บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
____________________________ ๑- ศัพท์ที่เป็นชื่อขาทนียะโภชนียะและเภสัชเป็นต้น เท่าที่ค้นหาได้แปลไว้ในสิกขาบทนี้ ยังไม่แน่ใจขอฝากให้ท่านผู้รู้พิจารณาแก้ไขต่อไป. ผู้ชำระ. [เรื่องภิกษุสัตตรสวัคคีย์ไปดูมหรสพบนยอดเขา] อีกอย่างหนึ่ง ได้แก่ มหรสพ (ที่แสดง) บนยอดเขาแห่งภูเขา. ทวยนครทำการโฆษณาในเมืองว่า นัยว่า มหรสพนั้นจักมีกันในวันที่ ๗. ฝูงชนเป็นอันมากได้ชุมนุมกันที่ร่มเงาแห่งบรรพต บนภูมิภาคที่ราบเรียบภายนอกเมือง การฟ้อนรำของพวกนักฟ้อน มีประการมากมายหลายอย่างเป็นไปอยู่. ชนทั้งหลายได้ผูกเตียงซ้อนเตียง เพื่อดูการฟ้อนรำของพวกนักฟ้อนเหล่านั้น. พวกภิกษุสัตตรสวัคคีย์อุปสมบทแต่ยังเด็กๆ ในเมื่อสิกขาบทยังมิได้ทรงบัญญัติ. ภิกษุเหล่านั้นชักชวนกันว่า ผู้มีอายุ! พวกเราจักไปดูฟ้อนรำกัน แล้วได้ไปในที่นั้น. ครั้งนั้น เหล่าญาติของพวกเธอมีจิตยินดีว่า พระผู้เป็นเจ้าของพวกเราก็มาด้วย จึงให้อาบน้ำ ลูบไล้ ให้ฉันแล้ว ได้ถวายแม้ของอื่น มีขนมและของควรเคี้ยวเป็น ต้นติดมือไปด้วย. พระธรรมสังคาห บทว่า วิกาเล คือ ในเมื่อกาลผ่านไปแล้ว. กาลแห่งโภชนะของภิกษุทั้งหลายท่านประสงค์เอาว่า กาล ก็กาลแห่งโภชนะนั้นโดยกำหนดอย่างต่ำกว่าเขาทั้งหมด เที่ยงวัน. อธิบายว่า เมื่อกาล (เวลา) เที่ยงวันนั้นล่วงเลยไปแล้ว. ด้วยเหตุนั้นนั่นแหละ ในบทภาชนะแห่งบทว่า วิกาเล นั้น พระอุบาลีเถระจึงกล่าวว่า เมื่อกาลเที่ยงวันล่วงไปแล้วจนถึงอรุณขึ้น ชื่อว่าวิกาล แม้เวลาเที่ยงตรงก็ถึงการสงเคราะห์เข้าเป็นกาล. จำเดิมแต่เวลาเที่ยงตรงไป ภิกษุไม่อาจเพื่อจะเคี้ยวหรือฉันได้ (แต่) ยังอาจเพื่อจะรีบดื่มได้, ส่วนภิกษุผู้มีความรังเกียจไม่พึงทำ. และเพื่อรู้กำหนดกาลเวลา ควรปักเสาเครื่องหมายกาลเวลาไว้. อนึ่ง พึงทำภัตกิจภายในกาล. ในคำว่า อวเสสํ ขาทนียํ นาม นี้ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :- ในอาหารวัตถุมีขนมต้มเป็นต้น๑- ที่สำเร็จมาแต่บุพพัณชาติ และอปรัณชาติมีคำที่ควรจะกล่าวก่อนอย่างนี้ :- วัตถุแม้ใดมีชนิดเช่นใบและรากเหง้าเป็นต้น เป็นของมีคติอย่างอามิส, นี้ คืออย่างไร? คือ วัตถุแม้นี้เป็นต้นว่า รากควรเคี้ยว หัวควรเคี้ยว เหง้าควรเคี้ยว ยอดควรเคี้ยว ลำต้นควรเคี้ยว เปลือกควรเคี้ยว ใบควรเคี้ยว ดอกควรเคี้ยว ผลควรเคี้ยว เมล็ดควรเคี้ยว แป้งควรเคี้ยว ยางเหนียวควรเคี้ยว ย่อมถึงการสงเคราะห์เข้าในขาทนียะ (ของควรเคี้ยว) ทั้งนั้น. ก็ในมูลขาทนียะเป็นต้นนั้น เพื่อกำหนดรู้ของควรเคี้ยวมีคติอย่างอามิส มีของควรเคี้ยว ซึ่งจะชี้ให้เห็นพอเป็นตัวอย่างดังต่อไปนี้ :- ____________________________ ๑- อัตถโยชนา ๒/๗๐ สกฺขลิโมทโกติ วฏฏโมทโก. ชาวอินเดียเรียกขนมชนิดนี้ว่า ลัฑฑู นัยว่า ทำจากแป้งเป็นก้อนกลมๆ ข้างในใส่ไส้แล้วทอดด้วยน้ำมันพืชลักษณะใกล้กับขนมต้มของไทย จึงได้แปลไว้อย่างนั้น. -ผู้ชำระ. [อธิบายของควรเคี้ยวที่จัดเป็นกาลิกต่างๆ] ใบและรากที่ควรเป็นสูปะ (กับข้าว) ได้ มีอาทิอย่างนี้ คือมูลกมูล วารกมูล ปุจ ส่วนเภสัชเหล่าใดที่ตรัสไว้ในพระบาลีว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตมูลเภสัช คือขมิ้น ขิง ว่านน้ำ ว่านเปราะ อุตพิด ข่า แฝก แห้วหมู ก็หรือมูลเภสัชแม้ชนิดอื่นใดบรรดามี ที่ไม่สำเร็จประโยชน์แก่ของควรเคี้ยวในของควรเคี้ยว ที่ไม่สำเร็จประโยชน์แก่ของควรบริโภคในของควรบริโภค๒- ดังนี้. เภสัชเหล่านั้น เป็นยาวชีวิก. เภสัชเป็นยาวชีวิกเหล่านั้น เมื่อคำนวณนับโดยนัยเป็นต้นว่า จูฬเบญจมูล มหาเบญจมูล (รากทั้งห้า รากทั้งห้าใหญ่) ไม่มีที่สุดด้วยการนับ. ก็ภาวะ คือ ความไม่สำเร็จประโยชน์แก่ขาทนียะ และประโยชน์แก่โภชนียะนั่นแล เป็นลักษณะแห่งมูลเภสัชที่เป็นยาวชีวิกเหล่านั้น. เพราะฉะนั้น ๓- รากเหง้าชนิดใดชนิดหนึ่ง สำเร็จประโยชน์แก่ขาทนียะ และประโยชน์แก่โภชนียะของพวกมนุษย์ ด้วยอำนาจแห่งอาหารตามปรกติในชนบทนั้นๆ, รากเหง้านั้น พึงทราบว่า เป็นยาว ในหัวควรเคี้ยว มีวินิจฉัยดังนี้ :- หัวมัน (หัวใต้ดิน) มี ๒ ชนิด คือ ชนิดยาว ๑ ชนิดกลม ๑ หัวบัว ส่วนจำพวกหัวที่สำเร็จประโยชน์แก่ขาทนียะและประโยชน์แก่โภชนียะของพวกมนุษย์ ด้วยอำนาจอาหารตามปรกติในชนบทนั้นๆ มีอาทิอย่างนี้ คือหน่อต้นขานางที่ยังอ่อน เคี้ยวง่าย หัวอ่อนต้นทองกวาว หัวต้นมะกอก หัวการะเกด หัวเถาย่านทราย หัวบัวหลวงและบัวขาวที่เรียกกันว่าเหง้าบัว หัวเถาวัลย์มีเถาพวงและเถาหูกวางเป็นต้น หัวเครือเขา๔- หัวต้นมะรุม หัวตาล หัวบัวเขียวบัวแดง โกมุทและจงกลนี หยวกกล้วย หน่อ ส่วนหัวของกระทือกระเม็ง (ไพร) กระชาย (ขิง) และกระเทียมเป็นต้น เป็น ในมูลฬาลขาทนียะ มีวินิจฉัยดังนี้ :- เหง้าบัวหลวงเป็นเช่นเดียวกันกับเหง้าบัวขาวนั่นแหละ. เหง้าที่สำเร็จประโยชน์แก่ขาทนียะ และประโยชน์แก่โภชนียะของพวกมนุษย์ ด้วยอำนาจอาหารตามปรกติในชนบทนั้นๆ มีอาทิอย่างนี้ คือเหง้าตะไคร้น้ำ เหง้าเถาคล้า เป็นยาวกาลิก. ส่วนเหง้าของขมิ้น ขิง ปอ เถา ๔ เหลี่ยม การะเกด ตาล เต่าร้าง ต้นตาว๕- มะพร้าว ต้นหมากเป็นต้น จัดเป็นยาวชีวิก. เหง้าขมิ้นเป็นต้นแม้ทั้งหมดนั้น ท่านสงเคราะห์เข้ากับมูลเภสัชเหมือนกัน ในพระบาลีอย่างนี้ว่า ก็หรือว่า มูลเภสัชแม้ชนิดอื่นในบรรดามี. ในมัตถกขาทนียะ มีวินิจฉัยดังนี้ :- ยอดหรือหน่อแห่งต้นไม้และเถาวัลย์เป็นต้น ที่สำเร็จประโยชน์แก่ขาทนียะ และประโยชน์แก่โภชนียะของพวกมนุษย์ด้วยอำนาจอาหารตามปรกติในชนบทนั้นๆ มีอาทิอย่างนี้ คือ ยอดที่เรียกกันว่าหน่อของตาล เต่าร้าง ต้นตาว การะเกด มะพร้าว ต้นหมาก อินทผลัม (เป้งก็ว่า) หวาย ตะไคร้น้ำ และกล้วย หน่อไม้ไผ่ หน่ออ้อ หน่ออ้อย หน่อเผือกมัน หน่อเมล็ดพันธุ์ผักกาด หน่อสามสิบและหน่อแห่งธัญชาติ ๗ ชนิด จัดเป็นยาวกาลิก. โคนรากอ่อน (ยอดอ่อน) แห่งหน่อขมิ้น ขิง ว่านน้ำ ปอ กระเทียมและแห่งหน่อตาล เต่าร้าง ต้นตาว มะพร้าว ที่เขาตัดให้ขาดตกไปเป็นยาวชีวิก. ____________________________ ๑- หัวเผือกมัน หัวลูกเดือย หัวมันอ้อน หัวมันแดง หัวเถาข้าวสาร หัวผักโหหัด หัวมันใหญ่ หัวผักไห่ หรือผักปลัง วชิรพุทธิฏีกาฉบับพม่า ขาทกมูลนฺติ ยูปสมูลํ. จจฺจุมูลํ=เนฬิยมูลํ. ตมฺพกํ=วจํ. ตณฺฑฺเลยฺยกํ=จูฬกุหุ. วตฺถุเลยฺยกํ=มหากุหุ วชกลิ=นิโกฏฐํ. ชชฺฌริ=หิรโต. -ผู้ชำระ. ๒- วิ. มหา. เล่ม ๕/ข้อ ๒๘/หน้า ๔๑. ๓- โยชนาปาฐะ ๒/๗๒ เป็น ตสฺมา แปลตามนั้นเห็นว่าถูกกว่า -ผู้ชำระ. ๔- ชาวอินเดียเรียกว่า อาลู เป็นมันชนิดหนึ่ง สมัยนี้แปลกันว่า มันฝรั่ง -ผู้ชำระ. ๕- บางท่านก็ว่า ต้นลาน. [ว่าด้วยลำต้นเปลือกและใบที่ควรเคี้ยว] ลำต้นมีอาทิอย่างนี้ คือลำต้นไม้ขานาง ลำอ้อย สายบัวเขียว บัวแดง โกมุท และจงกลนีที่อยู่ภายในปฐพี ที่สำเร็จประโยชน์แก่ขาทนียะและประโยชน์แก่โภชนียะ ของพวกมนุษย์ด้วยอำนาจแห่งอาหารตามปรกติในชนบทนั้นๆ จัดเป็นยาว ในตจขาทนียะ มีวินิจฉัยดังนี้ :- เปลือกอ้อยอย่างเดียวเท่านั้น ท่านจัดเป็นยาวกาลิก. เปลือกอ้อยแม้นั้น ยังเป็นของมีรส (หวานอยู่). เปลือกที่เหลือทุกอย่างเป็นยาวชีวก. ก็ยอด ลำต้นและเปลือกทั้ง ๓ นั้น พึงทราบว่า สงเคราะห์เข้ากับกสาวเภสัชในพระบาลี. สมดังคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้นี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตกสาวเภสัช (น้ำฝาดที่เป็นยา) คือน้ำฝาดสะเดา น้ำฝาดมูกมัน (น้ำฝาดกระดอมหรือมูลกา๑-) น้ำฝาดบอ ระเพ็ดหรือพญามือเหล็ก น้ำฝาดกถินพิมาน, ก็หรือกสาวเภสัชแม้ชนิดอื่นใดบรรดามี ที่ไม่สำเร็จประโยชน์แก่ของควรเคี้ยวในของควรเคี้ยว ที่ไม่สำเร็จประโยชน์แก่ของควรบริโภคในของควรบริโภค.๒- การสงเคราะห์ยอดลำต้นและเปลือกแม้เหล่านี้เข้าในพระพุทธานุญาตนี้ ย่อมสำเร็จ (ย่อมใช้ได้). และจำพวกน้ำฝาดที่กล่าวแล้วบัณฑิตพึงทราบว่า เป็นของสมควรโดยประการทุกอย่าง. ในปัตตขาทนียะ มีวินิจฉัยดังนี้ :- ใบทั้งหลายแห่งรุกชาติเหล่านี้ คือเผือกมัน ลูกเดือย มันอ้อน และมันแดง มะพลับ บุนนาค ผักโหมหัด มันใหญ่ ผักไห่ หรือผักปลัง มะคำไก่ หรือมะกอก กะเพรา ถั่วเขียวจีน ถั่วเหลือง ถั่วราชมาษ ยอป่าที่เหลือ เว้นยอใหญ่ (ยอบ้านเสีย) คนทิสอ หรือพังคี เบญจมาศ กุ่มขาว มะพร้าว ชาเกลือเกิดบนดิน และใบไม้เหล่าอื่นเห็นปานนี้ ที่สำเร็จประโยชน์แก่ของควรเคี้ยว และสำเร็จประโยชน์แก่ของควรบริโภคของพวกมนุษย์ด้วยอำนาจอาหารตามปรกติในชนบทนั้นๆ จัดเป็นยาว แต่ชาเกลือมีใบขนาดเท่าหลังเล็บเขื่องๆ แม้อื่นใด เลื้อยขึ้นบนต้นไม้หรือพุ่มไม้, พวกอาจารย์ชาวเกาะ (ชาวชมพูทวีปหรือชาวลังกาทวีป) กล่าวใบชาเกลือนั้นว่า เป็นยาวชีวก และใบพรหมี๓- ว่าเป็นยาวชีวิก. ใบมะม่วงอ่อนเป็นยาว ก็หรือใบอื่นใดที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในพระบาลีว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตปัณณเภสัช (ใบไม้ที่เป็นยา) คือใบสะเดา ใบมูกมัน ใบกระดอม หรือกะเพรา หรือแมงรักใบฝ้าย, ก็หรือปัณณเภสัช แม้ชนิดอื่นใดบรรดามีที่ไม่สำเร็จประโยชน์แก่ของควรเคี้ยว ในของควรเคี้ยวที่ไม่สำเร็จประโยชน์แก่ของควรบริโภค ในของควรบริโภค๔- ดังนี้. ใบเหล่านั้นเป็นยาวชีวิก. และไม่ใช่แต่ใบอย่างเดียว แม้ดอกและผลของสะเดาเป็นต้นเหล่านั้นก็เป็นยาว ชีวิก (เหมือนกัน). จำพวกใบที่เป็นยาวชีวิกจะไม่มีที่สุดด้วยอำนาจการนับอย่างนี้ว่า ใบกระดอมหรือมูลกา ใบสะเดาหรือบอระเพ็ด ใบแมงรักหรืออ้อยช้าง ใบตะไคร้หรือผักคราด ใบพลู ใบบัวเป็นต้น. ____________________________ ๑- ในอรรถกถาตกปโฏลกสาวํ ในพระบาลีมีครบ - ผู้ชำระ. ๒- วิ. มหา. เล่ม ๕/ข้อ ๒๙/หน้า ๔๒. ๓- วชิรพทฺธิ. แก้เป็น เทเมเตเยปณสา. ๔- วิ. มหา. เล่ม ๕/ข้อ ๓๐/หน้า ๔๒. [ว่าด้วยดอก ผล เมล็ด แป้ง และยางที่ควรเคี้ยว] ดอกที่สำเร็จประโยชน์แก่ของควรเคี้ยวและที่สำเร็จประโยชน์แก่ของที่ควรบริโภคของหมู่มนุษย์ ด้วยอำนาจแห่งอาหารตามปรกติในชนบทนั้นๆ มีอาทิอย่างนี้ คือดอกเผือกมัน ดอกลูกเดือย ดอกมันอ้อน ดอกมันแดง ดอกมะพลับ (ดอกมันใหญ่) ดอกผักโหมหัด ดอกผักไห่ ดอกยอป่า ดอกยอใหญ่ (ยอ ส่วนดอกของพวกรุกขชาติ เช่น อโศก พิกุล กระเบา บุนนาค จำปา ชาตบุษย์ ชบา กรรณิการ์ คล้า (ตาเลีย) มะลิวัน มะลิซ้อนเป็นต้น เป็นยาว ในผลขาทนียะ มีวินิจฉัยดังนี้ :- ผลไม้ทั้งหลายมีขนุน ขนุนสำปะลอ ตาล มะพร้าว มะม่วง ชมพู่ มะกอก มะขาม มะงั่ว มะขวิด น้ำเต้า ฟักเขียว ผลแตงไทย มะพลับ แตงโม มะเขือ (มะแว้ง) กล้วยมีเมล็ด กล้วยไม่มีเมล็ดและมะซางเป็นต้น (และ) จำพวกผลไม้ที่สำเร็จประโยชน์แก่ของควรเคี้ยว และที่สำเร็จประโยชน์แก่ของควรบริโภคของหมู่มนุษย์ด้วยอาหารตามปกติในชนบทนั้นๆ ในโลก ทุกๆ อย่างเป็นยาว ก็แลผลเหล่าใดที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในพระบาลีว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตผลเภสัช (ผลไม้ที่เป็นยา) คือลูกพิลังกาสา ดีปลี พริก สมอไทย สมอพิเภก มะขามป้อม ผลแห่งโกฐ, ก็หรือผลเภสัชชนิดอื่น ผลเหล่านั้นเป็นยาวชีวิก. แม้ผลไม้ที่เป็นยาวชีวิกเหล่านั้น ใครๆ ก็ไม่อาจจะแสดงให้สิ้นสุดลงด้วยอำนาจแห่งชื่ออย่างนี้ คือ พวกผลแห่งหมากไฟ (ลูกเข็ม) ลูกไทร หรือตำลึง การะเกด (ลำเจียก) ไข่เน่า (มะตูม) เป็นต้นที่ยังไม่สุก ลูกจันทน์เทศ ลูกข่า (พริก) กระวานใหญ่ กระวาน (เล็ก) เป็นต้น. ____________________________ ๑- วิ. มหา. เล่ม ๕/ข้อ ๓๑/หน้า ๔๒-๔๓. ในอัฏฐิขาทนียะ มีวินิจฉัยดังนี้ :- เมล็ดทั้งหลาย มีอาทิอย่างนี้ คือเมล็ดขนุนสำปะลอ เมล็ดขนุน เมล็ดมะกอก เมล็ดหูกวาง เมล็ดของผลที่ยังอ่อนแห่งจำพวกอินทผลัม (เป้งก็ว่า) การะเกด (ลำเจียก) มะพลับ เมล็ดมะขาม เมล็ดตำลึง เมล็ดสะคร้อ เมล็ดบัว (ลูกบัว) ชนิดอุบลและปทุมที่สำเร็จประโยชน์แก่ของควรเคี้ยว และที่สำเร็จประโยชน์แก่ของควรบริโภค ด้วยอำนาจแห่งอาหารตามปรกติของหมู่มนุษย์ในชนบทนั้นๆ จัดเป็นยาว ในปิฏฐขาทนียะ มีวินิจฉัยดังนี้ :- แป้งทั้งหลายมีอาทิอย่างนี้คือ แป้งแห่งธัญชาติ ๗ ชนิด ธัญชาติอนุโลมและอปรัณชาติ แป้งขนุน แป้งขนุนสำปะลอ แป้งมะกอก แป้งหูกวาง แป้งตาลที่ฟอกแล้ว แป้งหัวกลอย (เถาน้ำนม เถาข้าวสารก็ว่า) ที่สำเร็จประโยชน์แก่ของควรเคี้ยว และที่สำเร็จประโยชน์แก่ของควรบริโภคแห่งหมู่มนุษย์ด้วยอำนาจแห่งอาหารตามปรกติในชนบทนั้น จัดเป็นยาว ____________________________ ๒- ต้นสาคู กระม้ง? ในนิยยาสขาทนียะ มีวินิจฉัยดังนี้ :- ยางอ้อย๓- (น้ำอ้อยตังเม) อย่างเดียว เป็นสัตตาหกาลิก. ยางที่เหลือซึ่งตรัสไว้ในพระบาลีอย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตชตุเภสัช (ยางไม้ที่เป็นยา) คือ ยางอัน บรรดาขาทนียะมีมูลขาทนียะเป็นต้นเหล่านี้ดังกล่าวมานี้ ยาวกาลิกชนิดใดชนิดหนึ่งแม้ทั้งหมด ท่านสงเคราะห์เข้าในอรรถนี้ว่า ที่เหลือ ชื่อว่าขาทนียะ (ของควรเคี้ยว). ส่วนคำที่ควรกล่าวในคำว่า โภชนะ ๕ อย่าง ชื่อว่าโภชนียะ (ของควรบริโภค) เป็นต้น ข้าพเจ้าได้กล่าวแล้วแล. คำว่า ขาทิสฺสามิภุญฺชิสฺสามีติ ปฏิคฺคณฺหาติ อาปตฺติ ทุกฺกฏสฺส มีความว่า ภิกษุใดรับประเคนขาทนียะและโภชนียะนั่นในเวลาวิกาล, ภิกษุนั้นต้องอาบัติทุกกฏในเพราะรับก่อน. บทที่เหลือในสิกขาบทนี้ตื้นทั้งนั้นแล. สิกขาบทนี้มีสมุฏฐานดุจเอฬกโลมสิกขาบท เกิดขึ้น ____________________________ ๓- น้ำอ้อยตังเม คือน้ำอ้อย หรือน้ำตาลเคี่ยวเป็นตังเม - ผู้ชำระ. ๔- วิ. บาลีเป็นตกะ วิกาลโภชนสิกขาบทที่ ๗ จบ. ------------------------------------------------------------ .. อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ โภชนวรรคที่ ๔ สิกขาบทที่ ๗ จบ. |