![]() |
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
![]() |
![]() | |
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ในบทว่า อนฺตรา จ อุกฺกฏฺฐํ อนฺตรา จ เสตพฺยํ นี้ บทว่า อุกฺกฏฺฐา ได้แก่ นครที่เรียกกันอย่างนี้ เพราะเขาตามคบเพลิงสร้างแล้ว. บทว่า เสตพฺยํ ได้แก่ นครถิ่นเกิดของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าครั้งอดีต. ส่วนอันตราศัพท์ใช้ในอรรถว่าเหตุ ขณะ จิต ท่ามกลางและระหว่าง. ใช้ในอรรถว่าเหตุ ได้ในบาลีเป็นอาทิว่า ตทนนฺตรํ โก ชาเนยฺย อญฺญตฺร ตถาคตา ใครเล่าจะพึงรู้เหตุนั้น นอกจากพระตถาคต และว่า ชนา สงฺคมฺม มนฺเตนฺติ มญฺจ ตญฺจ กิมนฺตรํ พวกชนประชุมปรึกษาเราและท่านถึงเหตุอะไร ดังนี้. ใช้ในอรรถว่าขณะ ได้ในบาลีเป็นอาทิว่า อทฺทสา มํ ภนฺเต อญฺญตรา อิตฺถี วิชฺชนฺตริกาย ภาชนํ โธวนฺตี ท่านขอรับ หญิงคนหนึ่งกำลังล้างภาชนะอยู่ ขณะฟ้าแลบ ก็เห็นเรา ดังนี้. ใช้ในอรรถว่าจิต ได้ในบาลีเป็นอาทิว่า ยสฺสนฺตรโต น สนฺติ โกปา ความแค้นเคืองย่อมไม่มีแต่จิตของผู้ใดดังนี้. ใช้ในอรรถว่าท่ามกลาง ได้ในบาลีเป็นอาทิว่า อนฺตรา โวสานมาปาทิ ถึงการจบลงในท่ามกลาง ดังนี้. ใช้ในอรรถว่าระหว่าง ได้ในบาลีเป็นอาทิว่า อปิจายํ ตโปทา ทฺวินฺนํ มหานิรยานํ อนฺตริกาย อาคจฺฉติ อนึ่ง สระน้ำตโปทานี้ ย่อมไหลมาจากระหว่างมหานรกทั้งสองดังนี้. อันตราศัพท์นี้นั้น ในที่นี้ใช้ในอรรถว่าระหว่าง เพราะฉะนั้น พึงเห็นเนื้อความในคำนี้อย่างนี้ว่า ในระหว่างนครอุกกัฏฐะกับนครเสตัพยะ ดังนี้. ท่านทำเป็นทุติยาวิภัติ เพราะประกอบด้วยอันตราศัพท์. ฝ่ายพวกอาจารย์ผู้คิดอักขระในฐานะเช่นนี้ ย่อมประกอบอันตราศัพท์อย่างหนึ่งในคำนี้อย่างนี้ว่า อนฺตรา คามญฺจ นทิญฺจ ยาติ บุคคลเดินไปในระหว่างบ้านและแม่น้ำดังนี้. อันตราศัพท์นั้น พึงประกอบด้วยแม้บทที่สอง เมื่อไม่ประกอบก็ไม่เป็นรูปทุติยาวิภัติ แต่ในที่นี้ท่านประกอบแล้ว จึงกล่าวไว้อย่างนี้. บทว่า อทฺธานมคฺคปฏิปนฺโน โหติ คือ ทรงเดินทางไกล. อธิบายว่า ทางยาว. ถามว่า ทรงเดินทางไกล เพราะเหตุไร. ตอบว่า ได้ยินว่า ในวันนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงเห็นเหตุนี้ว่า เมื่อเราเดินไปทางนั้น โทณพราหมณ์เห็นเจดีย์คือรอยเท้าของเรา ก็จะแกะรอยตามมาถึงที่เรานั่งแล้วถามปัญหา เมื่อเป็นดังนั้น เราจักแสดงสัจธรรมแก่เขาอย่างนี้ พราหมณ์จักแทงตลอดสามัญญผลสามได้แล้ว จักพรรณนาคุณ ชื่อโทณคัชชิตะ หนึ่งหมื่นสองพันบท เมื่อเราปรินิพพานแล้ว จักระงับการทะเลาะอย่างใหญ่ที่เกิดขึ้นทั่วชมพูทวีปแล้ว จึงจักแบ่งพระธาตุทั้งหลายกัน ดังนี้ จึงทรงเดินทางด้วยเหตุนี้. บทว่า โทโณปิ สุทํ พฺราหฺมโณ ความว่า แม้โทณพราหมณ์ชำนาญไตรเพท เมื่อสอนศิลปะกะพวกมาณพ ๕๐๐ คนในวันนั้น ลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ ทำกิจส่วนตัวเสร็จแล้ว นุ่งผ้าค่านับ ๑๐๐ ใช้ของมีค่าราคา ๕๐๐ คล้องด้ายยัญ สวมรองเท้าสายแดง มีมาณพ ๕๐๐ ห้อมล้อม ได้เดินไปทางนั้นเหมือนกัน. คำนี้ท่านกล่าวหมายถึงข้อนั้น. บทว่า ปาเทสุ ได้แก่ ในรอยที่ทรงเหยียบด้วยพระบาท. บทว่า จกฺกานิ ได้แก่ จักกลักษณะ (รูปจักร). ถามว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดำเนินอยู่ รอยพระบาทปรากฏในที่ที่ทรงเหยียบไว้หรือ. ตอบว่า ไม่ปรากฏดอก. เพราะอะไร. เพราะรอยบาทละเอียดมีกำลังมาก และเพราะจะ จริงอยู่ เพราะพระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงมีพระฉวีละเอียด สถานที่ทรงเหยียบ เป็นเหมือนสถานที่ปุยนุ่นตั้งอยู่ รอยพระบาทจึงไม่ปรากฏ. รอยที่ตถาคตทรงเหยียบ ก็เป็นสักแต่ว่าเหยียบเท่านั้น รอยพระบาทจึงไม่ปรากฏในที่นั้น เพราะพระองค์เป็นผู้มีกำลังมาก เหมือนรอยเท้าของม้าสินธพมีฝีเท้าเร็วดุจลม มีกำลังเหยียบแม้บนใบของกอประทุม ก็สักว่าเหยียบเท่านั้น ฉะนั้น. ส่วนหมู่มหาชนเดินตามรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าทั้งหลายไป เมื่อ บทว่า ปาสาทิกํ คือ ให้เกิดความเลื่อมใส. บทนอกนี้ก็เป็นไวพจน์ของบทว่า ปาสาทิกํ นั้นเอง. ในบทว่า อุตฺตมทมถสมถมนุปฺปตฺตํ นี้ พึงทราบดังนี้ อรหัตมรรคชื่อว่าการ บทว่า ทนฺตํ คือ หมดพยศ. บทว่า คุตฺตํ คือ คุ้มครอง. บทว่า ยตินฺทฺริยํ คือ รักษาอินทรีย์. บทว่า นาคํ ความว่า ชื่อว่า นาคะ เพราะเหตุ ๔ คือ เพราะไม่ถึงอคติมีฉันทาคติเป็นต้น ๑ เพราะไม่กลับมาสู่กิเลสที่ละได้แล้วอีก ๑ เพราะไม่ทำบาป ๑ เพราะอรรถว่ามีกำลัง ๑. ในบทว่า เทโว โน ภวํ ภวิสฺสติ นี้ ก็การถามพึงจบลงด้วยคำประมาณเท่านี้ว่า ท่านผู้เจริญเป็นเทวดาหรือดังนี้ แต่พราหมณ์ผู้นี้ เมื่อถามโดยอนาคตกาลว่า ท่านจักเป็นเทวราชองค์หนึ่ง ผู้มีศักดิ์ใหญ่ ในอนาคต ในบททุกบทก็นัยนี้. บทว่า อาสวานํ ได้แก่ อาสวะ ๔ มีกามาสวะเป็นต้น. บทว่า ปหีนา ความว่า อาสวะเหล่านั้นเราละได้แล้ว ด้วยการบรรลุสัพพัญญุตญาณ ณ โพธิบัลลังก์. บทว่า อนูปลิตฺโต โลเกน ความว่า โลกคือสังขารโลกเข้ามากำซาบใจเราไม่ได้ เพราะเราละเครื่องลูบไล้คือตัณหาและทิฏฐิเสียแล้ว. บทว่า พุทฺโธ ความว่า ท่านจงจำเราไว้ว่า เป็นพุทธะ เพราะตรัสรู้สัจจะ ๔ ดังนี้. บทว่า เยน คือ เพราะอาสวะใด. บทว่า เทวูปปตฺยสฺส ความว่า เราจะพึงได้กำเนิดเป็นเทวดา. บทว่า วิหงฺคโม ได้แก่ เทพจำพวกคนธรรพ์ผู้เหาะเหินได้. บทว่า วิทฺธสฺตา แปลว่า ทำลายแล้ว. บทว่า วินฬีกตา ได้แก่ ทำให้ปราศจากประสาน คือปราศจากเครื่องผูก. บทว่า โตเยน นุปลิปฺปติ ความว่า ดอกบัวขาวที่ชูโผล่ขึ้นพ้นน้ำ ราวศอกหนึ่งซึ่งทำให้สระงาม ทำฝูงภมรให้ร่าเริง น้ำซึมซาบไม่ได้. บทว่า ตสฺมา พุทฺโธสฺมิ พฺราหฺมณ ความว่า เวลาจบเทศนา พราหมณ์บรรลุผลสามแล้วจึงกล่าวคุณ ชื่อว่าโทณคัชชิตะ (เสียงกระหึมของโทณพราหมณ์) ด้วยคาถา ๑๒,๐๐๐ บท ก็เมื่อพระตถาคตปรินิพพานแล้ว โทณพราหมณ์ระงับความทะเลาะอย่างใหญ่ที่เกิดขึ้นทั่วพื้นชมพูทวีปแล้ว จึงได้แบ่งซึ่งพระธาตุทั้งหลายแก่กัน ดังพรรณนามานี้. จบอรรถกถาโทณสูตรที่ ๖ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ปฐมปัณณาสก์ จักกวรรคที่ ๔ ๖. โทณสูตร จบ. |