บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
ภิกษุชาวเมืองโกสัมพีทะเลาะกัน ไม่ว่าในกาลไหนๆ ในโลกนี้ เวรทั้งหลาย ไม่ (เคย) ระงับด้วยเวรเลย. วันนั้น เมื่อภิกษุเหล่านั้นกำลังทะเลาะกันอยู่ ราตรีก็สว่างแล้ว แม้วันที่สองพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสเรื่องนั้นซ้ำอีก. แม้วันนั้น เมื่อภิกษุเหล่านั้นยังคงทะเลาะกันอยู่เหมือนเดิม ราตรีก็สว่างแล้ว ถึงวันที่ ๓ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ยังตรัสเรื่องนั้นซ้ำอีกแล. พระพุทธเจ้าเสด็จจาริกไปองค์เดียว พระศาสดาทรงดำริว่า โมฆบุรุษเหล่านี้มีจิตถูกโทสะครอบงำแล้วแล เราตถาคตไม่สามารถจะไกล่เกลี่ยโมฆบุรุษพวกนี้ให้ยอมกันได้เลยดังนี้แล้ว ทรงดำริ (อีก) ว่า ประโยชน์อะไรของเราตถาคตกับโมฆบุรุษเหล่านี้ เราตถาคตจักอยู่ด้วยการเที่ยวจาริกไปคนเดียว. พระศาสดาทรงดำริอย่างนี้แล้ว รุ่งเช้าครั้นทรงชำระพระวรกายเรียบร้อยแล้ว จึงได้เสด็จ (ออก) เที่ยวบิณฑบาตในเมืองโกสัมพี มิได้ตรัสเรียกใครๆ (ให้ตามเสด็จไปด้วย) พระองค์เดียวเท่านั้นเสด็จหลีกจาริกไปไม่มีเพื่อนสอง. พระเถระกล่าวคำนี้ว่า ยสฺมึ อาวุโส สมเย ก็เพราะท่านได้ทราบการเสด็จเที่ยวไปของพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหมดว่า วันนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจักเสด็จหลีกไปกับภิกษุรูปเดียว วันนี้จักเสด็จหลีกไปกับภิกษุสองรูป วันนี้จักเสด็จหลีกไปกับภิกษุ ๑๐๐ รูป วันนี้จักเสด็จหลีกไปกับภิกษุ ๑,๐๐๐ รูป และวันนี้จักเสด็จหลีกไปเพียงลำพังพระองค์เดียว คือการเสด็จเที่ยวไปของพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหมดปรากฏ คือแจ่มแจ้งแก่พระเถระนั้น. เสด็จสู่ป่าปาลิเลยยกะ ณ พาลกโลณการคามนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอานิสงส์ในการอยู่ด้วยการเที่ยว (จาริก) ไปตามลำพัง แก่พระภัคคุเถระตลอดเวลาหลังเสวยพระกระยาหารเสร็จ (ในเวลากลางวัน) และตลอดทั้ง ๓ ยามในเวลากลางคืน รุ่งขึ้นทรงมีพระเถระนั้นเป็นปัจฉาสมณะเสด็จเที่ยวบิณฑบาตแล้วทรงให้พระเถระนั้นกลับในที่นั้นนั่นเอง ทรงดำริว่า เราตถาคตจักโปรดกุลบุตร ๓ คน (ภิกษุ ๓ รูป) ผู้อยู่ด้วยกันด้วยความสมัครสมาน จึงได้เสด็จพุทธดำเนิน (ต่อไป) ยังป่าปาจีนวังสะ. พระองค์ได้ตรัสอานิสงส์ในการอยู่ด้วยกันด้วยความสมัครสมานแก่ภิกษุทั้ง ๓ รูปนั้นตลอดคืน (แล้วรุ่งเช้าเสด็จออกบิณฑบาต) ทรงให้ภิกษุทั้ง ๓ รูปนั้นกลับในที่นั้นนั่นเอง