บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
บทว่า โส จ โข กลฺยาณมิตฺตสฺส ความว่า ก็ธรรมนี้นั้น ย่อมชื่อว่าสวาก จริงอยู่ ธรรมเป็นสวากขาตธรรม แม้ของทุกคนก็จริง ถึงอย่างนั้น ย่อมทำประโยชน์ให้เต็มแก่ผู้มีมิตรดี ผู้ตั้งใจฟังด้วยดี ผู้เชื่อถือ เหมือนยาเป็นประโยชน์แก่ผู้ใช้ หาเป็นประโยชน์แก่คนผู้ไม่ใช้ไม่ ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำนี้ พึง บทว่า อุปฑฺฒมิทํ ความว่า ได้ยินว่า พระเถระเจ้าไปในที่ลับคิดว่า เมื่อมิตรดีผู้โอวาทพร่ำสอนมีอยู่ สมณธรรมนี้ย่อมสำเร็จประโยชน์แก่ผู้ตั้งอยู่ในความพยายามเฉพาะตัว ดังนั้น พรหม บทว่า พฺรหฺมจริยสฺส ได้แก่ อริยมรรค. บทว่า ยทิทํ กลฺยาณมิตฺตตา ความว่า ความเป็นผู้มีมิตรดีที่ได้ ย่อมมาสู่พรหม ก็คำว่า กลฺยาณมิตฺตตา นี้ท่านถือว่า ชื่อว่าได้คุณที่เป็นส่วนเบื้องต้น ว่าโดยใจความก็ได้แก่ขันธ์ ๔ คือ ศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ วิปัสสนาขันธ์อันอาศัยกัลยาณมิตรได้มา. อาจารย์ บทว่า มาเหวํ อานนฺท ความว่า อย่าพูดอย่างนี้ เธอเป็นพหูสูต บรรลุ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคำนี้ว่า ดูก่อนอานนท์ ความมีมิตรดี ความมีสหายดี ความมีเพื่อนดี เป็นพรหมจรรย์ทั้งสิ้น ดังนี้ ทรงหมายว่า มรรค ๔ ผล ๔ วิชชา ๓ อภิญญา ๖ ทั้งหมดมีมิตรดีเป็นมูลทั้งนั้น. บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงเหตุ โดยการเปล่งพระวาจานั่นแล จึงตรัสคำว่า กลฺ บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปาฏิกงฺขํ ความว่า พึงหวัง พึงปรารถนาว่ามีอยู่แท้. บทว่า อิธ แปลว่า ในศาสนานี้. ก่อนอื่น อาทิบททั้ง ๘ ในคำว่า สมฺมาทิฏฺฐึ ภาเวติ เป็นต้นมีพรรณนาสังเขปดังนี้. สัมมาทิฏฐิมีลักษณะเห็นชอบ สัมมาสังกัปปะมีลักษณะยกสหชาตธรรมขึ้นสู่อารมณ์ชอบ สัมมาวาจามีลักษณะกำหนดอารมณ์ชอบ สัมมากัมมันตะมีลักษณะตั้งตนไว้ชอบ. สัมมาอาชีวะมีลักษณะทำอารมณ์ให้ผ่องแผ้วชอบ. สัมมาวายามะมีลักษณะประคองชอบ สัมมาสติมีลักษณะปรากฏชอบ สัมมาสมาธิมีลักษณะตั้งมั่นชอบ. บรรดามรรคมีองค์ ๘ นั้น มรรคองค์หนึ่งๆ มีกิจ ๓ คือ ก่อนอื่นสัมมาทิฏฐิย่อมละมิจฉาทิฏฐิ พร้อมกับเหล่ากิเลสที่เป็นข้าศึกของตนอย่างอื่นๆ ๑ ทำนิโรธให้เป็นอารมณ์ ๑ และเห็นสัมปยุตธรรมเพราะไม่ลุ่มหลง โดยกำจัดโมหะอันปกปิดสัมปยุตธรรมนั้น ๑. แม้สัมมาสังกัปปะเป็นต้น ก็ละมิจฉาสังกัปปะเป็นต้น และทำนิโรธให้เป็นอารมณ์ อย่างนั้นเหมือนกัน แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในมรรคมีองค์ ๘ นั้น สัมมาสังกัปปะย่อมยกอารมณ์ขึ้นสู่สหชาตธรรม. สัมมาวาจาย่อมกำหนดถือเอาชอบ สัมมากัมมันตะย่อมตั้งตนไว้ชอบ สัมมาอาชีวะย่อมผ่องแผ้วชอบ สัมมาวายามะย่อมประคองความเพียรๆ ชอบ สัมมาสติย่อมตั้งไว้ชอบ สัมมาสมาธิย่อมตั้งมั่นชอบ. อนึ่งเล่า ธรรดาสัมมาทิฏฐินี้ ในส่วนเบื้องต้นย่อมมีขณะต่างๆ มีอารมณ์ต่างๆ แต่ในขณะมรรคจิตมีขณะอันเดียว มีอารมณ์อย่างเดียว. แต่ว่าโดยกิจ ย่อมได้ชื่อ ๔ ชื่อมี ทุกฺเข ญาณํ รู้ในทุกข์ดังนี้เป็นต้น แม้สัมมาสังกัปปะเป็นต้น ในส่วนเบื้องต้นก็มีขณะต่างกัน มีอารมณ์ต่างกัน แต่ในขณะแห่งมรรคจิตย่อมมีขณะอันเดียว มีอารมณ์อย่างเดียว. ในมรรคมีองค์ ๘ นั้น สัมมาสังกัปปะว่าโดยกิจ ย่อมได้ชื่อ ๓ ชื่อมี สัมมาวายามะและสัมมาสติทั้งสองดังว่ามานี้ ว่าโดยกิจก็ได้ชื่อ ๔ ชื่อโดยสัมมัปปธาน ๔ สติปัฏฐาน ๔. ส่วนสัมมาสมาธิทั้งในส่วนเบื้องต้น ทั้งในขณะแห่งมรรคจิต ก็สมาธิอย่างเดียว. ครั้นทราบการพรรณนาอาทิบททั้ง ๘ ที่ท่านกล่าวโดยนัยว่า สมฺมาทิฏฐึ ดังนี้เป็นต้นอย่างนี้ก่อนแล้ว บัดนี้ พึงทราบความในคำว่า ภาเวติ วิเวกนิสฺสิตํ เป็นต้นดังนี้. บทว่า ภาเวติ แปลว่า เจริญ. อธิบายว่า ทำให้เกิด บังเกิดในจิตสันดานของตน. บทว่า วิเวกนิสฺสิตํ แปลว่า อาศัยวิเวก. บทว่า วิเวโก ได้แก่ ความเป็นผู้สงัด. พึงทราบความดังนี้ว่า ความเป็นผู้สงัดนี้ ได้แก่ วิเวก ๕ อย่างคือ ตทังควิเวก วิก บทว่า วิเวกนิสฺสิตํ ก็ได้แก่ เจริญสัมมาทิฏฐิที่อาศัยตทังควิเวก อาศัยสมุจเฉทวิเวก และอาศัยนิสสรณวิเวก. อนึ่งเล่า พระโยคี [โยคาวจร] ผู้ประกอบเนืองๆ ซึ่งอริยมรรคภาวนานี้ ในขณะเจริญวิปัสสนาย่อมเจริญสัมมาทิฏฐิที่อาศัยตทังควิเวก โดยกิจที่อาศัยนิสสรณวิเวกโดยอัธยาศัย แต่ในขณะแห่งมรรคจิตย่อมเจริญสัมมาทิฏฐิที่อาศัยสมุจเฉทวิเวกโดยกิจ ที่อาศัยนิสสรณวิเวกโดยอารมณ์. ในบทว่าที่อาศัยวิราคะเป็นต้น ก็นัยนี้. ก็วิราคะเป็นต้น ก็มีวิเวกความสงัดเป็นอรรถนั่นแหละ. ก็ในที่นี้อย่างเดียว โวส บรรดาโวสสัคคะ ๒ อย่างนั้น การละกิเลสด้วยอำนาจตทังคปหานในขณะเจริญวิปัสสนา และการละกิเลสด้วยอำนาจสมุจเฉทปหานในขณะแห่งมรรคจิต ชื่อว่าปริจาคโวสสัคคะ. ในขณะเจริญวิปัสสนาก็แล่นไปสู่พระนิพพานด้วยความเป็นผู้น้อมไปในพระนิพพานนั้น แต่ในขณะแห่งมรรคจิตก็แล่นไปสู่พระนิพพานด้วยการทำพระนิพพานให้เป็นอารมณ์ ชื่อว่าปักขันทนโวสสัคคะ. โวสสัคคะแม้ทั้งสองนั้นย่อมควรในอรรถกถานัยที่ผสมทั้งโลกิยะและโลกุตระนี้. จริงอย่างนั้น สัมมาทิฏฐินี้ย่อมสละกิเลสและแล่นไปสู่พระนิพพาน จริงอยู่ ภิกษุผู้ประกอบเนืองๆ ซึ่งอริยมรรคภาวนานี้ ย่อมเจริญสัมมาทิฏฐิโดยอาการที่สัมมาทิฏฐินั้นกำลังบ่มเพื่อโวสสัคคะคือการสละกิเลส และเพื่อโวสสัคคะคือการแล่นไปสู่พระนิพพาน และโดยอาการที่สัมมาทิฏฐินั้นบ่มสุกแล้ว. ในองค์มรรคที่เหลือก็นัยนี้. บทว่า อาคมฺม ได้แก่ ปรารภหมายถึง อาศัยแล้ว. บทว่า ชาติธมฺมา ได้แก่ มีการเกิดเป็นสภาวะ คือมีการเกิดเป็นปกติ [ธรรมดา]. บทว่า ตสฺมา ความว่า เพราะเหตุที่แม้อริยมรรคทั้งสิ้นอาศัยกัลยาณมิตรจึงได้ ฉะนั้น ศัพท์ว่า หนฺท เป็นนิบาตลงในอรรถว่าเชื้อเชิญ. บทว่า อปฺปามาทํ ปสํสนฺติ ได้แก่ บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญความไม่ประมาท เพราะฉะนั้น จึงควรทำความไม่ประมาท. บทว่า อตฺถาภิสมยา แปลว่า เพราะได้ประโยชน์. จบอรรถกถาทุติยอัปปมาทสูตรที่ ๘ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา สังยุตตนิกาย สคาถวรรค โกสลสังยุตต์ ทุติยวรรคที่ ๒ ทุติยอัปปมาทสูตรที่ ๘ จบ. |