ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 22 / 1อ่านอรรถกถา 22 / 27อรรถกถา เล่มที่ 22 ข้อ 28อ่านอรรถกถา 22 / 29อ่านอรรถกถา 22 / 388
อรรถกถา อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต ปฐมปัณณาสก์ ปัญจังคิกวรรคที่ ๓
๘. อังคิกสูตร

               อรรถกถาอังคิกสูตรที่ ๘               
               พึงทราบวินิจฉัยในอังคิกสูตรที่ ๘ ดังต่อไปนี้ :-
               บทว่า อริยสฺส ได้แก่ อยู่ไกลจากกิเลสที่ละได้แล้วด้วยวิกขัมภนปหาน (การข่มไว้).
               บทว่า ภาวนํ เทเสสฺสามิ ความว่า เราจักประกาศความเพิ่มพูนการพัฒนา.
               บทว่า อิมเมว กายํ ได้แก่ กรชกายนี้.
               บทว่า อภิสนฺเทติ ได้แก่ ชุ่ม คือซึมซาบ คือทำปีติและสุขให้เป็นไปทั่วกรชกาย.
               บทว่า ปริสนฺเทติ ได้แก่ ไหลไปโดยรอบ.
               บทว่า ปริปูเรติ ได้แก่ เต็มดุจถุงหนังเต็มด้วยลม.
               บทว่า ปริปฺผรติ ได้แก่ ซ่านไปโดยรอบ.
               บทว่า สพฺพาวโต กายสฺส ได้แก่ ร่างกายทุกส่วนของภิกษุนั้น. ที่ไรๆ แม้แต่น้อยแล่นไปตามผิวเนื้อและเลือด ในที่เป็นไปแห่งสันตติของอุปปาทินนกะ (สิ่งมีใจครอง) ชื่อว่าสุขอันเกิดแต่ปฐมฌาน ไม่สัมผัสไม่มี.
               บทว่า ทกฺโข ได้แก่ ฉลาด คือมีความสามารถทำประกอบและปรุงผงสำหรับอาบน้ำ.
               บทว่า กํสถาเล ได้แก่ ภาชนะที่ทำด้วยโลหะอย่างใดอย่างหนึ่ง.
               แต่ภาชนะทำด้วยดินไม่ถาวร เมื่อใส่ผงอาบน้ำย่อมแตกได้ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงไม่ทรงแสดงภาชนะดินนั้น.
               บทว่า ปริปฺโผสกํ ปริปฺโผสกํ ได้แก่ รดแล้วรดเล่า.
               บทว่า สนฺเนยฺย ได้แก่ ถือถาดสำริดด้วยมือซ้ายรดราดน้ำพอประมาณด้วยมือขวา แล้วขยำผงทำให้เป็นก้อน.
               บทว่า สิเนหานุคตา ได้แก่ ถูกยางน้ำซึมซาบ.
               บทว่า สิเนหปเรตา ได้แก่ ถูกยางน้ำซึมไปรอบๆ.
               บทว่า สนฺตรพาหิรา ความว่า ถูกยางน้ำซึมซาบไปทั่วสรรพางค์กายทั้งที่ภายในและที่ภายนอก.
               บทว่า น จ ปคฺฆรติ ความว่า หยาดน้ำแต่ละหยาดจะไม่ไหลออก อาจจะจับทั้งมือก็ได้ ๒ นิ้วก็ได้ ทำให้เป็นเกลียวก็ได้.
               พึงทราบวินิจฉัยในอุปมาความสุขในทุติยฌาน.
               บทว่า อุพฺภิโตทโก ได้แก่ น้ำพุ คือน้ำที่ไม่ไหลลงข้างล่างแต่ไหลขึ้น. อธิบายว่า น้ำเกิดภายในนั่นเอง.
               บทว่า อายมุขํ ได้แก่ ทางน้ำไหลมา.
               บทว่า เทโว ได้แก่ เมฆ.
               บทว่า กาเลน กาลํ ได้แก่ ทุกกึ่งเดือนหรือทุก ๑๐ วัน.
               บทว่า ธารํ ได้แก่ น้ำฝน.
               บทว่า นานุปฺปเวจฺเฉยฺย ความว่า ไม่พึงหลั่ง คือไม่พึงตก.
               บทว่า สีตา วาริธารา อุพฺภิชฺชิตฺวา ความว่า สายน้ำฝนทำห้องน้ำเย็นให้เต็ม ก็น้ำที่เกิดขึ้นแล้วไหลลงเบื้องล่าง ย่อมทำน้ำที่พุ่งแตกให้กระเพื่อม น้ำที่ไหลมาจาก ๔ ทิศ ย่อมทำน้ำให้กระเพื่อมด้วยใบไม้ หญ้า ฟืน ท่อนไม้เก่าๆ เป็นต้น น้ำฝนย่อมทำให้น้ำกระเพื่อมด้วยฟองน้ำที่ไหลตกจากสายน้ำฝน แต่น้ำสงบดุจเนรมิตด้วยฤทธิ์ ไหลไปยังถิ่นนี้ ไม่ไหลไปยังถิ่นนี้ ดังนี้ไม่มี คือชื่อว่าโอกาสที่น้ำมันจะไม่ถูกต้องไม่มี.
               ในอุปมานั้น กรชกายดุจห้วงน้ำความสุขในทุติยฌานดุจน้ำ.
               บทที่เหลือพึงทราบโดยนัยก่อนนั่นแล.
               พึงทราบวินิจฉัยในข้ออุปมาความสุขในตติยฌาน.
               ชื่อว่า อุปฺปลินี เพราะว่า มีดอกอุบล.
               แม้ในสองบทที่เหลือก็นัยนี้เหมือนกัน.
               ในอุปมานี้ บรรดาบัวขาว บัวแดง บัวขาบ อย่างใดอย่างหนึ่ง ชื่ออุบลทั้งนั้น บัวมีใบเกิดขึ้น ๑๐๐ ใบ ชื่อปุณฑริก บัวมีใบ ๑๐๐ ใบ ชื่อปทุม บัวที่กำหนดใบหรือแม้ไม่มีใบบัวสีขาว ชื่อปทุม สีแดงชื่อปุณฑริก นี้เป็นวินิจฉัยในอุปมานี้.
               บทว่า อุทกานุคฺคตานิ ได้แก่ บัวยังไม่พ้นจากน้ำ.
               บทว่า อนฺโตนิมุคฺคโปสินี ได้แก่ บัวที่จมอยู่ภายในพื้นน้ำ น้ำหล่อเลี้ยงไว้ คือยังเจริญอยู่.
               บทที่เหลือพึงทราบโดยนัยก่อนนั่นแล.
               พึงทราบวินิจฉัยในอุปมาความสุขในจตุตถฌาน.
               ในบทว่า ปริสุทฺเธน เจตสา ปริโยทาเตน นี้ พึงทราบว่า ชื่อว่าบริสุทธิ์ เพราะอรรถว่าไม่มีอุปกิเลส ชื่อว่าผ่องแผ้ว เพราะอรรถว่าผ่องใส.
               บทว่า โอทาเตน วตฺเถน นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงความแผ่ซ่านไปแห่งอุณหภูมิเพราะผ้าสกปรกจะไม่มีการแผ่ซ่านไปแห่งอุณหภูมิ ผ้าสะอาดที่ซักในขณะนั้น การแผ่ซ่านไปแห่งอุณหภูมิย่อมมีกำลัง.
               ก็ด้วยอุปมานี้ กรชกายดุจผ้า สุขในจตุตถฌานดุจการแผ่ซ่านไปแห่งอุณหภูมิ เพราะฉะนั้น เมื่อบุรุษอาบน้ำชำระกายดีแล้ว นั่งคลุมผ้าสะอาดตลอดศีรษะ อุณหภูมิย่อมแผ่ซ่านไปทั่วผ้าจากสรีระ ไม่มีช่องว่างไรๆ ที่ผ้าจะไม่ถูกต้องฉันใด ไม่มีช่องว่างไรๆ ที่กรชกายของภิกษุจะไม่ถูกต้องด้วยสุขในจตุตถฌานฉันนั้น
               พึงเห็นความในอุปมานี้ด้วยประการฉะนี้.
               อีกอย่างหนึ่ง จิตในจตุตถฌานเท่านั้น ดุจผ้า รูปอันมีจิตในจตุตถฌานนั้นเป็นสมุฏฐาน ดุจการแผ่ซ่านไปแห่งอุณหภูมิ พึงเห็นความใน อุปมานี้อย่างนี้ว่า เหมือนอย่างว่า เมื่อผ้าขาวแม้ไม่ถูกต้องกายในส่วนไหนๆ อุณหภูมิอันมีกายเป็นสมุฏฐานเป็นอันถูกต้องกายทุกแห่งแล ฉันใด สุขุมรูปอันมีจตุตถฌานเป็นสมุฏฐาน เป็นอันถูกต้องของภิกษุทุกแห่งฉันนั้นแล.
               บทว่า ปจฺจเวกฺขณนิมิตตํ ได้แก่ ปัจจเวกขณญาณนั่นเอง.
               บทว่า สุคฺคหิตํ โหติ ความว่า ฌานวิปัสสนาและมรรคเป็นธรรมอันภิกษุนั้นถือเอาแล้วด้วยดีฉันใด ปัจจเวกขณนิมิตก็เป็นข้ออันภิกษุนั้นถือเอาแล้วด้วยดี ด้วยปัจจเวกขณนิมิตต่อๆ นั่นเองฉันนั้น.
               บทว่า อญฺโญวา อญฺญํ ได้แก่ คนอื่นคนหนึ่งพิจารณาดูคนอื่นคนหนึ่ง. เพราะตนย่อมไม่ปรากฏแก่ตนเอง.
               บทว่า ฐิโต วา นิสินฺนํ ได้แก่ คนนั่งย่อมปรากฏแม้แก่คนยืน. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้อย่างนี้.
               แม้ในบทที่เหลือก็นัยนี้เหมือนกัน.
               บทว่า อุทกมณิโก ได้แก่ อ่างน้ำมีสายรัด.
               บทว่า สมติตฺติโก แปลว่า เต็มเปี่ยม.
               บทว่า กากเปยฺยา ได้แก่ กาจับที่ขอบปากไม่ต้องก้มคอก็ดื่มได้.
               บทว่า สุภูมิยํ ได้แก่ พื้นเรียบ. ก็พื้นที่สะอาด ชื่อว่าพื้นเรียบ มาในบาลีนี้ว่า บุคคลพึงปลูกพืชทั้งหลายที่พื้นทีดี ที่นาดี ที่ปราศจากตอ.
               บทว่า จาตุมฺมหาปเถ ได้แก่ ในที่ทางใหญ่สองสายผ่านแยกกันไป.
               บทว่า อาชญฺญรโถ ได้แก่ รถเทียมด้วยม้าที่ฝึกแล้ว.
               บทว่า โอสตปโฏโท ความว่า ปฏักที่ห้อย ตั้งขวางไว้โดยอาการที่สารถีขึ้นรถยืนอยู่ สามารถถือเอาได้.
               บทว่า โยคฺคาจริโย แปลว่า อาจารย์ฝึกม้า.
               ชื่อว่า อสฺสทมฺมสารถิ (สารถีผู้ฝึกม้า) เพราะอาจารย์ฝึกม้านั้นแหละ ยังม้าที่ฝึกให้วิ่งไป.
               บทว่า เยนิจฺฉกํ ได้แก่ ปรารถนาจะไปโดยทางใดๆ.
               บทว่า ยทิจฺฉกํ ได้แก่ ประสงค์การไปใดๆ.
               บทว่า สาเรยฺย ได้แก่ ขับตรงไปข้างหน้า.
               บทว่า ปจฺจาสาเรยย ได้แก่ พึงขับกลับ.
               พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสสมาปัตติบริกรรมด้วยองค์ ๕ ในภายหลังอย่างนี้แล้วทรงแสดงอานิสงส์แห่งสมาบัติอันคล่องแคล่วด้วยอุปมา ๓ เหล่านี้ บัดนี้ เพื่อทรงแสดงลำดับแห่งอภิญญาของพระขีณาสพ จึงตรัสคำมีอาทิว่า โส สเจ อากงฺขติ ดังนี้.
               คำนั้นมีเนื้อความง่ายทั้งนั้นแล.

               จบอรรถกถาอังคิกสูตรที่ ๘               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต ปฐมปัณณาสก์ ปัญจังคิกวรรคที่ ๓ ๘. อังคิกสูตร จบ.
อ่านอรรถกถา 22 / 1อ่านอรรถกถา 22 / 27อรรถกถา เล่มที่ 22 ข้อ 28อ่านอรรถกถา 22 / 29อ่านอรรถกถา 22 / 388
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=22&A=528&Z=628
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=16&A=205
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=16&A=205
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๓  มกราคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :