ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 19 / 1อ่านอรรถกถา 19 / 1476อรรถกถา เล่มที่ 19 ข้อ 1481อ่านอรรถกถา 19 / 1482อ่านอรรถกถา 19 / 1786
อรรถกถา สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค โสตาปัตติสังยุตต์ ราชการามวรรคที่ ๒
๑. สหัสสสูตร

               ราชการามวรรควรรณนา               
               อรรถกถาสหัสสสูตรที่ ๑               
               พึงทราบอธิบายในสหัสสสูตรที่ ๑ แห่งราชการามวรรคที่ ๒.
               คำว่า ราชการาม ได้แก่ อารามที่ได้ชื่ออย่างนี้ เพราะพระราชาทรงให้สร้าง.
               ถามว่า พระราชาองค์ไหน. ตอบว่า พระเจ้าปเสนทิโกศล.
               ทราบมาว่า ในปฐมโพธิกาล พวกเดียรถีย์เห็นพระศาสดาที่ทรงถึงความเลิศด้วยยศและลาภ พากันคิดแล้วว่า พระสมณโคดมถึงความเลิศด้วยลาภและยศ ก็ศีลหรือสมาธิอย่างอื่นไรๆ ของพระสมณโคดมนั้นไม่มี พระสมณโคดมนั้นถึงความเลิศด้วยลาภและยศอย่างนี้ เป็นเหมือนถือเอาพื้นแผ่นดินที่สมบูรณ์เป็นเลิศ ถ้าแม้พวกเราอาจให้สร้างวัดใกล้พระเชตวันได้ ก็จะพึงเป็นผู้ถึงความเลิศด้วยลาภและยศ.
               เดียรถีย์เหล่านั้นจึงชักชวนอุปัฏฐากของตนได้ประมาณแสนคน ได้กหาปณะ แล้วได้พาอุปัฏฐากเหล่านั้นไปราชสำนัก.
               พระราชาตรัสถามว่า นี่อะไรกัน. ทูลว่า พวกข้าพระองค์จะสร้างวัดของเดียรถีย์ใกล้เชตวัน ถ้าว่าพระสมณโคดม หรือพวกสาวกของพระสมณโคดมจักมาห้ามไซร้ ขอพระองค์อย่าให้เพื่อจะห้ามเลย แล้วได้ถวายสินบน.
               พระราชารับสินบนแล้วตรัสว่า พวกท่านจงไปสร้างเถิด.
               พวกเดียรถีย์นั้นจึงให้พวกอุปัฏฐากของตนขนทัพพสัมภาระมา แล้วทำการยกเสาเป็นต้น เปล่งเสียงอึกทึกลือลั่น ทำโกลาหลเป็นอย่างเดียวกัน.
               พระศาสดาเสด็จออกจากพระคันธกุฎีประทับที่หน้ามุข ตรัสถามแล้วว่า อานนท์ ก็คนพวกนั้นเหล่าไหน เห็นจะเป็นพวกชาวประมงเปล่งเสียงอึกทึกลือลั่น แย่งปลากันอยู่.
               อา. พวกเดียรถีย์สร้างวัดของเดียรถีย์ใกล้พระเชตวัน พระเจ้าข้า.
               ศ. อานนท์ พวกนี้เป็นศัตรูต่อศาสนา จะทำให้อยู่ไม่เป็นสุขแก่หมู่ภิกษุ เธอจงทูลพระราชาและให้รื้อออกไป.
               พระเถระพร้อมด้วยหมู่ภิกษุได้ไปยืนที่พระทวารหลวง. ราชบุรุษทั้งหลายกราบทูลแก่พระราชาว่า ข้าแต่สมมติเทพ พวกพระเถระมาเฝ้า. พระราชามิได้เสด็จออกไป เพราะได้รับสินบนไว้แล้ว. พระเถระทั้งหลายจึงไปกราบทูลพระศาสดา.
               พระศาสดาทรงส่งพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะไป. พระราชาไม่ได้พระราชทานแม้การเฝ้าแก่พระเถระทั้งสองนั้น พระเถระเหล่านั้นจึงมากราบทูลพระศาสดาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระราชาไม่ได้เสด็จออกเลย.
               พระศาสดาทรงพยากรณ์ในขณะนั้นทีเทียวว่า พระราชาดำรงอยู่ในราชสมบัติของตนจักไม่ได้เพื่อจะทำกาละ. วันที่สอง พระองค์นั่นเทียวมีหมู่ภิกษุเป็นบริวาร ได้เสด็จไปประทับยืนที่ประตูหลวง.
               พระราชาทรงสดับว่าพระศาสดาเสด็จมาแล้ว จึงเสด็จออกไปกราบทูลให้เสด็จเข้านิเวศน์ ให้ประทับนั่งบนสารบัลลังก์ ได้ทรงถวายข้าวต้มและของเคี้ยว.
               พระศาสดาเสวยข้าวต้มและของเคี้ยวแล้ว ไม่ตรัสว่า มหาบพิตร พระองค์ทำเหตุนี้แล้วกะพระราชาผู้เสด็จมาประทับนั่งด้วยพระราชดำริว่า เราจักนั่งในสำนักของพระศาสดาจนกว่าพระกระยาหารจะเสร็จ. จึงทรงดำริว่า เราจะให้พระราชานั้นยินยอม ด้วยเหตุทีเดียว จึงทรงนำเหตุในอดีตนี้มาว่า มหาบพิตร ขึ้นชื่อว่าการให้พวกบรรพชิตรบกันและกันไม่สมควร พระราชาทรงให้พวกฤาษีเหล่านั้นรบกันและกันแล้ว ได้จมมหาสมุทรไปพร้อมกับแว่นแคว้น.
               พระราชาตรัสถามว่า เมื่อไร ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
               มหาบพิตร ในอดีต พระราชาพระนามว่า ภุรุ ในแว่นแคว้นภุรุ ครองราชสมบัติอยู่. คณะฤาษี ๒ คณะๆ ละ ๕๐๐ ไปจากเชิงภูเขาภุรุนครเพื่อจะเสพรสเค็มและเปรี้ยว.
               ที่ไม่ไกลพระนครมีต้นไม้อยู่สองต้น. คณะฤาษีที่มาก่อนนั่งอยู่ที่โคนต้นไม้ต้นหนึ่ง. แม้คณะฤาษีที่มาภายหลังก็ได้นั่งที่โคนต้นไม้อีกต้นหนึ่ง. พวกฤาษีได้อยู่ตามความพอใจแล้วไปที่เชิงเขาเทียว. พวกฤาษีนั้นแม้มาอีกก็ได้นั่งในที่หนึ่งแห่งโคนต้นไม้ของตน. พวกฤาษีนั้นที่มาภายหลังก็ได้นั่งที่โคนต้นไม้ของตนเหมือนกัน.
               เมื่อเวลาผ่านไปนาน ต้นไม้ต้นหนึ่งแห้ง (ตาย). พวกดาบสที่ต้นไม้แห้งนั้นคิดว่า ต้นไม้ต้นนี้ (ต้นที่ไม่แห้ง) ใหญ่จักเพียงพอแม้แก่พวกเรา แม้แก่ดาบสเหล่านั้น จึงนั่งในที่แห่งหนึ่งของต้นไม้ของพวกดาบสนอกนี้.
               ดาบสเหล่านั้นมาแล้วภายหลังไม่เข้าไปที่โคนไม้นั้น ดาบสเหล่านั้นกล่าวว่า ท่านอาจารย์ ต้นไม้ของพวกกระผมแห้งตาย ต้นไม้นี้ต้นใหญ่ แม้พวกท่านก็จงเข้าไปเถิด จักพอแม้แก่พวกท่าน.
               พวกดาบสกล่าวว่า พวกเราจะไม่เข้าไป พวกท่านจงออกไป แล้วขยายถ้อยคำกล่าวว่า พวกท่านจักไม่เต็มใจออกไปหรือ จึงจับที่มือเป็นต้นดึงออกไป.
               ดาบสเหล่านั้นจึงคิดว่า ช่างเถิด เราจักให้พวกฤาษีนั้นสำเหนียก แล้วนิรมิตล้อ ๒ ล้อสำเร็จด้วยทองและเพลาสำเร็จด้วยเงินด้วยฤทธิ์ได้ให้หมุนไปพระทวารหลวง. พวกราชบุรุษกราบทูลคำเห็นปานนี้ให้พระราชาทรงทราบว่า พระเจ้าข้า พวกดาบสถือเครื่องบรรณาการยืนอยู่แล้ว.
               พระราชาทรงยินดีแล้วตรัสว่า พวกท่านจงเรียกมา ให้เรียกมาแล้วตรัสว่า พวกท่านทำกรรมใหญ่แล้ว เรื่องไรๆ ที่ข้าพเจ้าจะพึงทำแก่พวกท่านมีอยู่หรือ.
               ดา. ขอถวายพระพร มหาบพิตร มีโคนต้นไม้ต้นหนึ่งซึ่งเป็นที่นั่งของพวกข้าพระองค์ โคนไม้นั้นถูกพวกฤาษีอื่นยึดแล้ว ขอพระองค์จงให้พวกฤาษีโคนไม้นั้นแก่พวกข้าพระองค์.
               พระราชาจึงส่งพวกบุรุษไปให้คร่าพวกดาบสออกไป.
               พวกฤาษีที่ยืนภายนอก แลดูอยู่ว่า พวกดาบสนี้ให้อะไรหนอแลจึงได้แล้ว เห็นว่าชื่อนี้ จึงคิดว่า ถึงแม้พวกเราให้สินบนแล้วก็จะถือเอาอีก จึงนิรมิตหน้าต่างรถแล้วด้วยทองด้วยฤทธิ์ ถือไปแล้ว.
               พระราชาทรงเห็นแล้วยินดี ตรัสว่า เจ้าข้า ข้าพเจ้าพึงทำอย่างไร.
               พวกดาบสทูลว่า มหาบพิตร คณะฤาษีอื่นนั่งที่โคนไม้ของพวกข้าพระองค์ ขอพระองค์จะประทานโคนไม้นั้นเถิด.
               พระราชาทรงส่งพวกบุรุษไปให้คร่าดาบสเหล่านั้นออกไป.
               พวกดาบสทำการทะเลาะกันและกันแล้ว เป็นผู้เดือนร้อนว่า พวกเราทำกรรมไม่สมควรแล้ว จึงได้ไปเชิงเขาแล้วแล.
               ลำดับนั้น เทวดาโกรธแล้วว่า พระราชานี้รับสินบนจากมือของคณะดาบสแม้ทั้งสอง ให้ทำการทะเลาะกันและกัน จึงทดมหาสมุทรทำที่แห่งหนทางประมาณพันโยชน์แห่งแว่นแคว้นของพระราชานั้นให้เป็นสมุทรทีเดียว.
                         ข้าพเจ้าได้ฟังมาว่า ภุรุราชา ทำให้ดาบส
                         ทั้งหลายมีระหว่างใน (แตกกัน) พระราชา
                         นั้น พร้อมกับแว่นแคว้นจึงถูกทำลายแล้ว
                         ถึงความเสื่อมแล้ว.
๑-
____________________________
๑- ขุ. ชา. เล่ม ๒๗/ข้อ ๒๗๕

               ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอดีตนี้อย่างนี้แล้ว เพราะขึ้นชื่อว่าถ้อยคำของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย บุคคลควรเชื่อ เหตุนั้น พระราชาทรงกำหนดใคร่ครวญกิริยาของพระองค์แล้ว ทรงดำริว่า กรรมที่ไม่ควรทำเราได้ทำแล้ว จึงตรัสว่า พนาย พวกท่านจงไปคร่าเอาพวกเดียรถีย์ออกไป.
               ครั้นให้คร่าออกไปแล้วทรงดำริว่า วิหารที่เราให้สร้างยังไม่มี เราจักให้สร้างวิหารในที่นั้นนั่นแหละ แล้วไม่พระราชทานทัพพสัมภาระแก่เดียรถีย์เหล่านั้น ทรงให้สร้างวิหารแล้ว.
               คำนั้น (ราชการาม) พระสังคีติกาจารย์กล่าวแล้วหมายเอาวิหารนั้น.

               จบอรรถกถาสหัสสสูตรที่ ๑               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค โสตาปัตติสังยุตต์ ราชการามวรรคที่ ๒ ๑. สหัสสสูตร จบ.
อ่านอรรถกถา 19 / 1อ่านอรรถกถา 19 / 1476อรรถกถา เล่มที่ 19 ข้อ 1481อ่านอรรถกถา 19 / 1482อ่านอรรถกถา 19 / 1786
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=19&A=8632&Z=8644
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=13&A=7921
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=13&A=7921
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๑๕  ธันวาคม  พ.ศ.  ๒๕๔๙
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :