บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] [๑๐] หน้าต่างที่ ๖ / ๑๐. ประวัติพระทัพพมัลลบุตร บทว่า เสนาสนปญฺญาปกานํ ความว่า ภิกษุผู้เจ้าหน้าที่จัดเสนาสนะ. ได้ยินว่า ในเวลาพระเถระจัดเสนาสนะในบรรดามหาวิหารทั้ง ๑๘ แห่ง มิได้มีบริเวณที่ยังมิได้กวาดให้เรียบร้อย เสนาสนะที่มิได้ปฏิบัติบำรุง เตียงตั่งที่ยังมิได้ชำระให้สะอาด น้ำดื่ม น้ำใช้ที่ยังมิได้ตั้งไว้ เพราะฉะนั้น ท่านจึงชื่อว่าเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้เป็นเจ้าหน้าที่จัดเสนาสนะ. คำว่า ทัพพะ เป็นชื่อของท่าน แต่เพราะท่านเกิดในตระกูลของเจ้ามัลละจึงชื่อว่า มัลลบุตร. ในปัญหากรรมของท่านมีเรื่องที่จะกล่าวไปตามลำดับดังต่อไปนี้ :- จะกล่าวโดยย่อ ครั้งพระปทุมุตตระพุทธเจ้า พระเถระนี้เกิดในครอบครัวในกรุงหงสวดี เจริญวัยแล้วไปวิหารฟังธรรม โดยนัยที่กล่าวแล้วนั่นแหละ เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุไว้ในตำแหน่งเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้มีหน้าที่จัดเสนาสนะ กระทำกุศลกรรมปรารถนาตำแหน่งนั้น. พระศาสดาทรงพยากรณ์แล้ว กระทำกุศลจนตลอดชีพ เวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์. เมื่อครั้งศาสนาของพระกัสสปทศพล เสื่อมแล้ว จึงบวชแล้ว. ครั้งนั้น คนอื่นอีก ๖ คนกับภิกษุนั้นรวมเป็นภิกษุ ๗ รูปมีจิตเป็นอันเดียวกัน เห็นบุคคลเหล่าอื่นๆ นั้น ไม่กระทำความเคารพในพระศาสดา จึงปรึกษากันว่า ในครั้งนี้เราจะทำอย่างไร กระทำบำเพ็ญสมณธรรมในที่สมควรส่วนหนึ่ง จักกระทำที่สุดทุกข์ได้ จึงผูกบันไดขึ้นยอดภูเขาสูง กล่าวว่า ผู้ที่รู้กำลังจิตของตนจงผลักบันไดให้ตกไป ผู้ที่ยังมีความเดือดร้อนในภายหลังอยู่เถิด จึงพร้อมใจกันผลักบันไดให้ตกไป กล่าวสอนซึ่งกันและกันว่า อาวุโส ท่านจงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด นั่งในที่ที่ชอบใจ เริ่มบำเพ็ญสมณ บรรดาภิกษุทั้ง ๗ นั้น พระเถระรูปหนึ่งบรรลุพระอรหัตในวันที่ ๕ คิดว่า กิจของเราเสร็จแล้ว เราจักทำอะไรในที่นี้ จึงไปนำบิณฑบาตมาแต่อุตตรกุรุทวีป อาวุโส พวกเราผลักบันไดให้ตกไปได้พูดกันอย่างนี้มิใช่หรือว่า ผู้ใดกระทำให้แจ้งซึ่งธรรมก่อน ผู้นั้นจงไปนำภิกษามา ภิกษุนอกนี้ฉันภิกษาที่ท่านนำมาแล้วจักกระทำสมณธรรม. ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า อาวุโส ไม่ต้อง. พระเถระกล่าวว่า ท่านทั้งหลายได้แล้วด้วยเหตุอันมีในก่อนแห่งตน แม้กระผมทั้งหลายสามารถอยู่ก็จักกระทำ พระเถระเมื่อไม่อาจยังภิกษุเหล่านั้นให้เข้าใจกันได้ ฉันบิณฑบาตในที่ที่เป็นผาสุกแล้วก็ไป ในวันที่ ๗ พระเถระอีกองค์หนึ่งบรรลุอนาคา ฝ่ายพระเถระนอกนี้ จุติจากอัตภาพนั้น ก็เวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์สิ้นพุทธันดรหนึ่ง บังเกิดในตระกูลนั้นๆ องค์หนึ่งบังเกิดในพระราชนิเวศน์ในกรุงตักก ส่วนพระทัพพมัลละนี้ถือปฏิสนธิในนิเวศน์ของเจ้ามัลละพระองค์หนึ่ง ในอนุปิยนคร มัลลรัฐ ในเวลาใกล้คลอด มารดาของท่านก็ทำกาละ ญาติทั้งหลายนำสรีระของคนตายไปยังป่าช้าแล้วยกขึ้นสู่เชิงตะกอนไม้แล้วจุดไฟ. พอไฟสงบลงพื้นท้องของนางนั้นก็แยกออกเป็น ๒ ส่วน มีทารกกระเด็นขึ้นไปตกที่เสาไม้ต้นหนึ่งด้วยกำลังบุญของตน คนทั้งหลายอุ้มทารกนั้นไปให้แก่ย่าแล้ว ย่านั้นเมื่อจะตั้งชื่อทารกนั้น จึงตั้งชื่อของท่านว่า ทัพพะ เพราะท่านกระเด็นไปที่เสาไม้จึงรอดชีวิต. เมื่อท่านมีอายุ ๗ ขวบ พระศาสดามีภิกษุสงฆ์เป็นบริวาร เสด็จจาริกไปในมัลลรัฐ ลุถึงอนุปิยนิคมประทับอยู่ ณ อนุปิยอัมพวัน ทัพพกุมารเห็นพระศาสดาก็เลื่อมใสในพุทธศาสนาทีเดียว ก็อยากจะบวชจึงลาย่าว่า หลานจักบวชในสำนักพระทศพล ย่ากล่าว พระศาสดาทรงประทานสัญญาแก่ภิกษุรูปหนึ่งว่า ภิกษุ เธอจงให้ทารกนี้บวชเถิด. พระเถระนั้นรับพระพุทธดำรัสแล้วก็ให้ทัพพกุมารบรรพชา บอกตจปัญจกกัมมัฏฐาน สัตว์ผู้สมบูรณ์ด้วยบุรพเหตุ ได้บำเพ็ญบารมีไว้แล้ว ในขณะที่ปลงผมปอยแรก ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลเมื่อปลงผมปอยที่ ๒ ตั้งอยู่ในสกทาคามิผล ปอยที่ ๓ ตั้งอยู่ในอนาคามิผล ก็การปลงผมเสร็จและการทำให้แจ้งอรหัตตผล ก็เกิดไม่ก่อนไม่หลังคือพร้อมกัน. พระศาสดาประทับอยู่ในมัลลรัฐตามพระพุทธอัธยาศัยแล้ว เสด็จไปยังกรุงราชคฤห์ สำราญพระอิริยาบถอยู่ในพระเวฬุวันวิหาร ในที่นั้น ท่านพระทัพพมัลลบุตรอยู่ในที่ลับ ตรวจดูความสำเร็จกิจของตน ประสงค์จะประกอบกายในการกระทำความขวนขวายแก่พระสงฆ์ คิดว่า ถ้ากะไร เราจะพึงจัดแจงเสนาสนะและจัดอาหารถวายสงฆ์ ท่านจึงเข้าเฝ้าพระศาสดา กราบทูลถึงความปริวิตกของตน พระศาสดาทรงประทาน ครั้งนั้น พระศาสดาทรงดำริว่า พระทัพพนี้ยังเด็กอยู่แต่ดำรงอยู่ใน ได้ยินว่า พระทัพพมัลลบุตรย่อมเข้าใจจัดเสนาสนะในที่เดียวกัน ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายสั่งให้ท่านจัดแจงเสนาสนะอย่างนี้ว่า อาวุโส จงจัดเสนาสนะแก่พวกเราในชีวกัมพวัน จงจัดเสนาสนะให้แก่พวกเราในมัททกุจฉิมิคทายวัน แล้วเห็นฤทธิ์ของท่านก็ไป ในกาลบ้างในวิกาลบ้าง แม้พระทัพพนั้นก็ นี้เป็นความสังเขปในเรื่องนี้ แต่โดยพิสดารเรื่องนี้มาในพระบาลีแล้วเหมือนกัน พระศาสดาทรงกระทำเหตุนี้นั่นแหละให้เป็นอัตถุปปัติเหตุเกิดเรื่อง เหมือนกับนั่งท่ามกลางหมู่พระอริยะ ทรงสถาปนาพระเถระไว้ในตำแหน่งเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้เป็นเจ้าหน้าที่จัดเสนาสนะแล. จบอรรถกถาสูตรที่ ๖ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เอตทัคคบาลี วรรคที่ ๓ |