บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
คำว่า ย่อมค้นคว้า คือ ย่อมเลือกเฟ้นด้วยอำนาจแห่งความไม่เที่ยงเป็นต้น. อีก ๒ บทนอกนี้เป็นคำใช้แทนคำว่า ย่อมค้นคว้า นี้เอง. คำว่า อันหาอามิสมิได้ คือ ไม่มีกิเลส ได้แก่ ทั้งกายทั้งจิตย่อมสงบรำงับด้วยความสงบรำงับความกระวนกระวายทางกายและทางใจ. คำว่า ย่อมตั้งมั่น ได้แก่ ถูกตั้งไว้โดยชอบ คือเป็นเหมือนอัปปนาจิต. คำว่า ย่อมเป็นผู้วางเฉยอย่างยิ่ง คือ ย่อมเป็นผู้วางเฉยอย่างยิ่งด้วยความวางเฉยอย่างยิ่งต่อธรรมที่เกิดร่วมด้วย. สติในกายนั้นของภิกษุผู้กำหนดกายด้วยวิธี ๑๔ อย่างดังที่ว่ามานี้ ชื่อว่าสติสัม เหมือนอย่างว่า เมื่อพวกม้าวิ่งไปสม่ำเสมอ การทิ่มแทงว่าตัวนี้ชักช้า หรือการรั้งว่าตัวนี้วิ่งเร็วเกินไป ย่อมไม่มีแก่สารถี มีเพียงอาการตั้งอยู่ของม้าที่วิ่งอยู่อย่างนั้นอย่างเดียวฉันใดเทียว อาการที่เป็นกลางๆ คือไม่หย่อนไม่ตึงเกินไป ของโพชฌงค์ทั้ง ๖ นี้ ก็ชื่อว่าเป็นอุเบกขาสัมโพชฌงค์ฉันนั้นแล. ด้วยถ้อยคำเท่านี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสอะไรไว้ ได้ตรัสชื่อว่า วิปัสสนา โพชฌงค์พร้อมทั้งลักษณะที่ประกอบด้วยขณะจิตเดียวไว้แล้ว. คำเป็นต้นว่า อันอาศัยวิเวก มีใจความที่กล่าวไว้เสร็จแล้ว. ถามว่า ก็ในสูตรนี้ ทรงแสดงสติกำหนดลมหายใจออกและหายใจเข้าสิบหกครั้ง เป็นแบบเจือกันไปอย่างไร. ตอบว่า การตั้งสติ (สติปัฏฐาน) ที่มีลมหายใจออกและหายใจเข้าเป็นมูล เป็นส่วนเบื้องต้น ความระลึกถึงลมหายใจออกและหายใจเข้าซึ่งเป็นมูล เป็นส่วนเบื้องต้นของการตั้งสติเหล่านั้น การตั้งสติที่ยังโพชฌงค์ให้บริบูรณ์ก็เป็นส่วนเบื้องต้น แม้โพชฌงค์เหล่านั้นก็เป็นส่วนเบื้องต้น แต่โพชฌงค์ที่ทำให้ความรู้แจ้ง และความหลุดพ้นบริบูรณ์เป็นโลกุตระที่ให้เกิดขึ้นแล้ว ความรู้แจ้งและความหลุดพ้นเป็นสิ่งที่ประกอบกับอริยผล หรือความรู้แจ้งเป็นสิ่งที่ประกอบกับมรรคที่ ๔ ความหลุดพ้นเป็นสิ่งที่ประกอบกับผลด้วยประการฉะนี้. จบอรรถกถาปฐมอานันทสูตรที่ ๓ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค อานาปานสังยุตต์ ทุติยวรรคที่ ๒ ๓. อานันทสูตรที่ ๑ จบ. |