แล้วเสด็จหลีกมุ่งสู่เมืองปาลิเลยยกะตามลำพังพระองค์เดียว เสด็จถึงเมืองปาลิเลยยกะตามลำดับ ด้วยเหตุนั้น พระสังคีติกาจารย์จึงกล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะเสด็จจาริกไปตามลำดับ ก็ได้เสด็จไปทางเมืองปาลิเลยยกะ. ช้างอุปัฏฐากพระพุทธเจ้า ก็แล ต้นสาละบางต้นในราวป่านั้นนั่นแล เป็นต้นไม้ใหญ่ประเสริฐ จึงเรียกว่า ภัททสาละ พระผู้มีพระภาคเจ้าเข้าไปอาศัยเมืองนั้นประทับอยู่ที่โคนต้นไม้นั้น (ซึ่งอยู่) ใกล้บรรณศาลาในราวป่านั้น ด้วยเหตุนั้น พระสังคีติกาจารย์จึงกล่าวว่า ภทฺทสาลมูเล. ก็เมื่อพระตถาคตประทับอยู่ในราวป่านั้นอย่างนั้น ช้างพลายตัวหนึ่งถูกพวกช้างพังและลูกช้างเป็นต้น เบียดเสียดในสถานที่ทั้งหลายมีสถานที่ออกหากินและสถานที่ลงท่าน้ำเป็นต้น เมื่อหน่าย (ที่จะอยู่) ในโขลง คิดว่า เราจะอยู่กับช้างพวกนี้ไปทำไม จึงละโขลง (ออก) ไปยังถิ่นมนุษย์ เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าในราวป่าปาลิเลยยกะ (ทันทีที่เห็น) ใจก็สงบเยือกเย็นประหนึ่งความร้อนที่ถูกดับด้วยน้ำพันหม้อ. ได้ยืนอยู่ใกล้พระศาสดา. นับแต่นั้นมา ช้างนั้นก็ทำวัตรปฏิบัติถวายพระศาสดา ถวายน้ำบ้วนพระโอษฐ์ นำน้ำสรงมาถวาย ถวายไม้สีฟัน กวาดบริเวณ นำผลไม้มีรสอร่อยจากป่ามาถวายพระศาสดา. พระศาสดาก็ทรงเสวย. คืนวันหนึ่ง พระศาสดาเสด็จจงกรมแล้วประทับนั่งบนแผ่นหิน. ฝ่ายช้างพลายก็ยืนอยู่ในที่ใกล้ๆ. พระศาสดาทรงเหลียวมองด้านพระปฤษฎางค์แล้ว มองไม่เห็นใครๆ เลย เหลียวมองด้านหน้าและด้านพระปรัศว์ทั้งสอง ก็มองไม่เห็นใครๆ เลยอย่างนั้น (เหมือนกัน). ขณะนั้นพระองค์เกิดพระดำริขึ้นว่า สุขแท้หนอที่เราตถาคตอยู่แยกจากภิกษุผู้ก่อความบาดหมางกันเหล่านั้น. ฝ่ายช้างพลายก็คิดถึงเหตุเป็นต้นว่า ไม่มีช้างเหล่าอื่นคอยเคี้ยวกินกิ่งไม้ที่เราโน้มลง แล้วเกิดความคิดขึ้นว่า สุขแท้หนอที่เราอยู่ช้างเดียว เราได้ทำวัตรถวายพระศาสดา. พระศาสดาตรวจดูพระดำริของพระองค์แล้วทรงดำริว่า จิตของเราตถาคตเป็นเช่นนี้ก่อน จิตของช้างเป็นเช่นไรหนอแล ทรงเห็นจิตของช้างนั้นเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน จึงทรงดำริว่า จิตของเราทั้งสองเหมือนกันดังนี้แล้ว ทรงเปล่งอุทานนี้ว่า จิตของช้างตัวประเสริฐผู้มีงางอน กับจิต อันประเสริฐ (ของเราตถาคต) นี้ ย่อมเข้ากันได้ (และ) ไม่ว่าจะเป็นใคร ถ้ายินดีอยู่ในป่า (จิต ของเขากับจิตของเราตถาคตย่อมเข้ากันได้ทั้งนั้น) บทว่า อถโข สมฺพหุลา ภิกฺขู ความว่า ครั้งนั้น เมื่อพระตถาคตประทับอยู่ในป่าปาลิเลยยกะนั้นดังพรรณ บทว่า เยนายสฺมา อานนฺโท ความว่า (ภิกษุเหล่านั้น) ไม่สามารถจะไปสำนักพระศาสดาตามธรรมดาของตนได้ จึงเข้าไปหาพระอานนท์จนถึงที่อยู่. ศาสนธรรม บทว่า วิจยโส แปลว่า ด้วยการวิจัย. อธิบายว่า กำหนดด้วยญาณซึ่งสามารถวิจัยถึงสภาวะของธรรมเหล่านั้นๆ. บทว่า ธมฺโม หมายถึง ศาสนธรรม. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมกำหนดส่วนเหล่าใดมีอาทิว่า สติปัฏฐาน ๔ ไว้ เพื่อต้องการประกาศส่วนเหล่านั้น พระองค์จึงตรัส (พระพุทธพจน์นี้ไว้). ปฏิจจสมุปบาทย่อย บทว่า สงฺขาโร โส ได้แก่ สังขารคือทิฏฐินั้น. บทว่า ตโตโช โส สงฺขาโร ความว่า สังขารนั้นเกิดจากตัณหานั้น. อธิบายว่า ในบรรดาจิตที่สัมปยุตด้วยตัณหา สังขารนั้นย่อมเกิดในจิต ๔ ดวง. บทว่า สาปิ ตณฺหา ได้แก่ ตัณหาซึ่งเป็นปัจจัยของสังขารคือทิฏฐินั้น. บทว่า สาปิ เวทนา ได้แก่ เวทนาซึ่งเป็นปัจจัยของตัณหานั้น. บทว่า โสปิ ผสฺโส ได้แก่ สัมผัสอันเกิดจากอวิชชาซึ่งเป็นปัจจัยของเวทนานั้น. บทว่า สาปิ อวิชฺชา ได้แก่ อวิชชาอันสัมปยุตด้วยผัสสะนั้น. ถ้ามีเรา บริขารของเราก็มี บทว่า น ภวิสฺสามิ น เม ภวิสฺสติ ความว่า ก็ถ้าแม้ในอนาคต เราจักไม่มีไซร้ เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้บริขารของเราก็จักไม่มีด้วย. พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาให้ภิกษุนั้นสลัดทิ้งทิฏฐิที่ยึดถือไว้แล้วๆ ตามอัธยาศัยบุคคลบ้าง ตามการยักย้ายเทศนาบ้าง. ในบทว่า ตโตโช โส สงฺขาโร พึงทราบอธิบายว่า :- ถามว่า ในจิตที่สัมปยุตด้วยตัณหาไม่มีวิจิกิจฉาเลย (แล้ว) สังขารคือวิจิกิจฉาจะเกิดจากตัณหาได้อย่างไร? ตอบว่า สังขารคือวิจิกิจฉาเกิดจากตัณหาก็เพราะยังละตัณหาไม่ได้. อธิบายว่า เมื่อตัณหาใดยังละไม่ได้ สังขารคือวิจิกิจฉานั้นก็เกิดขึ้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอาตัณหานั้น จึงตรัสคำนี้ว่า ตโตโช โส สงฺขาโร. แม้ในทิฏฐิก็ได้นัย (ความหมาย) อย่างเดียวกันนี้. เพราะธรรมดาว่า สัมปยุตตทิฏฐิ ย่อมไม่มีในจิต อนึ่ง สัมปยุตตทิฏฐินั้นเกิดขึ้น เพราะละตัณหาใดไม่ได้หมายเอาตัณหานั้น ความหมายนี้จึงใช้ได้แม้ในทิฏฐินั้น รวมความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสวิปัสสนาจนถึงอรหัตตผลไว้ในฐานะ ๒๓ ในสูตรนี้. จบอรรถกถาปาลิเลยยสูตรที่ ๙ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค ขันธสังยุตต์ มัชฌิมปัณณาสก์ ขัชชนิยวรรคที่ ๓ ปาลิเลยยสูตร ว่าด้วยการรู้เห็นที่ทำให้สิ้นอาสวะ จบ. |