บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
บทว่า สงฺคารโว ได้แก่ พราหมณ์ผู้ดูแล ผู้ทำการปฏิสังขรณ์ของเก่าในกรุงราชคฤห์ มีชื่ออย่างนี้. บทว่า อุปสงฺกมิ ความว่า พราหมณ์รับประทานอาหารเช้าแล้ว มีมหาชนห้อมล้อม เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า. บทว่า อสฺสุ ในคำว่า มยมสฺสุ นี้เป็นเพียงนิบาต คือเป็นบทแสดงความนี้ว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์ทั้งหลาย ชื่อว่าพราหมณ์. บทว่า ยญฺญํ ยชาม ความว่า ขึ้นชื่อว่า ยัญประกอบไปด้วยการฆ่าสัตว์อย่างนี้ ชุดละ ๔ ตัว ชุดละ ๘ ตัว ชุดละ ๑๖ ตัว ชุดละ ๓๒ ตัว ชุดละ ๖๔ ตัว ชุดละ ๑๐๐ ตัว และชุดละ ๕๐๐ ตัว มีอยู่ในลัทธิภายนอก (ภายนอกพระพุทธศาสนา). พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอายัญนั้นนั่นแหละ. บทว่า อเนกสารีริกํ ได้แก่ เนื่องด้วยคนมาก. บทว่า ยทิทํ เท่ากับ ยา เอสา แปลว่า นี้ใด. บทว่า ยญฺญาธิกรณ์ ความว่า มีการบูชายัญเป็นเหตุ และมีการให้ผู้อื่นบูชาเป็นเหตุ. ความจริง บุญปฏิปทา (ข้อปฏิบัติเนื่องด้วยบุญ) ในไทยธรรมอย่างเดียวที่บุคคลให้เองก็ดี ใช้ให้ผู้อื่นให้ก็ดี แก่คนจำนวนมาก ถึงในไทยธรรมมากอย่างที่บุคคลให้เองก็ดี ใช้ให้ผู้อื่นก็ดี แก่คนจำนวนมาก ชื่อว่าเป็นปฏิปทาเนื่องด้วยคนมาก. คำนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอาบุญปฏิปทานั้น. และบุญปฏิปทาของผู้กล่าวอยู่ว่า เราบูชาท่าน เราบูชาท่าน ดังนี้ก็ดี ผู้บังคับผู้อื่นว่า ท่านจงบูชา ท่านจงบูชา ดังนี้ก็ดี ชื่อว่าเป็นปฏิปทาเนื่องด้วยคนหมู่มากเหมือนกัน. คำนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอาบุญปฏิปทานั้น. บทว่า ยสฺส วา ตสฺส วา เท่ากับ ยสฺมา วา ตสฺมา วา แปลว่า จากตระกูลใดๆ ก็ตาม. บทว่า เอกมตฺตานํ ทเมติ ความว่า ฝึกตนคนเดียว ด้วยสามารถแห่งการฝึกอินทรีย์ของตน. บทว่า เอกมตฺตานํ สเมติ ความว่า สงบตนคนเดียวนั่นแหละ ด้วยการสงบราคะเป็นต้นของตน. บทว่า ปรินิพฺพาเปติ ความว่า ปรินิพพานด้วยการดับสนิท ซึ่งราคะเป็นต้นนั่นแหละ. บทว่า เอวมสฺสายํ ความว่า แม้เมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องการบรรพชานี้ก็เท่ากับบุญปฏิปทานี้. พระศาสดาทรงสดับถ้อยคำของพราหมณ์อย่างนี้แล้ว ทรงดำริว่า พราหมณ์นี้กล่าวถึงมหายัญที่ประกอบด้วยการฆ่าสัตว์ ว่าเป็นบุญปฏิปทาที่เนื่องด้วยคนหมู่มาก แต่กล่าวถึงปฏิปทาที่เป็นเหตุให้เกิดบุญมีบรรพชาเป็นพื้นฐานว่า เป็นบุญปฏิปทาเนื่องด้วยคนๆ เดียว พราหมณ์นี้ไม่รู้จักปฏิปทาที่เนื่องด้วยคนๆ เดียวเลย ไม่รู้จักปฏิปทาที่เนื่องด้วยคนจำนวนมากด้วย เอาเถิด เราจักแสดงปฏิปทาที่เนื่องด้วยคนๆ เดียว ทั้งที่เนื่องด้วยคนจำนวนมากแก่เขา ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงขยายพระธรรมเทศนาออกไปอีก จึงตรัสคำมีอาทิว่า เตนหิ พฺราหฺมณ ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยถา เต ขเมยฺย ความว่า ท่านชอบใจอย่างไร. บทว่า อิธ ตถาคโต โลเก อุปฺปชฺชติ ได้ให้พิสดารแล้วในคัมภีร์วิสุทธิมรรค. บทว่า เอถายํ๑- มคฺโค ความว่า มาเถิดท่านทั้งหลาย เราตถาคตจักพร่ำสอน นี้เป็นทาง. ____________________________ ๑- ปาฐะว่า เอตฺถายํ ฉบับพม่าเป็น เอถายํ แปลตามฉบับพม่า. บทว่า อยํ ปฏิปทา นี้ เป็นไวพจน์ของ มคฺโค นั้น. บทว่า ยถา ปฏิปนฺโน ความว่า ดำเนินไปแล้ว โดยมรรคใด. บทว่า อนุตฺตรํ พฺรหฺมจริโยคธํ ความว่า ธรรมอันถึงที่สุด ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่าคือพระนิพพานอันเป็นที่พึ่งสูงสุดของพรหมจรรย์ กล่าวคืออรหัตมรรค. บทว่า อิจฺจายํ ตัดบทเป็น อิติ อยํ. บทว่า อปฺปตฺถตรา ความว่า เป็นปฏิปทาที่ไม่ต้องการความช่วยเหลือหรือไม่ต้องการอุปกรณ์จำนวนมาก. บทว่า อปฺปสมารมฺภตรา ความว่า เป็นปฏิปทาที่ไม่มีการแข่งดี กล่าวคือการกดโดยตัดรอนกรรม (ความดี) ของคนเป็นอันมาก. บทว่าเสยฺยถาปิ ภวํ โคตโม ภวญฺจ อานนฺโท เอเต เม ปุชฺชา ความว่า พราหมณ์กล่าวคำนั้น หมายถึงความข้อนี้ว่า บุคคลเช่นพระโคดมผู้เจริญ และพระอานนท์ผู้เจริญ เป็นผู้อันข้าพเจ้าบูชาแล้ว ได้แก่พวกท่านนั่นแหละ คือทั้งสองคนเป็นผู้อันข้าพเจ้าบูชาและสรรเสริญ. ได้ยินว่า พราหมณ์นั้นมีความคิดอย่างนี้ว่า พระอานนทเถระต้องการให้เราเท่านั้นตอบปัญหานี้ แต่เมื่อเรากล่าวสรรเสริญคุณของตน ชื่อว่าผู้จะไม่ยินดีไม่มี. เพราะฉะนั้น พราหมณ์เมื่อไม่ประสงค์จะตอบปัญหา จึงกล่าวอย่างนี้ให้เพี้ยนไปด้วยสามารถแห่งการกล่าวสรรเสริญ. บทว่า น โข ตฺยาหํ ตัดบทเป็น น โข เต อหํ. ได้ยินว่า แม้พระเถระก็คิดว่า พราหมณ์นี้ไม่ประสงค์จะตอบปัญหา จึงเสความ เราจักให้พราหมณ์นี้ตอบปัญหานี้ให้จงได้ เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวอย่างนี้กะพราหมณ์นั้น. บทว่า สหธมฺมิกํ แปลว่า มีเหตุ. บทว่า สํสาเทติ แปลว่า ขยาด. บทว่า โน วิสชฺเชติ แปลว่า จะไม่ตอบ. บทว่า ยนฺนูนาหํ ปริโมจยํ ความว่า อย่ากระนั้นเลย เราจะปลดเปลื้องคนทั้งสองให้พ้นจากความลำบากใจ. เพราะว่าพราหมณ์เมื่อไม่ตอบปัญหาที่พระอานนท์ถาม ย่อมลำบากใจ ฝ่ายพระอานนท์เมื่อจะให้พราหมณ์ผู้ไม่ยอมตอบ ตอบให้ได้ ก็ลำบากใจ ดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระดำริว่า เราจักปลดเปลื้องคนทั้งสองนี้จากความลำบากใจ จึงตรัสอย่างนี้. บทว่า กานฺวชฺช ตัดบทเป็น กา นุ อชฺช. บทว่า อนฺตรากถา อุทปาทิ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า ในระหว่างที่ ลำดับนั้น พราหมณ์คิดว่า บัดนี้ เราสามารถจะพูดได้ เมื่อจะกราบทูลข้อความที่เกิดขึ้นในพระราชวัง จึงกล่าวคำมีอาทิว่า อยํ ขฺวชฺช โก โคตม ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อยํ ขฺวชฺช ตัดบทเป็น อยํ โข อชฺช. บทว่า สุทํ ในคำว่า ปุพฺเพ สุทํ เป็นเพียงนิบาต. บทว่า อุตฺตริมนุสฺสธมฺมา ได้แก่ มนุษยธรรมชั้นสูง กล่าวคือกุศลกรรมบถ ๑๐. ด้วยบทว่า อิทฺธิปาฏิหาริยํ ทสฺเสสุํ พราหมณ์กล่าวหมายเอาการเหาะขึ้นไปบนอากาศที่เป็นไปแล้วในสมัยก่อนอย่างนี้ คือ ภิกษุทั้งหลาย เมื่อไปภิกษาจารทั้งไปทั้งกลับ จะเหาะไปโดยทางอากาศทั้งนั้น. ด้วยบทว่า เอตรหิ ปน พหุตรา จ ภิกฺขุ นี้ พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ตามลัทธิว่า เมื่อก่อน ภิกษุทั้งหลายชะรอยจะคิดว่า พวกเราจักยังปัจจัย ๔ ให้เกิดขึ้น จึงกระทำอย่างนี้ แต่บัดนี้ รู้ว่าปัจจัยเกิดขึ้นแล้ว จึงปล่อยเวลาให้ล่วงไปด้วยโมหะและความประมาท. บทว่า ปาฏิหาริยานิ ได้แก่ ปาฏิหาริย์ โดยมุ่งขจัดลัทธิที่เป็นปฏิปักษ์. บทว่า อิทฺธิปาฏิหาริยํ ความว่า ปาฏิหาริย์ด้วยอำนาจการแสดงฤทธิ์ ชื่อว่าอิทธิ แม้ในปาฏิหาริย์นอกนี้ก็มีนัยนี้เหมือนกัน อรรถาธิบายวิชชา ๘ ประการมีอิทธิวิธิต่างๆ วิธีก็ดี นัยแห่งการเจริญ (วิชชา ๘ ประการนั้น) ก็ดี ได้ให้พิสดารในคัมภีร์วิสุทธิมรรคแล้วทีเดียว. บทว่า นิมิตฺเตน อาทิสติ ความว่า ทำนายว่า ชื่อว่าสิ่งนี้จักมีโดยนิมิตที่ผ่านมาแล้ว โดยนิมิตที่ผ่านไปแล้ว หรือโดยนิมิตที่ยังคงอยู่. ในข้อนี้มีเรื่องดังต่อไปนี้ เล่ากันมาว่า พระราชาพระองค์หนึ่งทรงกำแก้วมุกดา ๓ ดวงไว้แล้วตรัสถามปุโรหิตว่า ท่านอาจารย์ อะไรอยู่ในมือของเรา. ปุโรหิตตรวจดูข้างโน้นข้างนี้ และเวลานั้นมีตุ๊กแกตัวหนึ่งวิ่งไปโดยตั้งใจว่าจักจับแมลงวัน ในเวลาจับ แมลงวันหนีไปได้. เขาจึงกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช แก้วมุกดา พระเจ้าข้า เพราะความที่ (ถือนิมิต) แมลงวันหนีรอดไปได้. พระราชาตรัสถามต่อไปว่า ถูกละ แก้วมุกดา แต่ว่ามีกี่ดวง. ปุโรหิตตรวจดูนิมิตอีก เวลานั้น ไก่ขันขึ้น ๓ ครั้งในที่ไม่ไกล. พราหมณ์กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชมี ๓ ดวง พระเจ้าข้า. บางคนทำนายนิมิตที่ผ่านมาแล้วดังพรรณนามานี้. แม้โดยนิมิตที่ผ่านไปแล้วและยังคงอยู่ ก็พึงกราบการทำนายโดยอุบายนี้. บทว่า เอวมฺปิ เต มโน ความว่า ใจของท่านเป็นอย่างนี้คือ อาศัยโสมนัส อาศัยโทมนัส หรือประกอบด้วยกามวิตกเป็นต้น. คำที่ ๒ (อิตฺถมฺปิ เต มโน) เป็นไวพจน์ของคำว่า เอวมฺปิ เต มโน นั้นนั่นเอง. บทว่า อิติปิ เต จิตฺตํ ความว่า จิตของท่านเป็นไปด้วยประการนี้. อธิบายว่า ท่านกำลังคิดถึงความข้อนี้ และข้อนี้อยู่ จิตเป็นไปแล้ว. บทว่า พหุญฺเจปิ อาทิสติ ความว่า หากเขาจะพยากรณ์แม้มากไซร้. บทว่า ตเถว ตํ โหติ ความว่า (เรื่องต่างๆ) จะเป็นเหมือนที่ทำนายไว้นั่นแหละ. บทว่า อมนุสฺสานํ ได้แก่ อมนุษย์มียักษ์และปีศาจเป็นต้น. บทว่า เทวตานํ ได้แก่ เทวดาทั้งหลายมีเทวดาชั้นจาตุมมหาราชเป็นต้น. บทว่า สทฺทํ สุตฺวา ความว่า ได้ยินเสียงของเขาผู้กำลังกล่าวอยู่จึงทำนาย เพราะรู้จิตของผู้อื่น. บทว่า วิตกฺกวิจารรสทฺทํ ความว่า เสียงของคนที่หลับและประมาทเป็นต้น ละเมอถึงสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยสามารถแห่งวิตก และวิจาร. บทว่า สุตฺวา ได้แก่ ได้ยินเสียงนั้น. อธิบายว่า ทำนายเสียงที่เกิดขึ้นด้วยอำนาจอารมณ์ที่เธอกำลังตรึกนั้นว่าใจของท่านเป็นอย่างนี้. ในข้อนั้น มีเรื่องดังต่อไปนี้ เล่ากันว่า ชายผู้หนึ่งคิดว่า เราจะไปแก้คดี ออกจากบ้านไปสู่นครนับแต่ที่ๆ ออกเดินทางไป ก็ครุ่นคิดอยู่ว่า ในศาล เราจักทำสิ่งนี้ จักพูดคำนี้แด่พระราชา ราชมหาอมาตย์ ได้เป็นเสมือนว่าไปสู่ราชสกุลแล้ว เหมือนกับได้ยืนต่อพระพักตร์ของพระราชาแล้ว และเหมือนกับกำลังให้การอยู่กับผู้พิพากษา. บุรุษผู้หนึ่งได้ยินเสียงนั้นของเขาที่เปล่งออกไปด้วยสามารถแห่งวิตกและวิจาร จึงถามว่า ท่านจะไปด้วยเรื่องอะไร. เขาตอบว่า จะไปแก้คดี. บุรุษนั้นจึงพูดว่า ไปเถิด