ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 20 / 1อ่านอรรถกถา 20 / 595อรรถกถา เล่มที่ 20 ข้อ 596
อรรถกถา อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต
พระสูตรที่ไม่สงเคราะห์เข้าในปัณณาสก์

               อรรถกถาพระสูตรที่ไม่สงเคราะห์เข้าเป็นปัณณาสก์               
               ในสูตรทั้งหลายต่อจากนี้ไป พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
               บทว่า อาคาฬฺหา ปฏิปทา ได้แก่ ปฏิปทาที่ย่อหย่อน คือหละหลวม ได้แก่ยึดถือไว้อย่างมั่นคงด้วยอำนาจโลภะ.
               บทว่า นิชฺฌามา ได้แก่ ปฏิปทาที่ตึงมากไป คือแผดเผาตน ทำตนให้ร้อนรน ด้วยสามารถแห่งอัตตกิลมถานุโยค.
               บทว่า มชฺฌิมา ได้แก่ ปฏิปทาที่ไม่หย่อน ไม่ตึง อยู่ตรงกลาง.
               บทว่า อเจลโก คือ ไม่มีผ้า ได้แก่เป็นคนเปลือย.
               บทว่า มุตฺตาจาโร ได้แก่ ปล่อยปละละเลย อาจาระ. เขาเป็นผู้เว้นจากอาจาระของกุลบุตร ในทางโลก ในกิจส่วนตัวทั้งหลายมีการถ่ายอุจจาระเป็นต้น ยืนถ่ายอุจจาระ ยืนถ่ายปัสสาวะ ยืนเคี้ยว ยืนกิน.
               บทว่า หตฺถาวเลขโน ความว่า เมื่อก้อนข้าวในมือหมดแล้ว (นักบวชเปลือยมีปฏิปทาตึงนั้น) ก็ใช้ลิ้นเลียมือ หรือไม่ก็ถ่ายอุจจาระแล้ว เป็นผู้มีความสำคัญในมือนั้นแหละว่าเป็นน้ำ เอามือเช็ด (ทำความสะอาด).
               นักบวชเปลือย ชื่อว่า น เอหิภทนฺติโก เพราะหมายความว่า เมื่อประชาชนกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ขอท่านได้โปรดมาเพื่อรับภิกษาเถิดดังนี้ ก็ไม่มา.
               นักบวชเปลือย ชื่อว่า นติฏฺฐภทนฺติโก เพราะหมายความว่า แม้เมื่อประชาชนกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น นิมนต์หยุดยืนอยู่ก่อนท่านผู้เจริญ ก็ไม่ยอมหยุดยืน.
               เล่ากันว่า นักบวชเปลือยนั้นไม่ยอมทำทั้งการมาและการหยุดยืนทั้งสองนั้น ก็เพราะกลัวว่า จักเป็นทำการทำตามคำพูดของคนนิมนต์นั้น.
               บทว่า อภิหฏํ ได้แก่ ภิกษาที่เขาถือมาให้ก่อน (ที่ตนจะไปถึง).
               บทว่า อุทฺทิสฺส กตํ ได้แก่ ภิกษาที่เขาบอกว่า คนเหล่านี้ทำเจาะจง (ถวาย) พวกท่าน.
               บทว่า นิมนฺตนํ ความว่า นักบวชเปลือยถูกเขานิมนต์อย่างนี้ ขอนิมนต์เข้าไป (รับภิกษา) ยังตระกูล ถนนหรือหมู่บ้าน ชื่อโน้น ก็ไม่ยินดี คือไม่รับแม้ภิกษา.
               บทว่า น กุมฺภิมุขา ได้แก่ ไม่รับภิกษาที่เขาคดจากหม้อมาให้.
               บทว่า กโฬปิ ในคำว่า นกโฬปิมุขา ได้แก่หม้อข้าวหรือกระเช้า. นักบวชเปลือยจะไม่รับภิกษาจากหม้อข้าวหรือกระเช้าแม้นั้น.
               ถามว่า เพราะเหตุไรจึงไม่รับ.
               ตอบว่า เพราะคิดว่า หม้อและกระเช้าอาศัยเราได้กระทบกับทัพพี.
               บทว่า น เอลกมนฺตรํ ความว่า ไม่รับภิกษาที่เขายืนคร่อมธรณีประตูถวาย.
               ถามว่า เพราะเหตุไร.
               ตอบว่า เพราะคิดว่า บุคคลนี้อาศัยเราแล้วจึงได้การยืนคร่อมธรณีประตู.
               แม้ในท่อนไม้และสากก็มีนัยนี้แล.
               บทว่า ทฺวินฺนํ ความว่า เมื่อคนสองคนกำลังบริโภคกันอยู่ เมื่อคนหนึ่งลุกขึ้นให้ก็ไม่รับ.
               ถามว่า เพราะเหตุไร.
               ตอบว่า เพราะคิดว่า มีอันตรายแต่คำข้าว.
               ส่วนในบทว่า น คพฺภนิยา เป็นต้น พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
               สำหรับหญิงมีครรภ์ ทารกที่อยู่ในท้อง จะได้รับการกระทบกระเทือน. สำหรับหญิงที่กำลังให้ลูกดื่มน้ำนม อันตรายเนื่องจากการดื่มน้ำนมจะมีแก่ทารก. สำหรับหญิงที่อยู่ชายอื่น อันตรายแห่งความกำหนัดยินดีจะมี เพราะเหตุนั้น ดังว่ามานี้ นักบวชเปลือยจึงไม่รับภิกษา (จากหญิงเหล่านี้).
               บทว่า น สงฺกิตฺตีสุ ได้แก่ ในภัตรที่เขาระบุให้ทำ.
               เล่ากันว่า ในสมัยข้าวยากหมากแพง สาวกของอเจลกก็รวบรวมเอาข้าวสารเป็นต้นจากที่นั้นๆ มาหุงเป็นข้าวสวยเพื่อประโยชน์แก่อเจลกทั้งหลาย อเจลกผู้รังเกียจก็ไม่ยอมรับจากภัตรนั้น.
               บทว่า น ยตฺถ สา ความว่า ในที่ใด สุนัขปรากฏตัวด้วยหวังว่าจะได้ก้อนข้าว ในที่นั้น อเจลกจะไม่ยอมรับภิกษาที่ยังไม่ได้ให้แก่สุนัขนั้น แล้วนำมาให้ตน.
               ถามว่า เพราะเหตุไร.
               ตอบว่า เพราะคิดว่า อันตรายแห่งก้อนข้าว (ที่ไม่ได้ก้อนข้าว) จะมีแก่สุนัขนั้น.
               บทว่า สณฺฑสณฑจาริณี ได้แก่ แมลงวันบินไปเป็นกลุ่มๆ. อธิบายว่า ถ้าผู้คนทั้งหลายเห็นอเจลกแล้ว เข้าไปสู่โรงครัวด้วยคิดว่า จักถวายแก่อเจลกนี้ และเมื่อผู้คนเหล่านั้นเข้าไป แมลงวันที่จับอยู่ตามปากกระเช้าเป็นต้นก็จะบินขึ้นไปเป็นกลุ่มๆ อเจลกจะไม่รับภิกษาที่นำมาจากที่ที่แมลงวันบินขึ้นไปนั้น.
               ถามว่า เพราะเหตุไร.
               ตอบว่า เพราะคิดว่า อันตรายในที่หากินของแมลงวัน เกิดเพราะอาศัยของเรา.
               บทว่า น ถูโสทกํ ได้แก่ น้ำดื่มที่ทำด้วยเครื่องปรุง คือข้าวกล้าทุกชนิด.
               ก็ในที่นี้ การดื่มสุราเท่านั้นมีโทษ. แต่อเจลกนี่มีความสำคัญในน้ำดื่มทุกชนิดว่ามีโทษ. อเจลกใดรับภิกษาในเรือนหลังเดียวแล้วกลับ อเจลกนั้นชื่อว่าเอกาคาริก อเจลกใดเลี้ยงอัตภาพด้วยข้าวคำเดียวเท่านั้น อเจลกนั้นชื่อว่าเอกาโลปิกะ.
               แม้ในอเจลกประเภททวาคาริกะเป็นต้น ก็มีนัยนี้แล.
               บทว่า เอกิสฺสาปิ ทตฺติยา ได้แก่ ในถาดใบเดียว. ที่ชื่อว่า ทตฺติ ได้แก่ ถาดใบเล็กๆ ใบเดียวที่ผู้คนใส่ภิกษาอันเลิศวางไว้.
               บทว่า เอกาหิตํ ได้แก่ อาหารที่งดรับประทานมื้อหนึ่ง.
               บทว่า อฑฺฒมาสิกํ ได้แก่ อาหารที่งดรับประทานครึ่งเดือน.
               บทว่า ปริยายภตฺตโภชนํ ได้แก่ การบริโภคภัตรที่เขาถวายตามวาระ คือการบริโภคภัตรที่เขานำมาให้ตามวาระของกันอย่างนี้ คือ ตามวาระวันเดียว ตามวาระ ๒ วัน ตามวาระ ๗ วัน ตามวาระครึ่งเดือน
               บทว่า สากภกฺโข เป็นต้นมีความหมายดังกล่าวแล้วแล.
               บทว่า อุพฺภฏฺฐโก แปลว่า ผู้ยืนอยู่ข้างบน.
               บทว่า อุกฺกุฏิกปฺปธานมนุยุตฺโต ได้แก่ ผู้ประกอบความเพียรในอิริยาบถกระโหย่ง แม้เมื่อกิน ก็เดินกระโหย่งไป คือกระโดดๆ ไป.
               บทว่า กณฺฏกาปสฺสยิโก ความว่า ตอกหนามเหล็กหรือหนามธรรมดาไว้ในพื้นดินแล้ว ลาดหนังบนหนามนั้น ทำการเคลื่อนไหวอิริยาบถมีการยืนและการจงกรมเป็นต้น.
               บทว่า เสยฺยํ ได้แก่ แม้เมื่อนอนก็สำเร็จการนอนอย่างเดียวกันนั้น.
               บทว่า สายํ ตติยมสฺส ได้แก่ ประกอบการพยายามลงอาบน้ำมีเวลาเย็นเป็นครั้งที่ ๓ คือวันละ ๓ ครั้ง คือเช้า กลางวัน เย็นอยู่ด้วยคิดว่า เราจักลอยบาป.
               บทว่า กาเย กายานุปสฺสี เป็นต้น พึงทราบตามนัยที่กล่าวแล้วในอรรถกถาเอกนิบาต ในหนหลัง.
               บทว่า อยํ วุจฺจติ ภิกฺขเว มชฺฌิมา ปฏิปทา ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปฏิปทานี้ไม่เข้าไปใกล้ที่สุดโต่ง ๒ อย่าง คือ กามสุขัลลิกานุโยคและอัตตกิลมถานุโยค.
               อีกอย่างหนึ่ง ปฏิปทาที่พ้นไปจากที่สุดโต่งคือสัสสตทิฏฐิและอุจเฉททิฏฐิ พึงทราบว่า เป็นมัชฌิมาปฏิปทา.
               บทว่า สมนุญฺโญ ได้แก่ มีอัธยาศัยเสมอกัน.
               บทว่า ราคสฺส ได้แก่ ราคะเนื่องในเบญจกามคุณ.
               บทว่า อภิญฺญาย แปลว่า เพื่อรู้ยิ่ง.
               วิปัสสนาแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ด้วยสมาธิทั้ง ๓ มีบทว่า สุญฺญโต สมาธิ เป็นต้น. แท้จริง วิปัสสนาได้ชื่อเหล่านี้ ก็เพราะไม่มีการยึดถือว่าเที่ยง นิมิตว่าเที่ยง และความปรารถนาว่าเที่ยง.
               บทว่า ปริญฺญาย แปลว่า เพื่อกำหนดรู้.
               แม้ในบทที่เหลือก็มีนัยนี้แล.

               จบติกนิบาตวรรณนา               
               ในอรรถกถาอังคุตตรนิกาย ชื่อมโนรถปูรณี               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต พระสูตรที่ไม่สงเคราะห์เข้าในปัณณาสก์ จบ.
อ่านอรรถกถา 20 / 1อ่านอรรถกถา 20 / 595อรรถกถา เล่มที่ 20 ข้อ 596
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=20&A=7827&Z=7933
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=15&A=6388
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=15&A=6388
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๑  มกราคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :