บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] [๑๐] [๑๑] [๑๒] หน้าต่างที่ ๗ / ๑๒. ประวัติพระนันทกเถระ บทว่า ภิกฺขุโนวาทกานํ ได้แก่ เป็นผู้โอวาทกล่าวสอนภิกษุณี. แท้จริง พระเถระนี้ เมื่อกล่าวธรรมกถา ก็ทำภิกษุณี ๕๐๐ รูปบรรลุพระอรหัต ในการประชุมคราวเดียว เพราะเหตุนั้น ท่านจึงชื่อว่าเป็นยอดของภิกษุสาวกผู้สอนภิกษุณี. ในปัญหากรรมของท่านมีเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับดังนี้. พระเถระรูปนี้ ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ บังเกิดในครอบครัว กรุงหงสวดี กำลังฟังธรรมกถาของพระศาสดา เห็นพระศาสดาสถาปนาภิกษุรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นยอดของภิกษุสาวกผู้โอวาทสอนภิกษุณี จึงกระทำกุศลให้ยิ่งยวดขึ้นไป ปรารถนาตำแหน่งนั้น. ท่านทำกุศลจนตลอดชีวิต เวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์ ครั้งพุทธุปบาทกาลนี้ ก็ถือปฏิสนธิในครอบครัว ณ กรุงสาวัตถี เจริญวัยแล้ว ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดา ได้ศรัทธาก็บวชในสำนักพระศาสดา เจริญวิปัสสนาแล้วบรรลุพระอรหัต เป็นผู้ช่ำชองชำนาญในบุพเพนิวาสญาณ เมื่อบริษัท ๔ มาถึงแล้ว ท่านสามารถจับใจของบริษัทได้หมดแล้วกล่าวธรรมกถา เพราะฉะนั้น ท่านจึงชื่อว่า พระนันทกะธรรมกถึก. แม้พระตถาคตแล เมื่อเจ้าหนุ่มสากิยะ ๕๐๐ องค์ออกบวชจากครอบครัวเพราะเทริด เกิดกระสันจะลาสิกขา ก็ทรงพาภิกษุเจ้าสากิยะเหล่านั้นไปยังสระกุณาละ ทรงทราบว่าภิกษุเหล่านั้นสลดใจ เพราะตรัสเรื่องกุณาลชาดก จึงตรัสกถาว่าด้วยสัจจะ ๔ ให้เธอดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล. ต่อมา ตรัสมหาสมยสูตร ให้เธอบรรลุพระอรหัต ซึ่งเป็นผลอันเลิศ. ภริยาของพระเถระเหล่านั้นมีจิตใจอย่างเดียวกันหมดว่า บัดนี้เราจะทำอะไรในที่นี้ จึงพากันเข้าไปหาพระมหาปชาบดีเถรี ขอบรรพชา. ภริยาทั้ง ๕๐๐ ได้บรรพชาอุปสมบทในสำนักพระเถรีแล้ว. แต่ในชาติต่อจากอดีต ภริยาทั้งหมดได้เป็นบาทบริจาริกาของท่านพระนันทกะเถระ เมื่อดำรงอยู่ในอัตตภาพเป็นพระราชา. สมัยนั้น พระศาสดาตรัสสั่งว่าพวกภิกษุจงสอนพวกภิกษุณี พระเถระ เมื่อถึงวาระ (เวร) ก็รู้ว่าภิกษุณีเหล่านั้นเป็นบาทบริจาริกาของตนในภพก่อน จึงคิดว่า ภิกษุผู้ได้บุพเพนิวาสญาณเห็นเรากำลังนั่งกลางภิกษุณีสงฆ์ ชักอุปมาละเหตุเป็นต้นมากล่าวธรรม ตรวจดูเหตุอันนี้แล้ว จะพึงพูดเคาะว่า ท่านนันทกะไม่ยอมสละเหล่าสนมจนทุกวันนี้ ท่านมีเหล่าสนมห้อมล้อม ช่างสง่างาม เพราะเหตุนั้น ท่านจึงไม่ไปเอง ส่งภิกษุรูปอื่นไปแทน. แต่ภิกษุณีทั้ง ๕๐๐ รูปนั้นจำนงหวังเฉพาะโอวาทของพระเถระ ด้วยเหตุนี้ เมื่อถึงวาระของท่าน พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงไม่ทรงส่งภิกษุรูปอื่นไปแทน ตรัสกะพระเถระว่า เธอจงไปเอง สอนภิกษุณีสงฆ์ ท่านไม่อาจคัดค้านพระดำรัสของพระศาสดาได้ เมื่อถึงวาระของตนจึงให้โอวาท ภิกษุณีเหล่านั้นชื่นใจต่อธรรมเทศนาของพระเถระ พากันไปสำนักพระศาสดา ทูลบอกคุณที่ตนได้. พระศาสดาทรงนึกว่า ใครหนอแสดงธรรม ภิกษุณีเหล่านี้จึงจะพึงบรรลุมรรคผลชั้นสูงๆ ทรงเห็นว่า ภิกษุณีทั้ง ๕๐๐ นั้นฟังธรรมเทศนาของนันทกะอีก ก็จักบรรลุพระอรหัต. วันรุ่งขึ้น จึงทรงส่งภิกษุณีเหล่านั้นไปเพื่อฟังธรรมเทศนาในสำนักพระเถระผู้เดียว วันรุ่งขึ้น ภิกษุณีเหล่านั้นฟังธรรมแล้วก็บรรลุพระอรหัตทั้งหมด. วันนั้น เวลาที่ภิกษุณีเหล่านั้นมาเฝ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่าธรรมเทศนามีผล จึงตรัสว่า เมื่อวันวาน ธรรมเทศนาของนันทกะเป็นเสมือนพระจันทร์ ๑๔ ค่ำ วันนี้เป็นเสมือนพระจันทร์ ๑๕ ค่ำ แล้วทรงทำเหตุนั้นนั่นแลให้เป็นอัตถุปปัตติเหตุเกิดเรื่อง จึงทรงสถาปนาพระเถระไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวกผู้โอวาทสอนภิกษุณีแล. จบอรรถกถาสูตรที่ ๗ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เอตทัคคบาลี วรรคที่ ๔ |