![]() |
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
![]() |
![]() | |
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() อรรถกถาติตถายตนสูตรที่ ๑#- #- พระสูตรเป็น ติตถสูตร พึงทราบวินิจฉัยในติตถายตนสูตรที่ ๑ แห่งมหาวรรคที่ ๒ ดังต่อไปนี้ :- ผู้ได้ชื่อว่าเป็นเดียรถีย์ ในบทว่า ติตฺถายตนานิ นั้น นึกศึกษาควรรู้จักติตถะ ควรรู้จักติตถกร (เจ้าลัทธิ) ควรรู้จักเดียรถีย์ (และ) ควรรู้จักสาวกของเดียรถีย์ (ก่อน). ทิฏฐิ ๖๒ ชื่อว่า ติตถะ (ลัทธิ). บุคคลผู้ให้เกิดทิฏฐิ ๖๒ เหล่านั้น ชื่อว่าติตถกร. บุคคลผู้พอใจ ชอบใจทิฏฐิ ๖๒ เหล่านั้น ชื่อว่าเดียรถีย์ บุคคลผู้ถวายปัจจัยแก่เดียรถีย์เหล่านั้น ชื่อว่าสาวกของเดียรถีย์. อธิบายศัพท์ว่า อายตนะ สถานที่สโมสร ชื่อว่าอายตนะ เช่น ในประโยคนี้ว่า ในอายตนะ (สโมสร) ที่น่าเริงใจ นกทั้งหลาย ย่อมใช้อายตนะนั้น ฝูงนกที่ต้องการร่มเงา ก็พากันไป ฝูงนกที่ต้องการผลไม้ ก็กินผลไม้. เหตุ ชื่อว่าอายตนะ (เช่น) ในประโยคนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วิมุตตายตนะ (เหตุแห่งวิมุตติ) ๕ ประการเหล่านี้. อายตนะทั้งหมดนั้น (มีความหมาย) ใช้ได้ในที่นี้. เพราะว่า มิจฉาทิฏฐิกบุคคลทั้งหมด เมื่อเกิดก็เกิดในฐานะ ๓ นี้เท่านั้น แม้เมื่อรวมลงย่อมรวมลง คือประชุมลง ตกลงในฐานะ ๓ นี้เช่นกัน. ก็เมื่อบุคคลเหล่านั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิ เหตุทั้ง ๓ เหล่านี้นั่นแล ชื่อว่าอายตนะ เพราะความหมายมีอาทิว่า เป็นเสมือนท่าน้ำ คือเป็นถิ่นที่เกิดขึ้น (แห่งลัทธิทั้งหลาย) แม้เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าติตถายตนะ. อนึ่ง ชื่อว่าติตถายตนะ เพราะอรรถว่าเป็นบ่อเกิดของเดียรถีย์ทั้งหลาย ด้วยความหมายนั้นนั่นแล. บทว่า สมนุยุญฺชิมานานิ ได้แก่ ถูกบัณฑิตถามอย่างนี้ว่า ทิฏฐิเหล่านั้นคืออะไร. บทว่า สมนุคฺคาหิยมานานิ ความว่า ถูกถามด้วยดีอย่างนี้ว่า ทิฏฐิเหล่านั้นเกิดขึ้นเพราะเหตุไร. บทว่า สมนุภาสิยมานานิ ความว่า ถูกบอกด้วยดีอย่างนี้ว่า เธอทั้งหลายจงสละคืนทิฏฐิอันลามกเหล่านั้นเสีย. อนึ่ง บททั้ง ๓ เหล่านี้ (สมนุยุญฺชิยมานานิ สมนุคฺคาหิยมานานิ สมนุภาสิยมานานิ) เป็นไวพจน์ของการซักถาม และการถามเหมือนกัน. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในอรรถกถาว่า บทว่า สมนุยุญฺชติ ก็ดี บทว่า สมนุคฺคาหติ ก็ดี บทว่า สมนุภาสติ ก็ดี นี้เป็นอันเดียวกัน มีความหมายอย่างเดียวกัน เท่ากัน มีส่วนเท่ากัน เกิดจากสิ่งนั้น (เหมือนกัน) เป็นอย่างเดียวกันนั่นแหละ. บทว่า ปรมฺปิ คนฺตฺวา ความว่า ถึงการสืบต่ออย่างใดอย่างหนึ่งในบรรดาการสืบต่อทั้ง ๓ เหล่านี้ คือ อาจริยปรัมปรา (การสืบต่ออาจารย์) ลัทธิปรัมปรา (การสืบต่อลัทธิ) อัตตภาวปรัมปรา (การสืบต่ออัตภาพ). บทว่า อกิริยาย สณฺฐหนฺติ คือ ดำรงอยู่ในฐานะมาตรว่าเป็นอกิริยทิฏฐิ. ปรัมปรา ๓ อย่าง ติตถายตนะที่ดำเนินไปอย่างนี้ คือ อาจารย์ของเราทั้งหลายเป็นปุพเพกตลัทธิกบุคคล (บุคคลผู้มีลัทธิว่า กรรมที่ทำไว้ในชาติก่อนเป็นเหตุ) ปาจารย์ของเราทั้งหลาย ฯลฯ ปาจารย์ของอาจารย์ของเราทั้งหลาย เป็นอเหตุกอปัจจยลัทธิกบุคคล (บุคคลผู้มีลัทธิว่า ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย) ชื่อว่าดำเนินไปตามการสืบต่อลัทธิ. ติตถายตนะที่ดำเนินไปอย่างนี้ คือ อัตภาพของอาจารย์เราทั้งหลายมีกรรมที่ทำไว้ในชาติก่อนเป็นเหตุ อัตภาพของปาจารย์เราทั้งหลาย ฯลฯ อัตภาพของปาจารย์ของอาจารย์ของเราทั้งหลายไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย ชื่อว่าดำเนินไปตามการสืบต่ออัตภาพ. ก็ติตถายตนะเหล่านั้น ย่อมดำเนินไปแม้สุดแสนไกลอย่างนี้ ย่อมดำรงอยู่ในฐานะมาตรว่า เป็นอกิริยทิฏฐินั่นเอง. ผู้สร้างหรือผู้ให้สร้างของมิจฉาทิฏฐิกบุคคลเหล่านั้น ก็ไม่ปรากฏแม้แต่คนเดียว. สัตว์-บุรุษ-บุคคล อันที่จริง เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าบุรุษบ้าง ตรัสว่าบุคคลบ้าง ก็เป็นอันตรัส (หมายถึง) สัตว์นั่นแหละ. แต่กถานี้จัดเป็นสมมติกถา. บุคคลใดจะเข้าใจได้อย่างใด ก็ตรัสแก่บุคคลนั้นอย่างนั้น. บทว่า ปฏิสํเวเทติ ความว่า ย่อมรู้จักสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนาที่เกิดขึ้นในสันดานของตน คือทำสุขเวทนา ทุกขเวทนาหรืออทุกขมสุขเวทนา ให้เป็นอันตนรู้แจ้งแล้วหรือย่อมเสวย. อธิบายปุพเพกตเหตุวาทะ ด้วยบทว่า ปุพฺเพกตเหตุ นี้ มิจฉาทิฏฐิกบุคคลทั้งหลายปฏิเสธกรรมเวทนา (เวทนาเกิดแต่กรรม) และกิริยเวทนา (เวทนาเกิดแต่กิริยา) ยอมรับแต่เฉพาะวิปากเวทนา (เวทนาที่เกิดจากวิบาก) อย่างเดียวเท่านั้น. ว่าด้วยโรค ๘ อย่างเป็นต้น ในโรคทั้ง ๘ อย่างนั้น มิจฉาทิฏฐิกบุคคลปฏิเสธโรค ๗ อย่างอย่างข้างต้น แล้วยอมรับแต่เฉพาะโรคชนิดที่ ๘ เท่านั้น. ในบรรดากองแห่งกรรม ๓ ชนิดที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ คือ ทิฏฐธรรมเวทนีย แม้ในกองวิบาก ๓ ชนิดที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ คือ ทิฏฐธรรมเวทนีย แม้ในกองเจตนา ๔ ชนิดที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ คือ กุศลเจตนา ๑ อกุศลเจตนา ๑ วิปากเจตนา ๑ กิริยเจตนา ๑. มิจฉาทิฏฐิกบุคคลปฏิเสธเจตนา ๓ ชนิด ยอมรับแต่เฉพาะวิปากเจตนาอย่างเดียวเท่านั้น. อธิบายอิสสรนิมมานเหตุ ด้วยว่า มิจฉาทิฏฐิกบุคคลเหล่านั้นมีความเข้าใจดังนี้ว่า เวทนาทั้ง ๓ นี้ บุรุษบุคคลไม่สามารถเสวยได้เพราะมีกรรมที่ตนทำไว้ในปัจจุบัน เป็นมูลบ้าง เพราะสั่งบังคับ (ของคนอื่น) เป็นมูลบ้าง เพราะกรรมที่ตนทำไว้ในชาติก่อนบ้าง เพราะไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย (คือ โดยบังเอิญ) บ้าง แต่บุรุษบุคคลเสวยเวทนาเหล่านี้ได้ เพราะการนิรมิตของพระอิศวรเป็นเหตุอย่างเดียว. ก็มิจฉาทิฏฐิกบุคคลเหล่านี้มีวาทะอย่างนี้ จึงไม่ยอมรับโรคแม้ชนิดหนึ่งในบรรดาโรค ๘ อย่างที่กล่าวไว้แล้วในตอนต้น