บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
คำว่า ใกล้เมืองกิมิลา๑- คือ ในนครมีชื่ออย่างนั้น. ____________________________ ๑- สี. ในเมืองกิมพิลา คำว่า เอตทโวจ ความว่า ได้ยินว่า พระเถระคิดว่า เทศนานี้มิได้ทำอย่างมีอนุสนธิ เราจะให้ถึงอย่างมีอนุสนธิ (ยถานุสนธิ) เมื่อจะสืบต่ออนุสนธิแห่งเทศนา จึงได้กล่าวคำนี้. คำว่า กายอันหนึ่งในบรรดากายทั้งหลาย คือ เรากล่าวกายอย่างใดอย่างหนึ่งในกายทั้งหลายมีกายคือดินเป็นต้น หมายความว่า เรากล่าวถึงกายคือลม. อีกอย่างหนึ่ง ส่วนแห่งรูป ๒๕ ชนิด คือ อายตนะคือ ตา ฯลฯ อาหารที่ทำเป็นคำๆ ชื่อว่ารูปกาย. ในส่วนแห่งรูปเหล่านั้น ลมหายใจออกและหายใจเข้า คำว่า ตสฺมา ติห ความว่า เพราะย่อมพิจารณาเห็นกายคือลม ซึ่งเป็นกายอย่างหนึ่งในกายทั้ง ๔ หรือย่อมพิจารณาเห็นลมหายใจออกและหายใจเข้าซึ่งเป็นกายอย่างหนึ่งในรูปกาย ในส่วนแห่งรูป ๒๕ ฉะนั้น จึงชื่อว่าเป็นผู้พิจารณาเห็นกายในกาย. พึงทราบใจความในทุกบทอย่างนี้. คำว่า เวทนาอันหนึ่งในบรรดาเวทนาทั้งหลาย คือ เวทนาอย่างหนึ่งในเวทนาทั้ง ๓ อย่าง คำนี้ท่านกล่าวหมายเอาสุขเวทนา. คำว่า การทำไว้ในใจให้ดี คือ ความเอาใจใส่อย่างดีที่เกิดขึ้นแล้วด้วยอำนาจการเสวยปีติเป็นต้น. ถามว่า ก็ความเอาใจใส่เป็นเวทนา หรือ. ตอบว่า ไม่เป็น นี้เป็นหัวข้อเทศนา เหมือนอย่างว่า สัญญาท่านเรียกโดยชื่อว่าสัญญา ในคำนี้ว่า เป็นผู้ประกอบตามการอบรมอนิจจสัญญา๒- (ความสำคัญว่าไม่เที่ยง) ฉันใด แม้ในที่นั้นก็ฉันนั้น พึงทราบว่า ท่านเรียกเวทนาในฌาน โดยชื่อว่าความเอาใจใส่ (มนสิการ). ____________________________ ๒- ม. อุ. เล่ม ๑๔/ข้อ ๒๘๖ จริงอยู่ ในหมวด ๔ นี้ ท่านเรียกเวทนาโดยหัวข้อแห่งปีติในบทแรก. ในบทที่ ๒ เรียกโดยสรุปว่าสุขเท่านั้น ในจิตตสังขาร ๒ บท เพราะพระบาลีว่า ธรรมเหล่านี้คือสัญญาและเวทนานี้เป็นเจตสิก เกี่ยวกับจิต เป็นเครื่องปรุงจิต๓- ท่านจึงกล่าวเวทนาโดยชื่อว่าจิตตสังขาร (เครื่องปรุงจิต) เพราะพระบาลีว่า ยกเว้นความตรึกและความตรองแล้ว ธรรมที่ประกอบกับจิตแม้ทั้งหมด รวมลงในจิตตสังขาร. พระเถระรวมธรรมทั้งหมดนั้น โดยชื่อว่ามนสิการ (คือความเอาใจใส่) แล้วกล่าวว่า การกระทำไว้ในใจให้ดี ในที่นี้. ____________________________ ๓- ขุ. ปฏิ. เล่ม ๓๑/ข้อ ๔๑๑ ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็เลยมีผู้ค้านว่า เพราะเหตุที่เวทนานี้เป็นอารมณ์ไม่ได้ ฉะนั้น การพิจารณาเห็นเวทนาก็ไม่ถูกนะซิ เพราะแม้ในมหาสติปัฏฐานสูตรเป็นต้น บุคคลทำวัตถุมีสุขเป็นต้นนั้นๆ ให้เป็นอารมณ์แล้วย่อมเสวยเวทนา แต่วัตถุมีสุขเป็นต้นนั้น เพราะอาศัยความเป็นไปแห่งเวทนาจึงเป็นเพียงโวหารว่า เราเสวยอยู่ ท่านหมายเอาวัตถุมีสุขเป็นต้นนั้น จึงกล่าวว่า เมื่อเสวยสุขเวทนา (ก็รู้ชัดว่า) เราเสวยสุขเวทนาอยู่ ดังนี้เป็นต้น. อีกอย่างหนึ่ง ท่านยังได้กล่าวคำตอบของปัญหานี้ไว้ในการ สมจริงดังคำที่ท่านกล่าวไว้ในวิสุทธิมรรคว่า ปีติย่อมเป็นอันรู้แจ้งแล้วโดยอาการ ๒ อย่าง คือโดยอารมณ์ ๑ โดยความไม่หลงใหล ๑. ปีติย่อมเป็นอันรู้แจ้งแล้ว โดยอารมณ์เป็นอย่างไร ภิกษุย่อมเข้าฌานที่มีปีติ ๒ ฌาน ในขณะเข้าฌานนั้น ปีติย่อมเป็นอันผู้ได้ฌานรู้แจ้งแล้วโดยอารมณ์ เพราะความที่อารมณ์อันตนรู้แจ้งแล้ว. ปีติย่อมเป็นอันรู้แจ้งแล้ว โดยความไม่หลงใหลอย่างไร ภิกษุเข้าฌานที่มีปีติ ๒ ฌานออกแล้ว ย่อมพิจารณาปีติที่ประกอบกับฌานโดยความเป็นของสิ้นไป โดยความเป็นของเสื่อมไป ในขณะการเห็นแจ่มแจ้งของภิกษุนั้น ปีติย่อมเป็นอันรู้แจ้งแล้ว เพราะความไม่หลงใหลด้วยการแทงตลอดลักษณะ. ดังที่พระสารีบุตรได้กล่าวไว้ในปฏิสัมภิทามรรคว่า เมื่อภิกษุรู้ชัดความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง คือ ความไม่ซัดส่ายของจิตด้วยอำนาจการหายใจออกยาว สติย่อมเป็นอันเข้าไปตั้งไว้แล้ว ปีตินั้นย่อมเป็นอันรู้แจ้งแล้ว ด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น.๔- ____________________________ ๔- ขุ. ปฏิ. เล่ม ๓๑/ข้อ ๔๐๘ บัณฑิตพึงทราบใจความ แม้บทที่เหลือโดยทำนองนี้แหละ. เครื่องปรุงจิตคือปีติและสุข โดยอาวรณ์ ย่อมเป็นอันผู้ได้บรรลุฌาน ได้รู้แจ้งแล้ว ดังที่ว่ามานี้ ฉันใดนั่นแหละ เวทนาโดยอารมณ์ก็ย่อมเป็นอันได้รู้แจ้งแล้ว ด้วยการได้เฉพาะซึ่งมนสิการกล่าวคือเวทนาที่ประกอบด้วยฌาน แม้นี้ ฉันนั้น. เพราะเหตุนั้น คำว่า ภิกษุ เป็นผู้ตามพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย อยู่ในสมัยนั้น จึงเป็นคำที่กล่าวไว้ดีแล้วทีเดียว. ในคำว่า นาหํ อานนฺท มุฏฺฐสฺสติสฺส อสมฺปชานสฺส นี้มีอธิบายดังต่อไปนี้ เพราะเหตุที่ภิกษุผู้เป็นไปแล้วโดยนัยเป็นต้นว่า เราจักกำหนดรู้จิต หายใจออก ย่อมเอาลมหายใจออกและหายใจเข้ามาเป็นอารมณ์ แม้โดยแท้ ถึงอย่างนั้น เมื่อเข้าไปตั้งสติและสัมปชัญญะในอารมณ์ของจิตนั้นแล้ว ย่อมชื่อว่าภิกษุนี้เป็นผู้พิจารณาเห็นจิตในจิต เพราะความเป็นไปโดยแท้. อานาปานสติภาวนา (การเจริญสติใน