ท่านจะมีชัยชนะ. เขาไปแก้คดีแล้ว ประสบชัยชนะ. แม้พระเถระชาวโปลิยคามอีกรูปหนึ่ง ได้เข้าไปบิณฑบาตในบ้าน. ขณะนั้น เด็กหญิงคนหนึ่งส่งใจไปที่อื่น จึงไม่เห็นท่านผู้เดินออกไป. ท่านยืนอยู่ที่ประตูบ้านแล้วกลับออกไปมองดู เห็นเด็กหญิงนั้นแล้ว ได้เดินตรึกไป และเมื่อเดินไปก็ได้กล่าวว่า แม่หนูทำอะไรอยู่หรือ จึงไม่เห็นเรา. ชายคนหนึ่งยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินแล้ว ก็พูดขึ้นว่า ท่านผู้เจริญ นิมนต์ท่านไปบ้านโปลิยคามเถิด. บทว่า มโนสงฺขารา ปณิหิตา ความว่า จิตสังขารที่ตั้งไว้ดีแล้ว. บทว่า วิตกฺเกสฺสติ ความว่า รู้ชัดว่าจักตรึก คือจักยังจิตให้เป็นไป. ก็เมื่อเธอรู้ชัดอยู่ ชื่อว่าย่อมรู้ชัด โดยนิมิตผ่านมานั่นแหละ. ย่อมรู้โดยนิมิตอันเป็นส่วนเบื้องต้น. ย่อมรู้โดยยกจิตขึ้นภายในสมาบัติ. ในเวลาบริกรรมกสิณเหล่านั้นแหละ ภิกษุรู้ว่า พระโยคาวจรนี้ปรารภการเจริญกสิณโดยอาการใด จักยังปฐมฌาน ฯลฯ จตุตถฌาน หรือสมาบัติ ๘ ให้เกิดขึ้นโดยอาการนั้น ชื่อว่ารู้โดยนิมิตผ่านมา. เมื่อปรารภสมถวิปัสสนาแล้ว ภิกษุรู้อยู่ คือรู้ว่า พระโยคาวจรนี้ปรารภวิปัสสนาแล้วโดยอาการใด จักยังโสตาปัตติมรรค ฯลฯ หรืออรหัตมรรคให้เกิดขึ้น โดยอาการนั้น ชื่อว่ารู้นิมิตโดยส่วนเบื้องต้น. ภิกษุรู้ว่า มโนสังขารของพระโยคาวจรนี้ตั้งไว้ดีแล้ว เธอจะตรึกวิตกชื่อนี้ในลำดับแห่งจิตชื่อนี้โดยอาการใด สมาธิของพระโยคาวจรนี้ผู้ออกจากสมาบัตินี้แล้วที่เป็นหานภาคิยะ (เป็นส่วนแห่งการละ) ที่เป็นฐิติภาคิยะ (เป็นส่วนแห่งการดำรงอยู่) ที่เป็นวิเสสภาคิยะ (เป็นส่วนแห่ง บรรดาบทเหล่านั้น ปุถุชนผู้ได้เจโตปริยญาณ ย่อมรู้จิตของปุถุชนด้วยกัน แต่ไม่รู้จิตของพระอริยเจ้า. ถึงในพระอริยเจ้าทั้งหลาย พระอริยบุคคลชั้นต่ำย่อมไม่รู้จิตของพระอริยบุคคลชั้นสูง แต่พระอริยบุคคลชั้นสูงรู้จิตของพระอริยบุคคลชั้นต่ำ. อนึ่ง บรรดาพระอริยเจ้าเหล่านี้ พระโสดาบันเข้าโสดาปัตติผลสมาบัติ พระสกทาคามี... พระอนาคามี... พระอรหันต์เข้าอรหัตผลสมาบัติ. พระอริยบุคคลชั้นสูงจะไม่เข้าสมาบัติชั้นต่ำ. เพราะว่า สมาบัติชั้นต่ำๆ ของพระอริยบุคคลชั้นต่ำเหล่านั้น จะเป็นไปในพระอริยบุคคลชั้นต่ำเหล่านั้น. บทว่า ตเถว ตํ โหติ ความว่า คำทำนายนั้นย่อมเป็นอย่างนั้นนั่นแหละโดยส่วนเดียว เพราะคำพยากรณ์ที่ท่านรู้ด้วยสามารถแห่งเจโตปริยญาณ ชื่อว่าจะเป็นอื่นไปไม่มี (คือไม่ผิดพลาด). บทว่า เอวํ วิตฺเกถ ความว่า เธอทั้งหลายจงตรึกให้เนกขัมมวิตกเป็นต้นเป็นไปอย่างนี้. บทว่า มา เอวํ วิตกฺกยิตฺถ ความว่า เธอทั้งหลายอย่าตรึกให้กามวิตกเป็นต้นไปอย่างนี้. บทว่า เอวํ มนสิกโรถ ความว่า เธอทั้งหลายจงมนสิการถึงอนิจสัญญานั่นแหละ หรือสัญญาอย่างอื่น ในบรรดาทุกขสัญญาเป็นต้นอย่างนี้. บทว่า มา เอวํ ความว่า เธอทั้งหลายอย่าใส่ใจ โดยนัยเป็นต้นว่า เที่ยง ดังนี้. บทว่า อิทํ ความว่า เธอทั้งหลายจงละความกำหนัดในเบญจกามคุณนี้. บทว่า อิทํ ปน อุปสมฺปชฺช ความว่า (แต่) ท่านทั้งหลายจงเข้าถึง คือบรรลุโลกุตรธรรม แยกประเภทเป็นมรรค ๔ ผล ๔ นี้นั่นแหละ ได้แก่ให้สำเร็จแล้วอยู่. บทว่า มายาสหธมฺมรูปํ วิย ขายติ ความว่า ย่อมปรากฏเป็นเหมือนรูปที่เกิดจากเหตุอันเสมอด้วยมายา. จริงอยู่ นักแสดงกลย่อมแสดงกลได้หลายแบบอย่างนี้คือ หยิบน้ำมาทำให้เป็นน้ำมันก็ได้ หยิบน้ำมันมาทำให้เป็นน้ำก็ได้ ถึงปาฏิหาริย์นี้ก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน ดังนี้. พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ แม้ปาฏิหาริย์นี้ปรากฏแก่ข้าพระองค์เหมือนเล่นกล หมายเอาความที่ปาฏิหาริย์คล้ายกับ บทว่า อภิกฺกนฺตตรํ ได้แก่ ดีกว่า. บทว่า ปณีตตรํ ได้แก่ สูงกว่า. ในบทว่า ภวญฺหิ โคตโม ภวิตกฺกํ อวิจารํ นี้ พราหมณ์มิได้ถือเอาอาเทสนาปาฏิหาริย์ที่เหลือว่า เป็นลัทธิภายนอก (ภายนอกพระพุทธศาสนา) ก็แลพราหมณ์นั้น เมื่อจะกล่าวสรรเสริญพระตถาคต จึงกล่าวข้อความนี้ทั้งหมด. บทว่า อทฺธา โข ตฺยาหํ ความว่า วาจานี้ ท่านกล่าวถูกต้องแล้วโดยส่วนเดียวแท้. บทว่า อาสชฺช อุปนิยฺย วาจา ภาสิตา ความว่า วาจาที่ท่านกล่าวพาดพิงถึงเรา ท่านกล่าวถูกต้องแล้ว. บทว่า อปิจ ตฺยาหํ พฺยากิรสฺสามิ ความว่า อีกทั้งเราแหละจักพยากรณ์แก่ท่าน. บทที่เหลือมีเนื้อความตื้นทั้งนั้น ฉะนี้แล. จบอรรถกถาสังคารวสูตรที่ ๑๐ จบพราหมณวรรควรรณนาที่ ๑ ----------------------------------------------------- รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ ๑. ชนสูตรที่ ๑ ๒. ชนสูตรที่ ๒ ๓. พราหมณสูตร ๔. ปริพาชกสูตร ๕. นิพพุตสูตร ๖. ปโลภสูตร ๗. ชัปปสูตร ๘. ติกรรณสูตร ๙. ชานุสโสณีสูตร ๑๐. สังคารวสูตร ฯ .. อรรถกถา อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต ทุติยปัณณาสก์ พราหมณวรรคที่ ๑ ๑๐. สังคารวสูตร จบ. |