บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
[แก้อรรถปฐมบัญญัติ เรื่องพระทัพพมัลลบุตร] อีกอย่างหนึ่ง ความว่า ย่อมให้คิดไปทางลามก ก็ในคำว่า อุชฺฌายนฺติ นี้ พึงทราบลักษณะ (แห่งศัพท์) ตามแนวแห่งคัมภีร์ศัพทศาสตร์. ปาฐะว่า โอชฺฌาเปนฺติ ดังนี้ ก็มี. ความก็อย่างนี้เหมือนกัน. บทว่า ฉนฺทาย ได้แก่ โดยความชอบพอกัน คือโดยตกเข้าเป็นฝักฝ่ายกัน. อธิบายว่า ย่อมจัดแจงเสนาสนะที่ประณีต เพื่อพวกภิกษุผู้เป็นเพื่อนเห็นเพื่อนคบกันของตน ด้วยความชอบพอกันนั้น. บทว่า ขิยฺยนฺติ คือ พวกภิกษุเมตติยะและภุมมชกะ เมื่อกล่าวคำว่า ฉนฺทาย ทพฺโพ มลฺลปุตฺโต เป็นต้น ชื่อว่า ย่อมประกาศ. ในคำว่า อุชฺฌาปนเก ขิยฺยนเก ปาจิตฺติยํ นี้มีวินิจฉัยว่า พวกภิกษุเมตติยะและภุมมชกะย่อมให้โพนทะนาด้วยคำใด คำนั้นชื่อว่าอุชฌาปนกะ. และบ่นว่าด้วยคำใด คำนั้นชื่อว่าขิยยนกะ. ในเพราะความเป็นผู้ให้โพนทะนา ในเพราะความเป็นผู้บ่นว่านั้น. ด้วยบท ปาจิตฺติยํ พระผู้มีพระภาคเจ้าปรับปาจิตตีย์ ๒ ตัว ใน ๒ วัตถุ. บทเหล่านี้ว่า อุชฺฌาปนกํ นาม อุปสมฺปนฺนํ สงฺเฆน สมฺมตํ เสนาสนปญฺญาปกํ วา ฯปฯ อปฺปมตฺตกวิสฺสชฺชกํ วา ดังนี้ เชื่อมความกับบทว่า มงฺกุกตฺตุกาโม (มีความประสงค์จะทำให้อัปยศ) นี้. ด้วยอำนาจแห่งบทเหล่านี้ว่า อวณฺณํ กตฺตุกาโม อยสํ กตฺตุกาโม บัณฑิตพึงกระทำการเปลี่ยนวิภัตติในบทว่า อุปสมฺปนฺนํ เป็นต้น อย่างนี้ว่า อุปสมฺปนฺนสฺส ดังนี้. ก็เพราะในคำว่า อุชฺฌาเปติ วา ขิยฺยติ วา อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺส นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้ทรงยกบทมาติกาขึ้นอย่างนี้ว่า ขียนกํ นาม ดังนี้แล้ว จะพึงตรัสวิภังค์ที่ตรัสแล้วนั้นแหละ แห่งบทว่า อุชฺฌาปนกํ นาม นี้ (แต่) ความแปลกันอย่างอื่น (ในสิกขาบทนี้) ไม่มี เหมือนในอัญญวาทสิกขาบท เพราะฉะนั้น บัณฑิตพึงทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงยกขึ้น ทั้งไม่ทรงแจกบทมาติกานั้น แยกไว้ต่างหาก ทรงทำคำนิคมเท่านั้นไว้รวมกัน. ในคำเป็นต้นว่า ธมฺมกมฺเม ธมฺมกมฺมสญฺญี นี้ บัณฑิตพึงทราบใจความโดยนัยนี้ว่า สมมติกรรมใด สงฆ์ทำแล้วเพื่ออุปสัมบันนั้น, ถ้ากรรมนั้นเป็นกรรมชอบธรรม และภิกษุนั้นมีความสำคัญในกรรมนั้นว่ากรรมชอบธรรม ย่อมทำการโพนทะนาและบ่นว่า. ลำดับนั้น ภิกษุนั้นต้องอาบัติปาจิตตีย์ ในเพราะความเป็นผู้โพนทะนาและบ่นว่านั้น. ในคำว่า อนุปสมฺปนฺนํ อุชฺฌาเปติ วา ขิยฺยติ วา มีเนื้อความว่า ภิกษุย่อมยังอนุปสัมบันอื่นให้โพนทะนา อุปสัมบันผู้อันสงฆ์สมมติแล้ว หรือให้ดูหมิ่นก็ดี บ่นว่าเธอในสำนักแห่งอนุปสัมบันนั้นก็ดี. คำว่า อุปสมฺปนฺนํ สงฺเฆน อสมฺมตํ มีความว่า ผู้อันสงฆ์มิได้สมมติด้วยกรรม ก็การให้สมมติ ๑๓ อย่าง แก่อนุปสัมบันย่อมไม่ควร แม้โดยแท้, ถึงอย่างนั้น อนุปสัมบันผู้ได้รับสมมติในคราวเป็นอุปสัมบัน ภายหลังตั้งอยู่ในความเป็นอนุปสัมบัน พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอาอนุปสัมบันนั้นว่า หรือผู้อันสงฆ์สมมติ ในคำว่า อนุป บทที่เหลือตื้นทั้งนั้น. สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๓ เกิดขึ้น ทางกายกับจิต ๑ ทางวาจากับจิต ๑ ทางกายวาจากับจิต ๑ เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม วจีกรรม อกุศลจิต เป็นทุกขเวทนา แล. อุชฌาปนสิกขาบทที่ ๓ จบ. ------------------------------------------------------------ .. อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ ภูตคามวรรคที่ ๒ สิกขาบทที่ ๓ จบ. |