่นและไม่มี อิสรชนเหล่านั้นตกอยู่ภายในชรามรณะนั่นเทียว.
               ในบทว่า อรหนฺโต เป็นต้น เหล่าภิกษุชื่อว่าอรหันต์ เพราะไกลจากกิเลสทั้งหลาย. ชื่อว่าขีณาสพ ก็เพราะภิกษุเหล่านั้นสิ้นอาสวะ ๔ แล้ว. ชื่อว่าวุสิตวันตะ ก็เพราะอยู่ประพฤติพรหมจรรย์แล้ว คืออยู่จบพรหมจรรย์แล้ว. ชื่อว่ากตกรณียะ เพราะภิกษุเหล่านั้นมีกิจที่ควรทำด้วยมรรค ๔ ทำเสร็จแล้ว. ชื่อว่าโอหิตภาระ เพราะภิกษุเหล่านั้นปลงภาระเหล่านี้ คือขันธภาระ กิเลสภาระ อภิสังขารภาระ กามคุณภาระเสียแล้ว. ชื่อว่าอนุปปัตตสทัตถะ ก็เพราะภิกษุเหล่านั้นบรรลุประโยชน์ของตน กล่าวคือพระอรหัตแล้ว. ชื่อว่าภวปริกขีณสังโยชนะ เพราะภิกษุเหล่านั้นสิ้นภวสังโยชน์ทั้ง ๑๐ แล้ว. ชื่อว่าสัมมทัญญาวิมุตตะ เพราะภิกษุเหล่านั้นหลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ คือโดยเหตุ.
               อธิบายว่า รู้สัจธรรม ๔ ด้วยมรรคปัญญาแล้ว หลุดพ้นโดยผลวิมุตติ.
               บทว่า เภทนธมฺโม แปลว่า มีอันแตกไปเป็นสภาพ.
               บทว่า นิกฺเขปนธมฺโม แปลว่า มีอันจะพึงทอดทิ้งเป็นสภาพ.
               จริงอยู่ แม้ธรรมคือความไม่ชราของพระขีณาสพมีอยู่ คือพระนิพพานที่ท่านแทงตลอดโดยอารมณ์ แท้จริง พระนิพพานนั้นย่อมไม่ชรา แต่ในสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงแสดงธรรม คือความชราของพระขีณาสพนั้น จึงตรัสอย่างนี้.
               ได้ยินว่า การตั้งพระสูตรมีอัตถุปปัตติ เหตุเกิดเรื่อง ดังนี้
               อาจารย์บางพวกกล่าวว่า เป็นเรื่องที่นั่งพูดกันที่โรงเก็บวอ. ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นยานคือรถเป็นต้นอันงดงาม จึงทรงทำสิ่งที่ทรงเห็นนั่นแหละให้เป็นข้อเปรียบเทียบ ตรัสพระคาถาว่า ชีรนฺติ เว ราชรถา สุจิตฺตา เป็นต้น.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ชีรนฺติ ได้แก่ เข้าถึงชรา.
               บทว่า ราชรถา ได้แก่ รถอันงดงามของพระราชา.
               บทว่า สุจิตฺตา ได้แก่ อันงามดีด้วยทองและเงินเป็นต้น.
               บทว่า อโถ สรีรมฺปิ ชรํ อุเปติ ความว่า เมื่อรถทั้งหลายอันทำด้วยไม้แก่น ไม่มีใจครองเห็นปานนี้ คร่ำคร่าไป คำอะไรๆ ที่จะพึงกล่าวในสรีระที่ทำด้วยเนื้อและเลือดเป็นต้น ซึ่งมีใจครองอันเป็นภายในนี้ คือสรีระก็ถึงความชราทั้งนั้น.
               บทว่า สนฺโต หเว สพฺภิ ปเวทยนฺติ ความว่า เหล่าสัตบุรุษย่อมรู้กันกับเหล่าสัตบุรุษอย่างนี้ว่า ธรรมของเหล่าสัตบุรุษไม่ถึงความชรา พระนิพพานชื่อว่าธรรมของเหล่าสัตบุรุษ พระนิพพานนั้นไม่ชรา. อธิบายว่า เหล่าสัตบุรุษกล่าวอย่างนี้ว่า พระนิพพานไม่แก่ ไม่ตาย.
               อีกอย่างหนึ่ง ก็เพราะอาศัยพระนิพพาน กิเลสทั้งหลายที่มีสภาพจมจึงแตกไป ฉะนั้น พระนิพพานนั้น ท่านจึงเรียกว่า สพฺภิ.
               พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงแสดงเหตุของบทต้น จึงตรัสว่า สนฺโต หเว สพฺภิ ปเวทยนฺติ.
               จริงอยู่ ท่านอธิบายไว้ดังนี้ว่า ธรรมของเหล่าสัตบุรุษย่อมไม่เข้าถึงชรา. เพราะเหตุไร เพราะเหล่าสัตบุรุษย่อมประกาศกับเหล่าสัตบุรุษ.
               อธิบายว่า ย่อมบอกกันว่า พระนิพพานที่ไม่แก่ ชื่อว่าธรรมของเหล่าสัตบุรุษ
               อีกนัยหนึ่ง คำว่า สัพภิ นี้ เป็นชื่อที่ดี.
               อธิบายว่า เหล่าสัตบุรุษย่อมประกาศบอกพระนิพพาน ที่เป็นสัพภิธรรม สัพภิธรรมของสัตบุรุษอันใด ธรรมของเหล่าสัตบุรุษอันนั้นย่อมไม่เข้าถึงความชรา.

               จบอรรถกถาราชสูตรที่ ๓               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา สังยุตตนิกาย สคาถวรรค โกสลสังยุตต์ ปฐมวรรคที่ ๑ ราชสูตรที่ ๓ จบ.
อ่านอรรถกถา 15 / 1อ่านอรรถกถา 15 / 328อรรถกถา เล่มที่ 15 ข้อ 331อ่านอรรถกถา 15 / 334อ่านอรรถกถา 15 / 956
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=15&A=2244&Z=2268
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=11&A=3407
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=11&A=3407
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๘  กันยายน  พ.ศ.  ๒๕๔๙
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :