ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 20 / 1อ่านอรรถกถา 20 / 452อรรถกถา เล่มที่ 20 ข้อ 453อ่านอรรถกถา 20 / 454อ่านอรรถกถา 20 / 596
อรรถกถา อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต ปฐมปัณณาสก์ รถการวรรคที่ ๒
๔. จักกวัตติสูตร

               อรรถกถาจักกวัตติสูตรที่ ๔               
               พึงทราบวินิจฉัยในจักกวัตติสูตรที่ ๔ ดังต่อไปนี้ :-

               ความหมายของคำว่า ราชา               
               ที่ชื่อว่า ราชา เพราะหมายความว่า ทำให้ประชาชนรักด้วยสังคหวัตถุ ๔.
               ที่ชื่อว่า จักรพรรดิ เพราะหมายความว่า ทำจักรให้หมุนไป.
               ที่ชื่อว่า ธัมมิกะ เพราะหมายความว่า มีธรรม.
               ที่ชื่อว่า ธรรมราชา เพราะหมายความว่า ทรงเป็นพระราชาด้วยธรรมนั่นเอง คือด้วยจักรพรรดิวัตร ๑๐ ประการ.
               บทว่า โสปิ น อราชกํ ความว่า พระเจ้าจักรพรรดิแม้นั้น เมื่อไม่ได้พระราชาอื่นเป็นที่อาศัย๑- ก็ไม่ทรงสามารถจะปล่อยจักรไปได้.
____________________________
๑- ปาฐะว่า นิสฺสาย ราชานํ ลภิตฺวา ฉบับพม่าเป็น นิสฺสยราชานํ อลภิตฺวา แปลตามฉบับพม่า.

               พระศาสดาทรงเริ่มเทศนาไว้อย่างนี้แล้ว ได้ทรงนิ่งเสีย.
               ถามว่า เพราะเหตุไร.
               ตอบว่า เพราะพระองค์ทรงดำริว่า ภิกษุทั้งหลายผู้ฉลาดในอนุสนธิจักลุกขึ้นถามอนุสนธิ เนื่องจากว่า ในที่นี้มีภิกษุทำนองนั้นอยู่มาก ครั้นแล้ว เราตถาคตอันภิกษุเหล่านั้นถามแล้ว จึงจักขยายเทศนา. ทันใดนั้น ภิกษุผู้ฉลาดในอนุสนธิรูปหนึ่ง เมื่อจะทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงกราบทูลคำว่า โก ปน ภนฺเต ดังนี้เป็นต้น. ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงพยากรณ์แก่ภิกษุนั้น จึงตรัสคำว่า ธมฺโม ภิกฺขุ ดังนี้เป็นต้น.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธมฺโม ได้แก่ ธรรมคือกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ.
               บทว่า ธมฺมํ ได้แก่ ธรรมมีประการดังกล่าวแล้วนั้นแล.
               บทว่า นิสฺสาย ได้แก่ ทำธรรมนั้นแลให้เป็นที่อาศัยด้วยใจ ซึ่งเป็นที่ตั้งของธรรมนั้น.
               บทว่า ธมฺมํ สกฺกโรนฺโต ความว่า ธรรมที่ตนสักการะแล้วนั่นแลย่อมเป็นอันทำด้วยดีด้วยประการใด ก็กระทำโดยประการนั้นทีเดียว.
               บทว่า ธมฺมํ ครุกโรนฺโต ความว่า เคารพธรรมนั้นด้วยการเกิดความเคารพในธรรมนั้น.
               บทว่า ธมฺมํ อปจายมาโน ความว่า ทำความอ่อนน้อมถ่อมตนด้วยสามีจิกรรมมีการประคองอัญชลีเป็นต้น แก่ธรรมนั้นนั่นแล.
               บทว่า ธมฺมทฺธโช ธมฺมเกตุ ความว่า ชื่อว่าเป็นผู้มีธรรมเป็นธงชัย และชื่อว่าเป็นผู้มีธรรมเป็นตรา เพราะทำธรรมนั้นไว้ข้างหน้า เหมือนนักรบยกธงไว้ข้างหน้า และยกธรรมนั้นขึ้น เหมือนนักรบยกทวนขึ้นเป็นไป.
               บทว่า ธมฺมาธิปเตยฺโย ความว่า ชื่อว่าเป็นผู้มีธรรมเป็นใหญ่ เพราะความเป็นผู้มีธรรมเป็นอธิบดี และเพราะทำกิริยาทั้งปวง (ราชกิจทุกอย่าง) ด้วยอำนาจธรรมนั่นแล.
               ในบทว่า ธมฺมิกํ รกฺขาวรณคุตฺตึ สํวิทหติ พึงทราบอธิบายว่า การรักษาเป็นต้น ชื่อว่าประกอบด้วยธรรม เพราะหมายความว่ามีธรรม. การรักษา การป้องกันและการคุ้มครอง ชื่อว่ารักขาวรณคุตติ.
               บรรดาการรักษา การป้องกันและการคุ้มครองเหล่านั้น คุณธรรมมีขันติเป็นต้น ชื่อว่าการรักษา ตามพระพุทธพจน์ที่ว่า บุคคลเมื่อรักษาคนอื่น ชื่อว่ารักษาตน.
               สมจริงดังพระพุทธดำรัสที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลรักษาคนอื่นด้วยวิธีอย่างไร จึงชื่อว่ารักษาตน บุคคลรักษาคนอื่นด้วยขันติ ด้วยอวิหิงสา ด้วยเมตตาจิต (และ) ด้วยความเป็นผู้มีความเอ็นดู จึงชื่อว่ารักษาตนด้วย ดังนี้.
               การป้องกันสมบัติมีผ้านุ่ง ผ้าห่มและเรือนเป็นต้น ชื่อว่าอาวรณะ.
               การคุ้มครองเพื่อป้องกันอุปัทวันตรายจากโจรเป็นต้น ชื่อว่าคุตติ.
               อธิบายว่า พระเจ้าจักรพรรดิทรงจัดคือทรงวางการรักษา การป้องกันและการคุ้มครองที่ชอบธรรมนั้นทั้งหมดด้วยดี.

               ผู้ที่ต้องจัดอารักขาให้               
               บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงบุคคลที่จะต้องจัดการรักษา ป้องกันและคุ้มครอง พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำว่า อนฺโตชนสฺมึ ดังนี้เป็นต้น. ในบทว่า อนฺโตชนสฺมึ เป็นต้นนั้น มีความย่อดังต่อไปนี้.
               พระเจ้าจักรพรรดิทรงให้พระราชโอรสและพระมเหสี ที่เรียกว่าคนภายใน ดำรงอยู่ในศีลสังวร พระราชทานผ้า ของหอมและพวงมาลาเป็นต้นแก่พระราชโอรสและพระมเหสี พร้อมทั้งป้องกันอุปัทวันตรายทั้งปวงให้แก่พระราชโอรสและพระมเหสีนั้น ชื่อว่าจัดแจงการรักษา การป้องกันและการคุ้มครองที่เป็นธรรมให้.
               แม้ในกษัตริย์เป็นต้นก็มีนัย (ความหมายอย่างเดียวกัน) นี้แล.
               ส่วนความแปลกกันมีดังต่อไปนี้.
               กษัตริย์ผู้ได้รับอภิเษกแล้ว พระเจ้าจักรพรรดิก็ต้องทรงอุปเคราะห์ แม้ด้วยการพระราชทานรัตนะมีม้าอาชาไนยตัวที่มีลักษณะดีเป็นต้นให้. กษัตริย์ที่ตามเสด็จ พระเจ้าจักรพรรดิก็ต้องให้พอพระทัยแม้ด้วยการพระราชทานยานพาหนะที่คู่ควรให้. พลนิกาย พระเจ้าจักรพรรดิก็ต้องอนุเคราะห์ แม้ด้วยการพระราชทานอาหาร บำเหน็จให้ โดยไม่ให้ล่วงเวลา.
               พราหมณ์ทั้งหลาย พระเจ้าจักรพรรดิก็ต้องอนุเคราะห์ด้วยไทยธรรมมีข้าว น้ำและผ้าเป็นต้น. คฤหบดีทั้งหลาย พระเจ้าจักรพรรดิก็ต้องทรงอนุเคราะห์ด้วยการพระราชทานภัตร พืช ไถและโคพลิพัทเป็นต้นให้. ประชาชนผู้อยู่ในนิคม ชื่อว่าเนคมะ ประชาชนที่อยู่ในชนบท ชื่อว่าชานปทะ ประชาชนเหล่านั้นทั้งหมดก็เหมือนกัน คือพระเจ้าจักรพรรดิก็ต้องทรงอนุเคราะห์ด้วย.
               ส่วนสมณพราหมณ์ผู้มีบาปอันสงบแล้ว ลอยบาปได้แล้ว พระเจ้าจักรพรรดิก็ต้องทรงสักการะ ด้วยการพระราชทานสมณบริขารให้. เนื้อและนก พระเจ้าจักรพรรดิก็ต้องทำให้ปลอดโปร่งใจด้วยการพระราชทานอภัยให้.

               พระเจ้าจักรพรรดิใครขัดขวางไม่ได้               
               บทว่า ธมฺเมเนว จกฺกํ วตฺเตติ ความว่า พระเจ้าจักรพรรดิทรงหมุนจักรให้เป็นไปโดยธรรม คือกุศลกรรมบถ ๑๐ นั่นเอง.
               บทว่า ตํ โหติ จกฺกํ อปฺปฏิวตฺติยํ ความว่า จักร คืออาญาสิทธิ์นั้น คือที่พระเจ้าจักรพรรดินั้นให้หมุนไปแล้วอย่างนั้น เป็นของอันมนุษย์คนไหน ให้หมุนกลับไม่ได้.
               บทว่า เกนจิ มนุสฺสภูเตน ความว่า ธรรมดาเทวดาทั้งหลายย่อมทำสิ่งที่ตนปรารถนาๆ ได้ สำเร็จสมปรารถนา เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า มนุสฺสภูเตน ดังนี้ โดยไม่ทรงรวมถึงเทวดาเหล่านั้นด้วย.
               บทว่า ปจฺจตฺถิเกน ได้แก่ ข้าศึก. อธิบายว่า เป็นศัตรูเฉพาะหน้า.
               บทว่า ธมฺมิโก ความว่า พระเจ้าจักรพรรดิทรงเป็นธัมมิกะ ด้วยอำนาจกุศลธรรมบถ ๑๐ ส่วนพระตถาคตทรงเป็นธัมมิกะด้วยอำนาจโลกุตรธรรม ๙.
               บทว่า ธมฺมราชา ความว่า พระตถาคตชื่อว่าเป็นธรรมราชาเพราะหมายความว่า ทำมหาชนให้ยินดี ด้วยโลกุตรธรรม ๙.
               บทว่า ธมฺมํเยว ความว่า พระตถาคตทรงอาศัยโลกุตรธรรม ๙ นั่นแล สักการะธรรมนั้นเคารพธรรมนั้น นอบน้อมธรรมนั้น. ธรรมของพระตถาคตนั้นแลชื่อว่าเป็นธงชัย เพราะหมายความว่าอยู่สูง เพราะเหตุนั้น พระตถาคตนั้นจึงชื่อว่ามีธรรมเป็นธงชัย. ธรรมนั้นแลของพระตถาคตนั้นเป็นตรา เพราะเหตุนั้น พระตถาคตนั้นจึงชื่อว่ามีธรรมเป็นตรา. พระตถาคตชื่อว่าธัมมาธิปเตยยะ เพราะหมายความว่า ทรงทำธรรมให้เป็นอธิบดี คือให้เป็นใหญ่อยู่.
               บทว่า ธมฺมิกํ รกฺขาวรณคุตฺตึ ความว่า การรักษา การป้องกันและการคุ้มครองที่ให้โลกิยธรรมและโลกุตรธรรม.
               บทว่า สํวิทหติ ได้แก่ ทรงวางคือทรงบัญญัติ.
               บทว่า เอวรูปํ ความว่า บุคคลไม่ควรเสพทุจริต ๓ อย่าง แต่ควรเสพสุจริต.๑-
____________________________
๑- ปาฐะว่า อจฺจนฺตํ น เสวิตพฺพํ ฉบับพม่าเป็น สฺจริตํ เสวิตพฺพํ แปลตามฉบับพม่า.

               ในทุกบท ก็พึงทราบอรรถาธิบายอย่างนี้.
               บทว่า สํวิทหิตฺวา ได้แก่ ทรงวางไว้ คือตรัสบอก.
               บทว่า ธมฺเมเนว อนุตฺตรํ ธมฺมจกฺกํ ปวตฺเตติ ความว่า พระตถาคตทรงหมุนธรรมจักรที่ไม่มีจักรใดเสมอเหมือนให้เป็นไปโดยโลกุตรธรรม ๙ นั่นแล.
               บทว่า ตํ โหติ จกฺกํ อปฺปฏิวตฺติยํ ความว่า จักรคือธรรมนั้นที่พระตถาคตเจ้าให้หมุนไปแล้วอย่างนั้น อันใครๆ แม้สักคนหนึ่ง ในบรรดาบุคคลเหล่านี้มีสมณะเป็นต้น ไม่สามารถจะให้หมุนกลับคือขัดขวางได้.
               บทที่เหลือในที่ทุกแห่ง ง่ายทั้งนั้นแล.

               จบอรรถกถาจักกวัตติสูตรที่ ๔               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต ปฐมปัณณาสก์ รถการวรรคที่ ๒ ๔. จักกวัตติสูตร จบ.
อ่านอรรถกถา 20 / 1อ่านอรรถกถา 20 / 452อรรถกถา เล่มที่ 20 ข้อ 453อ่านอรรถกถา 20 / 454อ่านอรรถกถา 20 / 596
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=20&A=2876&Z=2918
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=15&A=1926
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=15&A=1926
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๖  ธันวาคม  พ.ศ.  ๒๕๔๙
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :