ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 

อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖]อ่านอรรถกถา 20 / 1อ่านอรรถกถา 20 / 205อรรถกถา เล่มที่ 20 ข้อ 207อ่านอรรถกถา 20 / 247อ่านอรรถกถา 20 / 596
อรรถกถา อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต
ปสาทกรธัมมาทิบาลี

หน้าต่างที่ ๕ / ๖.

               อรรถกถากายคตาสติวรรค๑-               
____________________________
๑- บาลีข้อ ๒๒๕-๒๓๔, วรรคนี้รวมอยู่ในปสาทกรธัมมาทิบาลี.

               ในบทว่า เจตสา ผุโฏ (แผ่ไปด้วยใจ) นี้ การแผ่มี ๒ อย่าง คือ แผ่ไปด้วยอาโปกสิณ ๑ แผ่ไปด้วยทิพยจักษุ ๑.
               ใน ๒ อย่างนั้น การเข้าอาโปกสิณแล้วแผ่ไปด้วยอาโป ชื่อว่าแผ่ด้วยอาโปกสิณ. เมื่อมหาสมุทรแม้ถูกแผ่ไปด้วยการแผ่ไปอย่างนี้ แม่น้ำน้อยทุกสายที่ไหลลงมหาสมุทร ย่อมเป็นอันรวมเข้าอยู่ด้วย. ก็การเจริญอาโลกกสิณแล้วเห็นสมุทรทั้งสิ้นด้วยจักษุ ชื่อว่าแผ่ด้วยทิพยจักษุ. เมื่อมหาสมุทรแม้ถูกแผ่ไปด้วยการแผ่ไปอย่างนี้ แม่น้ำน้อยที่ไหลลงมหาสมุทร ย่อมเป็นอันรวมเข้าไว้ด้วย.
               บทว่า อนฺโตคธา ตสฺส ความว่า กุศลธรรมทั้งหลายย่อมเป็นอันหยั่งลงในภายในแห่งการเจริญของภิกษุนั้น.
               ในบทว่า วิชฺชาภาคิยา นี้ มีวิเคราะห์ดังต่อไปนี้ :-
               ชื่อว่าวิชชาภาคิยะ เพราะบรรจบวิชชา ด้วยการประกอบเข้ากันได้. ชื่อว่าวิชชาภาคิยะ เพราะเป็นไปในส่วนแห่งวิชชา คือในภาคของวิชชา. ในบทว่า วิชฺชาภาคิยะ นั้น วิชชามี ๘ คือ วิปัสสนาญาณ ๑ มโนมยิทธิ ๑ อภิญญา ๖.
               โดยความหมายแรก ธรรมที่สัมปยุตด้วยวิชชาเหล่านั้น เป็นวิชชาภาคิยะ. โดยความหมายหลังวิชชาข้อใดข้อหนึ่งเพียงข้อเดียวในบรรดาวิชชา ๘ นั้นเป็นวิชชา. ธรรมที่เหลือเป็นวิชชาภาคิยะ คือเป็นส่วนแห่งวิชชา. รวมความว่า วิชชาก็ดี ธรรมอันสัมปยุตด้วยวิชชาก็ดี พึงทราบว่าเป็นวิชชาภาคิยะทั้งนั้น.
               บทว่า มหโต สํเวคาย แปลว่า เพื่อประโยชน์แก่ความสังเวชใหญ่.
               แม้ในสองบทข้างหน้า ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
               ก็ในอธิการนี้ วิปัสสนา ชื่อว่าความสังเวชใหญ่. มรรค ๔ ชื่อว่าประโยชน์ใหญ่. สามัญญผล ๔ ชื่อว่าความเกษมจากโยคะใหญ่. อีกอย่างหนึ่ง มรรคพร้อมกับวิปัสสนา ชื่อว่าความสังเวชใหญ่ สามัญญผล ๔ ชื่อว่าประโยชน์ใหญ่ พระนิพพานชื่อว่าความเกษมจากโยคะใหญ่.
               บทว่า สติสมฺปชญฺญาย ได้แก่ เพื่อประโยชน์แก่สติและญาณ.
               บทว่า ญาณทสฺสนปฏิลาภาย คือ เพื่อทิพยจักขุญาณ.
               บทว่า ทิฏฺฐธมฺมสุขวิหาราย ได้แก่ เพื่อต้องการอยู่เป็นสุขในอัตภาพที่ประจักษ์ อยู่นี้ทีเดียว.
               บทว่า วิชฺชาวิมุตฺติผลสจฺฉิกิริยาย ได้แก่ เพื่อต้องการทำให้เห็นประจักษ์ซึ่งผลของวิชชาและวิมุตติ.
               ก็ในบทว่า วิชฺชาวิมุตฺติผลสจฺฉิกิริยาย นี้ ปัญญาในมรรค ชื่อว่าวิชชา. ธรรมที่เหลืออันสัมปยุตด้วยวิชชานั้น ชื่อว่าวิมุตติ. อรหัตผล ชื่อว่าผลของธรรมเหล่านั้น. อธิบายว่า เพื่อทำให้แจ้งอรหัตผลนั้น.
               บทว่า กาโยปิ ปสฺสมฺภติ ความว่า ทั้งนามกาย ทั้งกรัชกาย ย่อมสงบ. อธิบายว่า เป็นกายอันสงบแล้ว.
               บทว่า วิตกฺกวิจาราปิ ความว่า ธรรมเหล่านี้ ชื่อว่าย่อมเข้าไปสงบด้วยทุติยฌาน. ก็ในที่นี้ ท่านกล่าวหมายเอาการเข้าไปสงบธรรมอย่างหยาบ.
               บทว่า เกวลา แปลว่า ทั้งสิ้น. อธิบายว่า ทั้งหมดไม่เหลือเลย.
               บทว่า วิชฺชาภาคิยา คือ เป็นไปในส่วนของวิชชา. ธรรมเหล่านั้นได้แยกแยะแสดงไว้แล้วข้างต้น.
               บทว่า อวิชฺชา ปหียติ ความว่า ความมืดตื้อ คือความไม่รู้อันกระทำความมืดอย่างมหันต์ เป็นมูลรากของวัฏฏะในฐานะ ๘ ประการอันภิกษุย่อมละได้.
               บทว่า วิชฺชา อุปฺปชฺชติ ได้แก่ วิชชาในอรหัตมรรค ย่อมเกิดขึ้น.
               บทว่า อสฺมิมาโน ปหียติ ความว่า มานะ ๙ ว่าเป็นเราเป็นต้นอันภิกษุย่อมละได้.
               บทว่า อนุสยา ได้แก่ อนุสัย ๗.
               บทว่า สํโยชนานิ ได้แก่ สังโยชน์ ๑๐.
               บทว่า ปญฺญาปฺปเภทาย ได้แก่ เพื่อถึงความแตกฉานแห่งปัญญา.
               บทว่า อนุปาทาปรินิพฺพานาย แปลว่า เพื่อต้องการทำให้แจ้งปรินิพพานอันหาปัจจัยมิได้.
               บทว่า อเนกธาตุปฏิเวโธ โหติ ความว่า ย่อมมีความรู้แจ้งแทงตลอดลักษณะของธาตุ ๑๘ ประการ.
               บทว่า นานาธาตุปฏิเวโธ โหติ ความว่า ย่อมมีการรู้แจ้งแทงตลอดลักษณะโดยภาวะต่างๆ แห่งธาตุ ๑๘ เหล่านั้นแหละ.
               ด้วยบทว่า อเนกธาตุปฏิสมฺภิทา โหติ นี้ ท่านกล่าวถึงความรู้ประเภทของธาตุ.
               ปัญญาเป็นเครื่องรู้ว่า ธาตุนี้ชื่อว่ามีเป็นอันมาก ชื่อว่าธาตุปเภทญาณ ความรู้ประเภทของธาตุ. ก็ความรู้ประเภทของธาตุนี้นั้นมิใช่มีแก่คนทั่วไป มีโดยตรงแก่พุทธะทั้งหลายเท่านั้น.
               ความรู้ประเภทของธาตุนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามิได้ตรัสไว้โดยประการทั้งปวง (โดยเฉพาะ). ถามว่า เพราะเหตุไร. ตอบว่า เพราะเมื่อตรัสไว้ ก็ไม่มีประโยชน์.
               บท ๑๖ บทมีอาทิว่า ปญฺญาปฏิลาภาย ดังนี้ไป ท่านตั้งหัวข้อแล้วขยายความพิสดารไว้ในปฏิสัมภิทามรรคอย่างนี้ว่า สัปปุริสูปสังเสวะ คบสัตบุรุษ ๑ สัทธัมมสวนะ ฟังธรรมของสัตบุรุษ ๑ โยนิโสมนสิการะ ใส่ใจโดยแยบคาย ๑ ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ๑ (และหัวข้ออย่างนี้ว่า) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการนี้แลที่บุคคลอบรมแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อได้เฉพาะปัญญา ฯลฯ ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาชำแรกกิเลส.
               สมจริงดังที่ท่านพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรกล่าวไว้ในบทว่า ปญฺญาปฏิลาภาย สํวตฺตนฺติ ดังนี้
               การได้เฉพาะปัญญาเป็นไฉน.
               การได้ การได้เฉพาะ การถึง การถึงพร้อม การถูกต้อง การทำให้แจ้ง การเข้าถึง มรรคญาณ ๔ ผลญาณ ๔ ปฏิสัมภิทาญาณ ๔ อภิญญาญาณ ๖ ญาณ ๗๓ ญาณ ๗๗.
               นี้ชื่อว่าการได้เฉพาะปัญญา ในบทว่า ย่อมเป็นไปเพื่อได้เฉพาะปัญญา.
               ในบทว่า ปญฺญาวุฑฺฒิยา สํวตฺตนฺติ ดังนี้
               ความเจริญปัญญาเป็นไฉน.
               ปัญญาของพระเสกขะ ๗ จำพวกและของกัลยาณปุถุชนย่อมเจริญ แต่ปัญญาของพระอรหันต์เป็นวัฑฒนาปัญญา (คือปัญญาอันเจริญเต็มที่แล้ว).
               นี้ชื่อว่าความเจริญปัญญา ในบทว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญปัญญา.
               ในบทว่า ปฐฺฐาเวปุลฺลาย สํวตฺตนฺติ ดังนี้
               ความไพบูลย์แห่งปัญญาเป็นไฉน.
               ปัญญาของพระเสกขบุคคล ๗ พวกและของกัลยาณปุถุชนย่อมถึงความไพบูลย์ ปัญญาของพระอรหันต์ถึงความไพบูลย์แล้ว
               นี้ชื่อว่าความไพบูลย์แห่งปัญญา ในบทว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความไพบูลย์แห่งปัญญา.
               ในบทว่า มหาปญฺญตาย สํวตฺตนฺติ ดังนี้
               ปัญญาใหญ่เป็นไฉน.
               ชื่อว่าปัญญาใหญ่ เพราะกำหนดถือเอาประโยชน์ใหญ่ ชื่อว่าปัญญาใหญ่ เพราะกำหนดถือเอาธรรมใหญ่ ฯลฯ นิรุตติใหญ่ ปฏิภาณใหญ่ กองศีลใหญ่ กองสมาธิ ปัญญา วิมุตติ และวิมุตติญาณทัสสนะใหญ่ ฐานะและอฐานะใหญ่ วิหารสมาบัติใหญ่ อริยสัจใหญ่ สติปัฏฐาน สัมมัปปธานและอิทธิบาทใหญ่ อินทรีย์ พละใหญ่ โพชฌงค์ใหญ่ อริยมรรคใหญ่ สามัญญผลใหญ่ มหาอภิญญาใหญ่ พระนิพพานอันเป็นประโยชน์อันยิ่งใหญ่.
               นี้ชื่อว่าปัญญาใหญ่ ในบทว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาใหญ่.
               ในบทว่า ปุถุปญฺญตาย สํวตฺตติ ดังนี้
               ปัญญามากเป็นไฉน.
               ชื่อว่าปัญญามาก เพราะญาณย่อมเป็นไปในขันธ์ต่างๆ มาก. ชื่อว่าปัญญามาก เพราะญาณย่อมเป็นไปในธาตุต่างๆ มาก ในอายตนะต่างๆ มาก ในปฏิจจสมุปบาทต่างๆ มาก ในการได้สุญญตะต่างๆ มาก ในอรรถ ธรรม นิรุตติ ปฏิภาณมาก ในสีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ วิมุตติขันธ์และวิมุตติญาณทัสสนขันธ์ต่างๆ มาก ในฐานะและอฐานะต่างๆ มาก ในวิหารสมาบัติต่างๆ มาก ในอริยสัจต่างๆ มาก ในสติปัฏฐาน สัมมัปปธาน อิทธิบาท อินทรีย์ พละ โพชฌงค์ต่างๆ มาก. ชื่อว่าปัญญามาก เพราะญาณเป็นไปในพระนิพพานอันเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ล่วงธรรมอันทั่วไปแก่ชนต่างๆ มาก.
               นี้ชื่อว่าปัญญามาก ในบทว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญามาก.
               ในบทว่า วิปุลปญฺญาย สํวตฺตติ ดังนี้
               ปัญญาไพบูลย์เป็นไฉน.
               ชื่อว่าปัญญาไพบูลย์ เพราะกำหนดถือเอาประโยชน์อันไพบูลย์ ฯลฯ ชื่อว่าปัญญาไพบูลย์ เพราะกำหนดถือเอาพระนิพพานอันมีประโยชน์ยิ่งไพบูลย์.
               นี้ชื่อว่าปัญญาไพบูลย์ ในบทว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาไพบูลย์.
               ในบทว่า คมฺภีรปญฺญตาย สํวตฺตนฺติ ดังนี้
               ปัญญาลึกซึ้งเป็นไฉน.
               ชื่อว่าปัญญาลึกซึ้ง เพราะญาณเป็นไปในขันธ์ทั้งหลายอันลึกซี้ง. ความพิสดารเหมือนกับข้อที่ว่าด้วยปัญญามาก. ชื่อว่าปัญญาลึกซึ้ง เพราะญาณย่อมเป็นไปในพระนิพพานอันมีประโยชน์อย่างยิ่งลึกซึ้ง.
               นี้ชื่อว่าปัญญาลึกซึ้ง ในบทว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาลึกซึ้ง.
               ในบทว่า อสฺสามนฺตปญฺญตาย สํวตฺตนฺติ ดังนี้
               ปัญญาเทียบกันได้เป็นไฉน.
               บุคคลใดบรรลุ กระทำให้แจ้ง ถูกต้องด้วยปัญญาซึ่งอัตถปฏิสัมภิทา โดยการกำหนดรู้อรรถ บรรลุ กระทำให้แจ้ง ถูกต้องด้วยปัญญาซึ่งธรรม นิรุตติ ปฏิภาณ โดยกำหนดรู้ธรรม นิรุตติและปฏิภาณ ใครๆ อื่นย่อมไม่อาจครอบงำ อรรถ ธรรม นิรุตติและปฏิภาณของบุคคลนั้น และบุคคลนั้นเป็นผู้อันคนทั้งหลายอื่นไม่พึงครอบงำได้ เพราะฉะนั้น บุคคลนั้นจึงชื่อว่าผู้มีปัญญาไม่เทียบกันได้.
               ปัญญาของกัลยาณปุถุชน ไกล ห่างไกล ไกลแสนไกล ไม่ใกล้ ไม่ใกล้เคียงกับปัญญาของพระอริยบุคคลที่ ๘, เมื่อเทียบกับกัลยาณปุถุชน พระอริยบุคคลที่ ๘ ชื่อว่าเป็นผู้มีปัญญาไม่เทียบกันได้. ปัญญาของพระอริยบุคคลที่ ๘ ไกล ฯลฯ ปัญญาของพระโสดาบัน. เมื่อเทียบกับพระอริยบุคคลที่ ๘ พระโสดาบัน ชื่อว่าเป็นผู้มีปัญญาไม่เทียบกันได้. ปัญญาของพระโสดาบันไกล ฯลฯ ปัญญาของพระสกทาคามี ปัญญาของพระสกทาคามีไกล ฯลฯ ปัญญาของพระอรหันต์. ปัญญาของพระอรหันต์ไกล ห่างไกล ไกลแสนไกล ไม่ใกล้ ไม่เฉียดปัญญาของพระปัจเจกพุทธเจ้า. เมื่อเทียบกับพระอรหันต์ พระปัจเจกพุทธเจ้า ชื่อว่าเป็นผู้มีปัญญาไม่เทียบกันได้.
               เมื่อเทียบกับพระปัจเจกพุทธเจ้า และชาวโลกพร้อมทั้งเทวดา พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้มีพระปัญญาไม่มีของใครเทียบได้ เป็นชั้นเลิศ. ทรงมีพระญาณแตกฉาน ฯลฯ บัณฑิตเหล่านั้นแต่งปัญหาแล้วเข้าไปเฝ้าพระตถาคต ทูลถามทั้งข้อลี้ลับและปกปิด ปัญหาเหล่านั้นที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสบอกและทรงตอบแล้ว ย่อมเป็นอันทรงชี้เหตุให้เห็นชัดและปัญหาที่เขายกขึ้นนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงตอบได้สมบูรณ์ โดยแท้จริงแล้ว ในปัญหานั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบแจ่มแจ้งด้วยพระปัญญา เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่ามีพระปัญญาไม่มีของใครเทียบได้ เป็นชั้นเลิศ.
               นี้ชื่อว่าปัญญาไม่มีของใครเทียบได้ ในบทว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาไม่มีของใครเทียบได้.
               ในบทว่า ภูริปญฺญตาย สํวตฺตนฺติ ดังนี้
               ภูริปัญญาเป็นไฉน.
               ชื่อว่าภูริปัญญา เพราะครอบงำราคะอยู่. ชื่อว่าภูริปัญญา เพราะครอบงำราคะได้แล้ว. ชื่อว่าภูริปัญญา เพราะย่อมครอบงำ โทสะ โมหะ โกธะ อุปนาหะ มักขะ ปลาสะ อิสสา มัจฉริยะ มายา สาไถย ถัมภะ สารัมภะ มานะ อติมานะ มทะ ปมาทะ กิเลสทั้งปวง ทุจริตทั้งปวง อภิสังขารทั้งปวง ฯลฯ กรรมอันเป็นเหตุนำไปสู่ภพทั้งปวง. ชื่อว่าภูริปัญญา เพราะครอบงำแล้ว. ราคะชื่อว่าเป็นอริ. ปัญญาอันย่ำยีอรินั้น เหตุนั้น ชื่อว่าภูริปัญญา. โทสะ โมหะ ฯลฯ กรรมเป็นเหตุนำไปสู่ภพทั้งปวง ชื่อว่าเป็นอริ ปัญญาอันย่ำยีอรินั้น เหตุนั้นชื่อว่าภูริปัญญา. แผ่นดินเรียกว่าภูริ ผู้ประกอบด้วยปัญญาอันแผ่ไปกว้างขวางเสมอแผ่นดินนั้น เหตุนั้นจึงชื่อว่า ภูริปัญโญ ผู้มีปัญญาเสมอแผ่นดิน.
               อีกอย่างหนึ่ง คำนี้คือ ภูริ เมธา ปริณายิกา เป็นชื่อของปัญญา.
               นี้ชื่อว่าภูริปัญญา ในบทว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีภูริปัญญา.
               ในบทว่า ปญฺญาพาหุลฺลาย สํวตฺตนฺติ ดังนี้
               ความเป็นผู้มากด้วยปัญญาเป็นไฉน
               บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้หนักในปัญญา เป็นผู้มีปัญญาเป็นจริต มีปัญญาเป็นที่อาศัย น้อมใจไปในปัญญา มีปัญญาเป็นธงชัย มีปัญญาเป็นยอดธง มีปัญญาเป็นอธิบดี มากด้วยการวิจัย มากด้วยการค้นคว้า มากด้วยการพิจารณา มากด้วยการเพ่งพินิจ มีการเพ่งพินิจเป็นธรรมดา อยู่ด้วยปัญญาอันแจ่มแจ้ง และประพฤติในปัญญานั้น หนักในปัญญานั้น มากด้วยปัญญานั้น น้อมไปในปัญญานั้น โน้มไปในปัญญานั้น เงื้อมไปในปัญญานั้น น้อมใจไปในปัญญานั้น มีปัญญานั้นเป็นอธิบดี อุปมาเหมือนภิกษุผู้หนักในหมู่คณะ ก็เรียกว่าผู้มากด้วยหมู่คณะ ผู้หนักในจีวร ผู้หนักในบาตร ผู้หนักในเสนาสนะ ก็เรียกผู้มากด้วยเสนาสนะฉันใด บุคคลบางคนในโลกนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เป็นผู้หนักในปัญญา มีปัญญาเป็นจริต ฯลฯ มีปัญญาเป็นอธิบดี.
               นี้ชื่อว่า ความเป็นผู้มากด้วยปัญญา ในบทว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มากด้วยปัญญา.
               ในบทว่า สีฆปญฺญตาย สํวตฺตนฺติ ดังนี้
               ปัญญาเร็วเป็นไฉน.
               ชื่อว่าปัญญาเร็ว เพราะทำศีลให้บริบูรณ์รวดเร็ว. ชื่อว่าปัญญาเร็ว เพราะทำอินทรียสังวร โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยค ศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ วิมุตติขันธ์ วิมุตติญาณทัสสนขันธ์ให้บริบูรณ์รวดเร็ว. ชื่อว่าปัญญาเร็ว เพราะแทงตลอดฐานะและอฐานะได้รวดเร็ว เพราะทำวิหารสมาบัติให้บริบูรณ์ได้อย่างเร็ว เพราะแทงตลอดอริยสัจได้รวดเร็ว เพราะเจริญสติปัฏฐานได้รวดเร็ว เพราะเจริญสัมมัปปธาน อิทธิบาท อินทรีย์ พละ โพชฌงค์ อริยมรรคได้รวดเร็ว. ชื่อว่าปัญญาเร็ว เพราะทำให้แจ้งสามัญญผลได้รวดเร็ว. ชื่อว่าปัญญาเร็ว เพราะแทงตลอดอภิญญาได้รวดเร็ว. ชื่อว่าปัญญาเร็ว เพราะทำให้แจ้งพระนิพพานอันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งได้รวดเร็ว.
               นี้ชื่อว่าปัญญาเร็วในบทว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาเร็ว.
               ในบทว่า ลหุปญฺญตาย สํวตฺตนฺติ ดังนี้
               ปัญญาฉับพลันเป็นไฉน.
               ชื่อว่าปัญญาฉับพลัน เพราะบำเพ็ญศีลให้บริบูรณ์ได้ฉับพลัน ฯลฯ ชื่อว่าปัญญาฉับพลัน เพราะทำให้แจ้งพระนิพพานอันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งได้ฉับพลัน.
               นี้ชื่อว่าปัญญาฉับพลัน ในบทว่าย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาฉับพลัน.
               ในบทว่า หาสปญฺญตาย สํวตฺตนฺติ ดังนี้
               ปัญญาร่าเริงเป็นไฉน.
               ชื่อว่าปัญญาร่าเริง เพราะบุคคลบางคนในโลกนี้มีความร่าเริงมาก มีความอิ่มใจมาก มีความยินดีมาก มีความปราโมทย์มาก บำเพ็ญศีลทั้งหลายให้บริบูรณ์ ฯลฯ ชื่อว่าปัญญาร่าเริง เพราะทำให้แจ้งพระนิพพานอันเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง.
               นี้ชื่อว่าปัญญาร่าเริง ในบทว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาร่าเริง.
               ในบทว่า ชวนปญฺญตาย สํวตฺตนฺติ ดังนี้
               ปัญญาแล่นเป็นไฉน.
               ชื่อว่าปัญญาแล่น เพราะรูปอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน เป็นภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต อยู่ที่ไกลหรือใกล้ ปัญญาพลันแล่นไปยังวิญญาณทั้งปวงโดยความเป็นของไม่เที่ยง. ชื่อว่าปัญญาพลันแล่น เพราะพลันแล่นไปโดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา. ชื่อว่าปัญญาพลันแล่น เพราะพลันแล่นไปยังจักษุ ฯลฯ ชราและมรณะ อันเป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา. ชื่อว่าปัญญาพลันแล่น เพราะเทียบเคียง พิจารณา รู้แจ้ง ทำให้แจ่มแจ้งรูปที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน ว่าไม่เที่ยง เพราะอรรถว่าสิ้นไป ว่าเป็นทุกข์ เพราะอรรถว่าน่ากลัว ว่าเป็นอนัตตา เพราะอรรถว่าไม่มีแก่นสาร แล้วพลันแล่นไปในพระนิพพานอันเป็นที่ดับรูป ฯลฯ ชื่อว่าปัญญาพลันแล่น เพราะพลันแล่นไปยังพระนิพพานอันเป็นที่ดับชราและมรณะ. ชื่อว่าปัญญาพลันแล่น เพราะเทียบเคียง พิจารณารู้แจ้ง ทำให้แจ่มแจ้งรูป ฯลฯ ชราและมรณะ ทั้งอดีต อนาคต ปัจจุบัน ไม่เที่ยง ถูกปรุงแต่ง อาศัยกันเกิดขึ้น มีความเสื่อมเป็นธรรมดา มีความสิ้นเป็นธรรมดา มีความคลายไปเป็นธรรมดา มีความดับไปเป็นธรรมดา แล้วพลันแล่นไปยังพระนิพพานอันเป็นที่ดับชราและมรณะ
               นี้ชื่อว่าปัญญาพลันแล่น ในบทว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาแล่นพลัน.
               ในบทว่า ติกฺขปญฺญตาย สํวตฺตนฺติ ดังนี้
               ปัญญากล้าเป็นไฉน.
               ชื่อว่าปัญญากล้า เพราะตัดกิเลสได้ไว. ชื่อว่าปัญญากล้า เพราะไม่รับ ละทิ้ง บรรเทา ทำให้สิ้นสุด ให้ถึงความไม่มีต่อไปซึ่งกามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก อกุศลบาปธรรมที่เกิดขึ้นแล้วเกิดขึ้นเล่า ชื่อว่าปัญญากล้า เพราะไม่รับไว้ ละทิ้งไป บรรเทาได้ ทำให้สิ้นสุดไป ให้ถึงความไม่มีต่อไป ซึ่งราคะ โทสะ โมหะที่เกิดขึ้นแล้วเกิดขึ้นเล่า ฯลฯ ซึ่งกรรมเป็นเหตุไปสู่ภพทั้งปวง. ชื่อว่าปัญญากล้า เพราะบรรลุ ทำให้แจ้ง ถูกต้องด้วยปัญญา ซึ่งอริยมรรค ๔ สามัญญผล ๔ ปฏิสัมภิทา ๔ อภิญญา ๖ บนอาสนะเดียว.
               นี้ชื่อว่าปัญญากล้า ในบทว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญากล้า.
               ในบทว่า นิพฺเพธิกปญฺญตาย สํวตฺตนฺติ ดังนี้
               ปัญญาเครื่องทำลายกิเลสเป็นไฉน.
               ชื่อว่าปัญญาเครื่องทำลายกิเลส เพราะบุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้หวาดเสียวมาก เป็นผู้สะดุ้งมาก เป็นผู้กระสันมาก เป็นผู้มากด้วยความไม่ยินดี มากไปด้วยความไม่ยินดียิ่งในสังขารทั้งปวง เป็นผู้หันหน้าออก ไม่ยินดีในสังขารทั้งปวง. แทง ทำลายกองโลภซึ่งยังไม่เคยแทงยังไม่เคยทำลาย. ชื่อว่าปัญญาเครื่องทำลายกิเลส เพราะแทงทำลายกองโทสะ กองโมหะ โกธะ อุปนาหะ ฯลฯ กรรมอันเป็นเครื่องไปสู่ภพทั้งปวงที่ไม่เคยแทง ที่ไม่เคยทำลาย.
               นี้ชื่อว่าปัญญาเครื่องทำลายกิเลส ในบทว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาเครื่องทำลายกิเลส.
               พึงทราบเนื้อความในอธิการที่ว่าด้วยปัญญานี้ โดยนัยดังกล่าวไว้ในปฏิสัมภิทามรรคด้วยประการอย่างนี้. ก็ในปฏิสัมภิทามรรคนั้น เป็นพหูพจน์อย่างเดียว ในสูตรนี้เป็นเอกพจน์ ดังนั้น ความต่างกันในเรื่องปัญญานี้มีเพียงเท่านี้.
               คำที่เหลือเหมือนกันทั้งนั้นแล.
               ก็แหละมหาปัญญา ๑๖ ประการนี้ ท่านกล่าวคละกันทั้งโลกิยะและโลกุตระ.

               จบอรรถกถากายคตาสติวรรค               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต ปสาทกรธัมมาทิบาลี
อ่านอรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖]
อ่านอรรถกถา 20 / 1อ่านอรรถกถา 20 / 205อรรถกถา เล่มที่ 20 ข้อ 207อ่านอรรถกถา 20 / 247อ่านอรรถกถา 20 / 596
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=20&A=1059&Z=1266
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=14&A=10418
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=14&A=10418
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๖  ธันวาคม  พ.ศ.  ๒๕๔๙
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :