บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] [๑๐] [๑๑] [๑๒] หน้าต่างที่ ๓ / ๑๒. ประวัติพระกาฬุทายีเถระ บทว่า กุลปฺปสาทกานํ ได้แก่ ผู้ทำสกุลให้เลื่อมใส. แท้จริง พระเถระนี้ทำราชนิเวศน์ของพระเจ้าสุทโธทนมหาราชผู้ยังไม่พบพระพุทธเจ้าเท่านั้นให้เลื่อมใส เพราะเหตุนั้น ท่านจึงเป็นยอดของภิกษุสาวกผู้ทำสกุลให้เลื่อมใส. ในปัญหากรรมของท่าน มีเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับ ดังนี้. ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ พระเถระนี้บังเกิดในเรือนสกุล ณ กรุงหงสวดี กำลังฟังธรรมเทศนาของพระศาสดา เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นยอดของภิกษุสาวกผู้ทำสกุลให้เลื่อมใส จึงกระทำกุศลกรรมให้ยิ่งยวดขึ้นไปแล้ว ปรารถนาตำแหน่งนั้น ท่านกระทำกุศลตลอดชีวิต เวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ถือปฏิสนธิในเรือนของอมาตย์ ณ กรุงกบิลพัสดุ ในวันที่พระโพธิสัตว์ของเราทรงถือปฏิสนธิในครรภ์ของพระมารดา ในวันเกิดก็เกิดพร้อมกับพระโพธิสัตว์แล ในวันนั้น ญาติทั้งหลายก็ให้นอนบนเครื่องรองรับคือผ้าแล้วนำไปถวายตัวเพื่อรับใช้พระโพธิสัตว์. ต้นโพธิพฤกษ์ พระมารดาของพระราหุล ขุมทรัพย์ทั้ง ๔ ช้างทรง ม้ากัณฐกะ นายฉันนะ อมาตย์กาฬุทายี รวมเป็น ๗ นี้ ชื่อว่าสัตตสหชาต เพราะเกิดวันเดียวกับพระโพธิสัตว์. ในวันขนานนามทารกนั้น เหล่าญาติตั้งชื่อว่าอุทายี เพราะเกิดในวันที่ชาวนครทั่วไปมีจิตใจฟูขึ้น (สูง). แต่เพราะเขาเป็นคนดำนิดหน่อย จึงเกิดชื่อว่า กาฬุทายี. กาฬุทายีนั้นเล่นของเล่นสำหรับเด็กชายกับพระโพธิสัตว์จนเจริญวัย. ต่อมา พระโพธิสัตว์เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ บรรลุพระสัพพัญญุตญาณตามลำดับ ทรงประกาศ สมัยนั้น พระเจ้าสุทโธทนมหาราชทรงสดับว่า สิทธัตถกุมาร ครั้งพระศาสดาทรงเหยียดพระหัตถ์แก่อำมาตย์และบุรุษพันคนนั้น ด้วยพระดำรัสว่า พวกเธอจงเป็นภิกษุเถิด. ทันใดนั้นเอง ทุกคนก็ทรงบาตรและจีวรสำเร็จมาแต่ฤทธิ์ ได้เป็นเหมือนพระเถระร้อยพรรษา นับแต่เวลาบรรลุพระอรหัตกันแล้ว ธรรมดาว่าพระอริยะทั้งหลายย่อมเป็นผู้วางเฉย เพราะฉะนั้น อำมาตย์นั้นจึงไม่ได้ทูลข่าวสาส์นที่พระราชาทรงส่งไปแด่พระทศพล. พระราชาทรงพระดำริว่า อำมาตย์ยังไม่กลับมาจากที่นั้น ข่าวคราวก็ไม่ได้ยิน จึงทรงส่งอำมาตย์คนอื่นๆ ไปโดยทำนองนั้นนั่นแล. อำมาตย์แม้นั้นไปแล้วก็บรรลุพระอรหัตพร้อมกับบริษัทโดยนัยก่อนนั่นแหละ แล้วก็นิ่งเสีย ทรงส่งบุรุษเก้าพันคนพร้อมกับอำมาตย์เก้าคน ด้วยประการฉะนี้ ทุกๆ คนสำเร็จกิจของตนแล้วก็นิ่งเสีย. ครั้งนั้น พระราชาทรงพระดำริว่า คนมีจำนวนเท่านี้ไม่บอกอะไรแก่พระทศพล เพื่อเสด็จมาในที่นี้เพราะเขาไม่รักเรา คนอื่นๆ แม้ไปก็คงจักไม่สามารถนำพระทศพลมาได้ แต่อุทายีบุตรของเรา ปีเดียวกับพระทศพล โดยเล่นฝุ่นด้วยกันมา เขาคงรักเราบ้าง จึงโปรดให้เรียกตัวมาแล้วตรัสสั่งว่า ลูกเอ๋ย เจ้ามีบุรุษพันคนเป็นบริวาร จงไปนำพระทศพลมา. กาฬุทายีกราบทูลว่า ข้าแต่เทวะ ข้าพระบาทได้บรรพชาเหมือนพวกบุรุษที่ไปกันครั้งแรก จึงจักนำมา พระเจ้าข้า. รับสั่งว่า เจ้าทำกิจอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วจงนำลูกของเรามาก็แล้วกัน. กาฬุทายีรับราชโองการว่า ดีละ พระเจ้าข้า แล้วถือสาส์นของพระราชาไปกรุงราชคฤห์ ยืนฟังธรรมท้ายบริษัท ในเวลาพระศาสดาทรงแสดงธรรมแล้วบรรลุพระอรหัต ดำรงอยู่โดยเป็นเอหิภิกขุ พร้อมทั้งบริวาร. ต่อนั้นก็ดำริว่า ยังไม่เป็นกาละเทศะที่พระทศพลจะเสด็จไปยังนครแห่งสกุล ต่อสมัย
สถานที่หาอาหารยากและอดอยาก พื้นแผ่นดินเขียวขจี ชอุ่มด้วยหญ้า นี่เป็นกาลสมควร. พระศาสดาทรงทราบว่า อุทายีกล่าวสรรเสริญการเดินไปว่าเป็นกาละเทศะที่จะเสด็จดำเนินไปยังกรุงกบิลพัสดุ์ มีภิกษุสองหมื่นรูปเป็นบริวาร เสด็จออกจาริกด้วยการทรงดำเนินไปแบบไม่รีบด่วน. พระอุทายีเถระทราบว่า พระศาสดาเสด็จออกไปแล้ว คิดว่าควรจะถวายความเข้าพระหฤทัยแต่พระมหาราชเจ้าพุทธบิดา จึงเหาะไปปรากฏ ณ พระราชนิเวศน์ของพระราชา พระราชาทอดพระเนตรเห็นพระเถระ ก็มีพระหฤทัยยินดี นิมนต์ให้นั่งบนบัลลังก์ (แท่น) ที่สมควรใหญ่ บรรจุบาตรให้เต็มด้วยโภชนะรสเลิศต่างๆ แล้วถวาย พระเถระลุกขึ้นแสดงอากัปปกิริยาว่าจะไป ท้าวเธอจึงตรัสว่า นิมนต์นั่งฉันสิลูกเอ๋ย ท่านทูลว่า มหาบพิตร อาตมภาพจักไปฉัน ณ สำนักพระศาสดา. ตรัสถามว่า ก็พระศาสดาอยู่ไหนล่ะพ่อเอ๋ย. ท่านทูลว่ามหาบพิตร พระศาสดามีภิกษุสองหมื่นเป็นบริวาร เสด็จ พระศาสดาก็เสวยบิณฑบาตนั้นทุกๆ วัน พระเถระนำอาหารจากพระราชนิเวศน์มาถวายแต่พระศาสดา ซึ่งกำลังเสด็จดำเนินทาง ๖๐ โยชน์ ตลอดทางโยชน์หนึ่งเป็นอย่างยิ่ง. พึงทราบเรื่องดังกล่าวมาฉะนี้ ต่อมาภายหลัง พระศาสดาทรงดำริว่า อุทายีทำพระราชนิเวศน์ทั้งสิ้นของพระมหาราชบิดาของเราให้เลื่อมใสแล้ว จึงทรงสถาปนาพระเถระไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวกผู้ทำสกุลให้เลื่อมใสแล. จบอรรถกถาสูตรที่ ๓ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เอตทัคคบาลี วรรคที่ ๔ |