ปฏิเสธทั้งหมด และไม่ยอมรับกรรมชนิดหนึ่งในบรรดากองกรรม ๓ ชนิด วิบากชนิดหนึ่งในบรรดากองวิบาก ๓ ชนิด และเจตนาชนิดหนึ่งในบรรดากองเจตนา ๔ ชนิดที่กล่าวไว้ในตอนต้น ปฏิเสธทั้งหมด. อธิบายอเหตุอปัจจยา ด้วยว่า มิจฉาทิฏฐิกบุคคลเหล่านั้นมีความเข้าใจดังนี้ว่า เวทนาทั้ง ๓ นี้ ใครๆ ไม่สามารถจะเสวยได้ เพราะกรรมที่ตนทำไว้ในปัจจุบัน เป็นมูลบ้าง เพราะการสั่งบังคับ (ของคนอื่น) เป็นมูลบ้าง เพราะกรรมที่ทำไว้ในชาติก่อนบ้าง เพราะการนิรมิตของพระอิศวรเป็นเหตุบ้าง บุรุษบุคคลเสวยเวทนาเหล่านี้ โดยไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย. ก็มิจฉาทิฏฐิกบุคคลเหล่านี้มีวาทะอย่างนี้ จึงไม่ยอมรับเหตุทั้งหลายที่กล่าวไว้แล้วในตอนต้นมีโรคเป็นต้นแม้สักอย่างหนึ่ง ปฏิเสธทั้งหมด. พระพุทธเจ้าทรงตั้งลัทธิ บรรดาบทเหล่านั้น ด้วยบทว่า เอวํ วทามิ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า เราตถาคตกล่าวอย่างนี้ ก็เพื่อตั้งลัทธิ เพราะว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ตั้งลัทธิแล้ว ย่อมก้าวเข้าสู่ลัทธิจากลัทธิที่ถูกข่มไว้. มิจฉาทิฏฐิกบุคคลทั้ง บทว่า เตนหายสฺมนฺโต ตัดบทเป็น เตนหิ อายสฺมนฺโต. มีคำอธิบายอย่างไร. มีคำอธิบายว่า ถ้าข้อนั้นเป็นจริง เมื่อเป็นอย่างนั้น ตามวาทะของท่านทั้งหลายนั้น. บทว่า ปาณาติปาติโน ภวิสฺสนฺติ ปุพฺเพ กตเหตุ ความว่า บุรุษบุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่งในโลกฆ่าสัตว์ บุรุษบุคคลเหล่านั้นทั้งหมดเป็นปาณาติบาต เพราะกรรมที่ทำไว้ในชาติก่อนเป็นเหตุ. เพราะเหตุไร? เพราะท่านทั้งหลายมีลัทธิดังนี้ว่า เขาสามารถเสวยกรรม คือปาณาติบาต เพราะกรรมที่ตนทำไว้เป็นมูลก็หามิได้ เพราะการสั่งบังคับ (ของผู้อื่น) เป็นมูลก็หามิได้ เพราะการนิรมิตของพระอิศวรเป็นเหตุก็หามิได้ เพราะไม่มีเหตุไม่มีปัจจัยก็หามิได้ เขาเสวยเพราะกรรมที่ทำไว้ในภพก่อนเป็นเหตุเท่านั้น. ก็บุรุษบุคคลเป็นปาณาติบาตโดยอาการใด แม้เมื่องดเว้นจากปาณาติบาตก็จักงดเว้นโดยอาการนั้น คือ เพราะกรรมที่ทำไว้ในชาติก่อนเป็นเหตุเหมือนกัน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจับลัทธิของมิจฉาทิฏฐิกบุคคลเหล่านั้นนั่นแลได้แล้ว จึงทรงข่มมิจฉาทิฏฐิกบุคคลเหล่านั้นด้วยประการดังพรรณนามา ฉะนี้. พึงทราบถ้อยคำขยายความ แม้ในบทว่า อทินฺนาทายิโน เป็นต้นโดยนัยนี้. บทว่า สารโต ปจฺจาคจฺฉตํ ได้แก่ ยึดถือโดยความเป็นสาระ. บทว่า ฉนโท ได้แก่ กัตตุกัมยตาฉันทะ (ความพอใจคือความเป็นผู้ใคร่เพื่อจะทำ). ในบทว่า อิทํ วา กรณียํ อิทํ วา อกรณียํ นี้ มีอธิบายดังนี้ว่า ไม่มีความเป็นผู้ใคร่เพื่อจะทำ หรือความบากบั่นของบุรุษเฉพาะตัวเพื่อต้องการทำสิ่งที่ควรทำ ด้วยคิดว่าสิ่งนี้ควรทำ หรือเพื่อไม่ต้องการทำสิ่งที่ไม่ควรทำ ด้วยคิดว่าสิ่งนี้ไม่ควรทำ. อีกอย่างหนึ่ง เมื่อฉันทะและวายามะไม่มี ก็ไม่มีความคิดว่า สิ่งนี้ควรทำ สิ่งนี้ไม่ควรทำ. บทว่า อิติ กรณียา กรณีเย โข ปน สจฺจโต เถตโต อนุปลพฺภิยมาเน ความว่า เมื่อสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ ไม่ปรากฏ คือไม่ได้โดยความเป็นจริง โดยเป็นของถ่องแท้อย่างนี้. ก็ถ้าบุคคลจะพึงได้ทำสิ่งที่ควรทำ จะพึงได้เว้นจากสิ่งที่ไม่ควรทำไซร้ สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ เขาก็จะพึงได้โดยความเป็นของจริง โดยเป็นของแท้. แต่เพราะเหตุที่ไม่ได้ทั้ง ๒ อย่างอย่างนี้ ฉะนั้น กิจที่ควรทำและไม่ควรทำนั้น เขาจึงไม่ได้โดยความเป็นของจริง โดยเป็นของแท้ คือว่าไม่ได้สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำนั้นด้วยอาการอย่างนี้. บทว่า มฺฏฺฐสฺสตีนํ ได้แก่ มีสติเลือนหายไป คือปล่อยสติไป. บทว่า อนารกฺขานํ วิหรตํ ได้แก่ ปราศจากอารักขา (ในทวารทั้ง ๖) อยู่. บทว่า น โหติ ปจฺจตฺตํ สหธมฺมิโก สมณวาโท ความว่า วาทะว่าเป็นสมณะ พร้อมทั้งเหตุเฉพาะตัว ว่าเราทั้งหลายเป็นสมณะ ย่อมไม่มี คือไม่สำเร็จแก่ท่านทั้งหลายหรือบุคคลเหล่าอื่นผู้เป็นอย่างนี้. เพราะว่า แม้สมณะทั้งหลายก็เป็นผู้มีกรรมที่ทำไว้ในชาติก่อนเป็นเหตุเหมือนกัน แม้ผู้มิใช่สมณะก็เป็นผู้มีกรรมที่ทำไว้ในชาติก่อนเป็นเหตุเหมือนกันแล. บทว่า สหธมฺมิโก ได้แก่ พร้อมทั้งเหตุ. บทว่า นิคฺคโห โหติ ได้แก่ การข่มของเราตถาคตมีอยู่. ก็มิจฉาทิฏฐิกบุคคลเหล่านั้นเป็นอันถูกข่มแล้วแล. ครั้นทรงข่มปุพเพกตวาทีบุคคลอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อจะทรงข่มอิสสรนิมมานวาทีบุคคล จึงตรัสคำว่า ตตฺร ภิกฺขเว เป็นต้น. ความหมายของคำนั้น พึงทราบตามนัยที่กล่าวแล้วในปุพเพกตวาทะ ในอเหตุวาทะก็เหมือนกัน. กระต่ายตื่นตูม บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนิคฺคหิโต คือ ไม่ถูกคนอื่นข่ม ได้แก่ไม่มีใครสามารถจะข่มได้. บทว่า อสํกิลิฏฺโฐ คือ เป็นธรรมไม่หมองมัว ได้แก่บริสุทธิ์ คืออันบุคคลแม้คิดว่าจักทำธรรมนั้นให้เศร้าหมองแล้วประพฤติ ก็ไม่สามารถจะทำให้เป็นอย่างนั้นได้. บทว่า อนูปวชฺโช ได้แก่ พ้นจากการถูกว่าร้าย. บทว่า อปฺปฏิกุฎโฐ ความว่า ไม่ถูกปฏิเสธหรือไม่ถูกคัดค้านอย่างนี้ว่า ประโยชน์อะไรด้วยธรรมนี้ ท่านทั้งหลายจงนำธรรมนั้นไปเสีย. บทว่า วิญฺญูหิ ได้แก่ บัณฑิตทั้งหลาย. เพราะคำพูดของคนที่ไม่ใช่บัณฑิตพูดโดยไม่รู้ ไม่เป็นประมาณ ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า วิญฺญูหิ ดังนี้. บัดนี้ เพื่อจะแสดงธรรมนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตั้งปัญหาถามว่า กตโม จ ภิกฺขเว แล้วตั้งมาติกาโดยนัยเป็นต้นว่า อิมา ฉ ธาตุโย เมื่อจะทรงจำแนกแสดงตามลำดับ จึงตรัสคำเป็นต้นว่า อิมา ฉ ธาตุโย อีก. อธิบายธาตุ บทว่า ผสฺสายตนานิ ได้แก่ ชื่อว่าอายตนะ เพราะหมายความว่าเป็นบ่อเกิดของวิปากผัสสะทั้งหลาย. บทว่า มโนปวิจารา ได้แก่ การท่องเที่ยวไปของใจในฐานะ ๑๘ ด้วยเท้า คือวิตกและวิจาร. บทว่า ปฐวีธาตุ ได้แก่ ธาตที่ตั้งมั่น. บทว่า อาโปธาตุ ได้แก่ ธาตุทำหน้าที่เชื่อมประสาน. บทว่า เตโชธาตุ ได้แก่ ธาตุทำหน้าที่ให้อบอุ่น. บทว่า วาโยธาตุ ได้แก่ ธาตุทำหน้าที่ให้เคลื่อนไหว. บทว่า อากาสธาตุ ได้แก่ ธาตุที่ถูกต้องไม่ได้. บทว่า วิญฺญาณธาตุ ได้แก่ ธาตุทำหน้าที่รู้แจ้ง. ธาตุกัมมัฏฐาน กำหนดโดยย่อ บทว่า วิญฺญาณธาตุ ได้แก่ จิต. จิตนั้นได้แก่วิญญาณขันธ์. เวทนาที่เกิดร่วมกับวิญญาณขันธ์นั้น ชื่อว่าเวทนาขันธ์. สัญญาที่เกิดร่วมกับวิญญาณขันธ์นั้น ชื่อว่าสัญญาขันธ์. ผัสสะและเจตนาที่เกิดร่วมกับวิญญาณขันธ์นั้น ชื่อว่าสังขารขันธ์. ขันธ์ทั้ง ๔ ดังว่ามานี้ ชื่อว่าอรูปขันธ์. อนึ่ง มหาภูตรูป ๔ และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป ๔ ชื่อว่ารูปขันธ์. บรรดารูปขันธ์และอรูปขันธ์นั้น อรูปขันธ์ ๔ เป็นนาม รูปขันธ์เป็นรูป. มีธรรมอยู่ ๒ อย่างเท่านั้นคือ นาม ๑ รูป ๑. ไม่มีสัตว์หรือชีวะนอกจากธรรม ๒ อย่างนั้น. พึงทราบกัมมัฏฐานที่ทำให้บรรลุอรหัตผลด้วยอำนาจธาตุ ๖ โดยย่อของภิกษุรูปหนึ่ง ดังว่ามานี้. กำหนดโดยพิสดาร ส่วนวิญญาณธาตุ ได้แก่จิต ๘๑ โดยเป็นโลกิยจิต จิต ๘๑ ทั้งหมดนั้น ชื่อว่าวิญญาณขันธ์. แม้เวทนาเป็นต้นที่เกิดพร้อมกับจิต ๘๑ นั้นก็มีจำนวนเท่านั้นเหมือนกัน รวมความว่า เวทนา ๘๑ ชื่อว่าเวทนาขันธ์ สัญญา ๘๑ ชื่อว่าสัญญาขันธ์ เจตนา ๘๑ ชื่อว่าสังขารขันธ์ รวมความว่า อรูปขันธ์ทั้ง ๔ เหล่านี้ เมื่อกำหนดด้วยอำนาจธรรมที่เป็นไปในภูมิ ๓ ก็ได้แก่ธัมมายตนะ ๓๒๔ ไม่มีสัตว์หรือชีวะมีแต่ธรรม ๒ กำหนดปัจจัยของนาม-รูป พึงทราบกัมมัฏฐานที่เป็นเหตุให้บรรลุอรหัตผลด้วยอำนาจธาตุ ๖ แม้โดยพิสดารดังว่ามานี้. ผัสสายตนะ ๖ แม้ในบทว่า โสตํ ผสฺสายตนํ เป็นต้นก็มีนัยนี้แล. ส่วนในบทว่า มโน ผสฺสายตนํ นี้ พึงทราบว่าได้แก่ วิบากผัสสะ ๒๒ กัมมัฏฐานนี้มาด้วยอำนาจผัสสายตนะ ๖ ดังว่ามานี้. กัมมัฏฐานนั้นควรกล่าวทั้งโดยย่อ ทั้งโดยพิสดาร. ว่าโดยย่อก่อน ก็ในอายตนะ ๖ นี้ อายตนะ ๕ ข้อแรก ชื่อว่าอุปาทารูป เมื่อเห็นอายตนะ ๕ นั้นแล้วก็เป็นอันเห็นอุปาทารูปที่เหลือด้วย. อายตนะที่ ๖ คือจิต เป็นวิญญาณขันธ์. ธรรม ๓ ที่เหลือมีเวทนาเป็นต้นที่เกิดพร้อมกับวิญญาณขันธ์นั้นเป็นอรูปขันธ์. พึงทราบกัมมัฏฐานที่เป็นเหตุให้บรรลุอรหัตผล ทั้งโดยย่อ ทั้งโดยพิสดาร ตามนัยที่กล่าวมาแล้วในตอนต้นนั่นแล. มโนปวิจาร ๑๘ บทว่า โสมนสฺสฏฐานิยํ ได้แก่ เหตุแห่งโสมนัส. ภิกษุเมื่อส่งใจเที่ยวไป ชื่อว่าเที่ยวไปอย่างใกล้ชิด ในบทว่า อุปวิจรติ นี้. แม้ในบทที่เหลือก็มีนัยนี้แล. ก็ในบทว่า จกฺขุนา รูปํ ทิสฺวา นี้ พึงทราบว่า รูปจะเป็นที่น่าปรารถนาหรือไม่น่าปรารถนาก็ตาม เห็นรูปใดแล้วโสมนัสเกิดขึ้น รูปนั้นชื่อว่าเป็นที่ตั้งแห่งโสมนัส. เห็นรูปใดแล้วโทมนัสเกิดขึ้น รูปนั้นชื่อว่าเป็นที่ตั้งแห่งโทมนัส. เห็นรูปใดแล้วอุเบกขาเกิดขึ้น รูปนั้นชื่อว่าเป็นที่ตั้งแห่งอุเบกขา. แม้ในเสียงเป็นต้นก็มีนัยนี้แล. กัมมัฏฐานนี้มาแล้วโดยย่อ ด้วยประการดังพรรณนามาฉะนี้. ส่วนกัมมัฏฐานนั้นในที่ที่มาแล้วโดยย่อ ควรกล่าวทั้งโดยย่อ ทั้งโดยพิสดาร. ในที่มาแล้วโดยพิสดาร ไม่ควรกล่าวโดยย่อ. แต่ในติตถายนสูตรนี้ กัมมัฏฐานนี้มาแล้วด้วยอำนาจมโนปวิจาร ๑๘ โดยย่อ. กัมมัฏฐานนั้นควรกล่าวทั้งโดยย่อทั้งโดยพิสดาร. ในกัมมัฏฐานนั้น ว่าโดยย่อก่อน รูป ๙ เหล่านี้คือ จักขุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กาย รูป เสียง กลิ่น รส เป็นอุปาทารูป เมื่อเห็นอุปาทารูปทั้ง ๙ เหล่านั้นแล้ว อุปาทารูปที่เหลือก็เป็นอันเห็นด้วยเหมือนกัน. โผฏฐัพพะ คือมหาภูตรูป ๓ เมื่อเห็นมหาภูตรูปทั้ง ๓ เหล่านั้นแล้ว มหาภูตรูปที่ ๔ ก็เป็นอันเห็นด้วยเหมือนกัน. มโนเป็นวิญญาณขันธ์. ธรรมทั้งหลายมีเวทนาเป็นต้นที่เกิดพร้อมกับวิญญาณขันธ์นั้นเป็นอรูปขันธ์. พึงทราบกัมมัฏฐานที่เป็นเหตุให้บรรลุอรหัตผล ทั้งโดยย่อ ทั้งโดยพิสดาร ตามนัยที่กล่าวแล้วในตอนต้นนั่นแล. บทว่า อริยสจฺจานิ ได้แก่ สัจจะทั้งหลายที่ทำให้เป็นพระอริยะ หรือที่พระอริยเจ้าแทงตลอดแล้ว. ในที่นี้มีความย่อเพียงเท่านี้. แต่เมื่อว่าโดยพิสดารแล้ว บทนี้ได้ประกาศไว้แล้วในวิสุทธิมรรค. ธาตุ ๖ ตอบว่า เพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจได้ง่าย. จริงอยู่ พระตถาคตเจ้าประสงค์จะตรัสปัจจยวัฏฏกะ ๑๒ บทแก่บุคคลใด ก็ทรงแสดงวัฏฏะคือ การก้าวลงสู่ครรภ์แก่บุคคลนั้น. เพราะว่า เมื่อทรงแสดงวัฏฏะคือ การก้าวลงสู่ครรภ์แล้ว ก็ทรงมีความสะดวกที่จะตรัสเองทั้งที่จะสอนผู้อื่นให้รู้. (ฉะนั้น) จึงควรทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเริ่มบทนี้ไว้ ก็เพื่อสอนผู้อื่นให้รู้ได้ง่าย. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ฉนฺนํ ธาตูนํ ได้แก่ ปฐวีธาตุเป็นต้นที่กล่าวแล้วในตอนต้นนั่นแล. บทว่า อุปาทาย แปลว่า อาศัย. ด้วยบทว่า อุปาทาย นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแต่เพียงปัจจัย. มีคำอธิบายดังนี้ว่า การก้าวลงสู่ครรภ์มารดา มีเพราะธาตุ ๖ เป็นปัจจัย. เพราะธาตุ ๖ ของสัตว์ผู้เกิดในครรภ์นั้นเป็นปัจจัย. ถามว่า ของมารดาหรือว่าของบิดา. ตอบว่า ไม่ใช่ของมารดา ไม่ใช่ของบิดา เพราะธาตุ ๖ ของสัตว์ผู้ถือปฏิสนธินั่นแลเป็นปัจจัย จึงมีการก้าวลง (สู่ครรภ์มารดา) ของสัตว์ผู้เกิดในครรภ์. ก็ขึ้นชื่อว่า คัพภสัตว์ (สัตว์ผู้เกิดในครรภ์) นี้มีประการต่างๆ คือ คัพภสัตว์ในนรก คัพภสัตว์ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน คัพภสัตว์ในปัตติวิสัย คัพภสัตว์ในกำเนิดมนุษย์ คัพภสัตว์ในกำเนิดเทวดา. แต่ในที่นี้ประสงค์เอาคัพภสัตว์ในกำเนิดมนุษย์. บทว่า อวกฺกนฺติ โหติ ความว่า มีการก้าวลง การบังเกิด ความปรากฏ. ถามว่า มีได้อย่างไร? ตอบว่า มีเพราะการประชุมพร้อมแห่งองค์ ๓. สมจริงดังพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดังนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะการประชุมพร้อมแห่งองค์ ๓ แล จึงมีการก้าวลง (สู่ครรภ์มารดา) ของสัตว์ผู้เกิดในครรภ์ องค์ประกอบ ๓ ประการ คือ อะไรบ้าง? คือ มารดาบิดาในโลกนี้อยู่ร่วมกัน ๑ มารดาเป็นหญิงอยู่ในวัยที่มีรอบเดือน ๑ คันธัพพสัตว์ยังไม่ปรากฏ ๑. การก้าวลง (สู่ครรภ์มารดา) ของสัตว์ผู้เกิดในครรภ์ยังไม่มีก่อน มารดาบิดาในโลกนี้อยู่ร่วมกัน และมารดาเป็นหญิงที่อยู่ในวัยที่มีรอบเดือน แต่ว่าคันธัพพสัตว์ยังไม่ปรากฏ (อย่างนี้) การก้าวลง (สู่ครรภ์มารดา) ของสัตว์ผู้เกิดในครรภ์ยังไม่มีก่อน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แต่ว่า เมื่อใดแล มารดาบิดาอยู่ร่วมกัน ๑ มารดาเป็นหญิงที่อยู่ในวัยที่มีรอบเดือน ๑ คันธัพพสัตว์ปรากฏ ๑ เพราะความประชุมพร้อมแห่งองค์ ๓ ดังว่ามานี้ การก้าวลง (สู่ครรภ์มารดา) ของสัตว์ผู้เกิดในครรภ์จึงมี. บทว่า โอกฺกนฺติยา สติ นามรูปํ ความว่า ในที่ที่ตรัสไว้ว่า เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมุ่งถึงธรรม ๓๓ ประการ คือ วัตถุทสกะ กายทสกะ ภาวทกะ (และ) อรูปขันธ์ ๓. แต่ในที่ที่ตรัสไว้ว่า เมื่อมีการก้าวลง นามรูปจึงมี นี้พึงทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง เสวยเวทนา ผู้เสวยเวทนาอยู่ก็ดี ผู้รู้เวทนาอยู่ก็ดี เรียกว่าผู้เสวย (ทั้งนั้น). อธิบายว่า ผู้กำลังเสวยอยู่ ชื่อว่าผู้เสวย (ดัง) ในประโยคนี้ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้ากำลังเสวยอยู่ ขอสงฆ์จงทรงจำข้าพเจ้าไว้ว่า กำลังเสวยอยู่. ผู้รู้อยู่ ชื่อว่าผู้เสวย (ดัง) ในประโยคนี้ว่า บุคคลเมื่อเสวยสุขเวทนา ก็รู้ชัดว่าเรากำลังเสวยสุขเวทนา. แม้ในที่นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงประสงค์เอาผู้ที่รู้อยู่นั่นแลว่าผู้เสวย. บทว่า อิทํ ทุกฺขนฺติ ปญฺญาเปมิ ความว่า เราตถาคตบัญญัติว่า นี้ทุกข์ ทุกข์มีเท่านี้ ไม่มีทุกข์นอกเหนือไปจากนี้แก่สัตว์ผู้รู้อยู่อย่างนี้ คือสอนให้เขารู้ ได้แก่สอนให้เขาทราบ. แม้ในบทว่า อยํ ทุกฺขสมฺทโย เป็นต้น ก็มีนัยนี้แล. บรรดาสัจจะมีทุกข์เป็นต้นในสูตรนั้น สันนิฏฐานกถาดังนี้ ก็เว้นตัณหาเสียแล้ว ขันธ์ ๕ ที่เป็นไปภูมิ ๓ ชื่อว่าทุกข์. ตัณหาในกาลก่อนที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์นั้นนั่นแล ชื่อว่าทุกข ตรัสปฏิจจสมุปบาทแก่ใคร? บัดนี้ เมื่อจะทรงขยายสัจจะเหล่านั้นที่วางไว้ตามลำดับให้พิสดาร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำว่า กตมญฺจ ภิกฺขเว เป็นต้น. ทุกข์ทั้งหมดนั้นในคำนั้น ข้าพเจ้า (พระพุทธโฆสาจารย์) ได้อธิบายไว้แล้วอย่างละเอียดทุกแง่ทุกมุมในวิสุทธิมรรคทีเดียว. พึงทราบตามนัยที่กล่าวไว้ในวิสุทธิมรรคนั้นเถิด. ส่วนที่แปลกกันมีดังต่อไปนี้. บรรดาอริยสัจเหล่านั้น อริยสัจคือทุกขสมุทัยมาแล้ว ตามแบบนี้คือ ยายํ ตณฺหา โปโนพฺภวิกา ในที่นี้มาแล้วด้วยอำนาจปัจจยาการว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา เป็นต้น. อนึ่ง บรรดาอริยสัจเหล่านั้น อริยสัจคือทุกขนิโรธมาแล้ว ตามแบบนี้ คือ โย ตสฺสาเยว ตณฺหาย อเสสวิราคนิโรโธ ในที่นี้มาแล้วด้วยอำนาจการดับปัจจยาการ คือ อวิชฺชายเตฺวว อเสสวิราคนิโรธา เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อเสสวิราคนิโรธา ความว่า บททั้ง ๒ นั้น (วิราคะกับนิโรธะ) เป็นไวพจน์ของกันและกันนั่นเอง เพราะสำรอกไม่เหลือและเพราะดับไม่เหลือ (เหมือนกัน). บทว่า สงฺขารนิโรโธ ได้แก่ มีการดับสังขารทั้งหลายโดยไม่เกิดขึ้นอีก. แม้ในบทที่เหลือก็มีนัยนี้แล. อนึ่ง กิเลสทั้งหลายมีอวิชชาเป็นต้นมาถึงฐานะใดย่อมดับไป ฐานะนั้นเมื่อว่าโดยความหมายก็คือนิพพาน เป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้แล้วด้วยบทเหล่านี้. จริงอยู่ นิพพาน พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้โดยนามว่า ความดับสนิทแห่งธรรมเหล่านั้นอย่างนี้คือ อวิชฺชานิโรโธ (ความดับสนิทแห่งอวิชชา) บ้าง สงฺขารนิโรโธ (ความดับสนิทแห่งสังขาร) บ้าง. บทว่า เกวลสฺส แปลว่า ทั้งหมด. บทว่า ทุกฺขกฺขนฺสฺส คือ กองแห่งวัฏฏทุกข์. บทว่า นิโรโธ โหติ คือ มีความไม่เป็นไป. ในบทว่า นิโรโธ โหติ นั้นพึงทราบว่า เพราะเหตุที่ดับสนิทแห่งกิเลสทั้งหลายมีอวิชชาเป็นต้น เรียกว่าอาการที่สิ้นไปแห่งกิเลสทั้งหลายมีอวิชชาเป็นต้นบ้าง ว่าอรหัตผลบ้าง ว่านิพพานบ้าง ฉะนั้น ในที่นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสอรหัตผลไว้ในฐานะ ๑๒ ด้วยอำนาจการเห็นอาการที่กิเลสมีอวิชชาเป็นต้นสิ้นไปแล้ว (และ) ตรัสนิพพานไว้ในฐานะ ๑๒ เช่นกัน. ในบทว่า อิทํ วุจฺจติ นี้ มีอธิบายว่า บทว่า อิทํ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอานิพพาน อย่างเดียวหามิได้. บทว่า อฏฺฐงฺคิโก ความว่า ชื่อว่ามรรคอื่นที่พ้นไปจากองค์ ๘ ไม่มี. เปรียบเหมือนว่า เมื่อกล่าวว่า ดนตรีประกอบด้วยองค์ ๕ ก็เป็นอันกล่าวว่า ดนตรีมีเพียงองค์ ๕ เท่านั้นฉันใด แม้ในที่นี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน คือ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า มรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ก็พึงทราบว่า เป็นอันตรัสว่า มรรคมีองค์ ๘ เท่านั้น. บทว่า อนิคฺคหิโต คือ ไม่ถูกข่ม. อธิบายว่า บุคคลเมื่อข่มธรรม ย่อมแสดงอริยสัจ ลดจำนวนลงบ้าง เพิ่มจำนวนขึ้นบ้าง เปลี่ยนแปลงอริยสัจนั้นบ้าง. ข้อนั้นๆ อันใครๆ ไม่สามารถจะแสดงอริยสัจ ๔ ลดจำนวนลงอย่างนี้คือ อริยสัจ ๔ เหล่านี้ ไม่มีมีเพียง ๒ หรือ ๓ เท่านั้นบ้าง ไม่สามารถจะแสดงเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างนี้คือ อริยสัจมี ๕ หรือ อริยสัจ ๖ บ้าง ไม่สามารถจะแสดงเปลี่ยนแปลงว่า อริยสัจไม่ใช่ ๔ ข้อนี้ อริยสัจ ๔ เป็นอย่างอื่น ฉะนั้น ธรรมนี้จึงชื่อว่าไม่ถูกข่ม. บทที่เหลือในที่ทุกแห่งง่ายทั้งนั้นแล. จบอรรถกถาติตถายตนสูตรที่ ๑ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต ทุติยปัณณาสก์ มหาวรรคที่ ๒ ๑. ติตถสูตร จบ. |