อภิชฌา ทรงแสดงไว้ในคำว่า เธอเห็นการละอภิชฌาและโทมนัสด้วยปัญญา จึงวางเฉยเสียได้ด้วยปัญญาเป็นอย่างดี นี้ ได้แก่ กามฉันทนีวรณ์นั่นเอง. ทรงแสดงพยาบาทนีวรณ์ด้วยอำนาจแห่งโทมนัส ก็แลหมวดสี่นี้ ตรัสด้วยอำนาจวิปัสสนาเท่านั้น ส่วนธัมมานุปัสสนามี ๖ อย่าง๕- ด้วยอำนาจนีวรณบรรพเป็นต้น นีวรณบรรพเป็นข้อต้นของธัมมานุปัสสนานั้น แม้ของนีวรณบรรพนั้นมีหมวดสองแห่งนีวรณ์นี้ขึ้นต้น. เพื่อจะทรงชี้ถึงคำขึ้นต้นแห่งธัมมานุปัสสนาดังที่ว่ามานี้ จึงตรัสว่า อภิชฌาและโทมนัสดังนี้. ____________________________ ๕- พม่า - ๕ อย่าง คำว่า การละ หมายเอาความรู้สำหรับละอย่างนี้ว่า ภิกษุย่อมละความสำคัญว่าเที่ยง ด้วยการตามพิจารณาเห็นความไม่เที่ยง. คำว่า ตํ ปญฺญาย ทิสฺวา คือ ญาณเครื่องละอันได้แก่อนิจจญาณ วิราคญาณ นิโรธญาณและปฏินิสสัคคญาณนั้น ย่อมมีด้วยวิปัสสนาปัญญา. อีกอย่างหนึ่ง ทรงแสดงถึงความสืบต่อถัดๆ กันแห่งวิปัสสนา แม้นั้นอย่างนี้ว่า อย่างอื่นอีก. คำว่า จึงวางเฉยเสียได้ คือ ชื่อว่าย่อม คำว่า เพราะฉะนั้นแหละ อานนท์ คือ เพราะเหตุที่อานาปานสติสมาธิเป็นไปแล้วโดยทำนองเป็นต้นว่า เราจักตามพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงหายใจออก ไม่ใช่เป็นไปแต่ในธรรมมีนิวรณ์เป็นต้นเท่านั้น แต่ภิกษุได้เห็นญาณเครื่องละธรรมที่กล่าวไว้แล้วในหัวข้อคืออภิชฌาและโทมนัส ด้วยปัญญาแล้ว ย่อมเป็นผู้วางเฉยอย่างยิ่ง ฉะนั้น พึงทราบว่า ภิกษุเป็นผู้พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย ในสมัยนั้นอยู่. ในคำว่า ฉันนั้นเหมือนกัน นี้ พึงเห็นอายตนะทั้ง ๖ อย่างเหมือนทางใหญ่ ๔ แพร่ง กิเลสในอายตนะทั้ง ๖ อย่างเหมือนกองฝุ่น (ขยะ) สติปัฏฐาน ๔ ที่เป็นไปในอารมณ์ทั้ง ๔ เหมือนเกวียนและรถที่กำลังมาจากทิศทั้ง ๔. พึงทราบการเข้าไปฆ่าธรรมที่เป็นบาปอกุศลด้วยกายานุปัสสนาเป็นต้นเหมือนการกำจัดกองฝุ่นด้วยเกวียนหรือรถนั้น ด้วยประการฉะนี้. จบอรรถกถากิมิลสูตรที่ ๑๐ จบอรรถกถาเอกธรรมวรรควรรณนาที่ ๑ ----------------------------------------------------- รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ ๑. เอกธรรมสูตร ๒. โพชฌงคสูตร ๓. สุทธิกสูตร ๔. ผลสูตรที่ ๑ ๕. ผลสูตรที่ ๒ ๖. อริฏฐสูตร ๗. กัปปินสูตร ๘. ทีปสูตร ๙. เวสาลีสูตร ๑๐. กิมิลสูตร. .. อรรถกถา สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค อานาปานสังยุตต์ เอกธรรมวรรคที่ ๑ ๑๐. กิมิลสูตร จบ. |