บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
บทว่า อุภโตภาควิมุตฺโต ความว่า หลุดพ้นแล้วโดยส่วนทั้ง ๒. อธิบายว่า หลุดพ้นแล้วจากรูปกายด้วยอรูปสมาบัติ และหลุดพ้นแล้วจากนามกายด้วยมรรค. บุคคลนั้นมี ๕ จำพวก คือ บุคคลผู้ออกจากอรูปสมาบัติ ๔ แต่ละสมาบัติแล้วพิจารณาสังขาร แล้วบรรลุพระอรหัต ๔ จำพวก. และพระอนาคามีผู้ออกจากนิโรธแล้ว บรรลุพระอรหัต ๑ จำพวก. แต่บาลีในพระสูตรมาแล้วด้วยอำนาจผู้ได้วิโมกข์ ๘ อย่างนี้ว่า๑- ก็บุคคลผู้หลุดพ้นโดยส่วน ๒ เป็นไฉน? บุคคลบางคนในพระศาสนานี้ ถูกต้องวิโมกข์ ๘ ด้วยนามกายแล้วอยู่ อาสวะของผู้นั้นย่อมสิ้นไป เพราะเห็นแม้ด้วยปัญญา. ____________________________ ๑- อภิ. ปุ. เล่ม ๓๖/ข้อ ๑๕๑ บุคคลผู้ชื่อว่าปัญญาวิมุตตะ เพราะหลุดพ้นด้วยปัญญา. ปัญญาวิมุตตะนั้นมี ๕ จำพวก ได้แก่บุคคลเหล่านี้คือ พระอรหันตสุกขวิปัสสกะจำพวก ๑ ท่านผู้ออกจากฌาน ๔ แล้วบรรลุพระอรหัต ๔ จำพวก. แต่บาลีในสูตรนี้มาแล้ว โดยปฏิเสธวิโมกข์ ๘ ดังพระธรรมสังคาหกาจารย์กล่าวไว้ว่า ความจริง บุคคลไม่ได้ถูกต้องวิโมกข์ ๘ ด้วยนามกายอยู่ อาสวะทั้งหลายของเขาย่อมสิ้นไป เพราะเห็นแม้ด้วยปัญญา. บุคคลนี้ ท่านเรียกว่าปัญญาวิมุตตะ หลุดพ้นแล้วด้วยปัญญา. บุคคลชื่อว่ากายสักขี เพราะทำให้วิโมกข์นั้นอันตนทำให้แจ้งแล้วด้วยนามกาย. กายสักขีบุคคลนั้นย่อมถูกต้องฌานสัมผัสก่อน ย่อมทำให้แจ้งซึ่งนิโรธ คือพระนิพพานในภายหลัง. กายสักขีพระอริยบุคคลผู้ตั้งอยู่ในอรหัตมรรค รวมเป็น ๖ จำพวก เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ว่า บุคคลบางคนในพระศาสนานี้ถูกต้องวิโมกข์ ๘ ด้วยนามกายอยู่ อาสวะบางเหล่าของผู้นั้นย่อมสิ้นไป เพราะเห็นแม้ด้วยปัญญา. บุคคลนี้ ท่านเรียกว่ากายสักขี ด้วยเห็นวิโมกข์ด้วยนามกาย. บุคคลผู้ชื่อว่าทิฏฐิปปัตตะ เพราะถึงอริยสัจจธรรมที่ตนเห็นแล้ว. ในทิฏฐิปปัตตบุคคลนั้นมีลักษณะสังเขปดังต่อไปนี้ บุคคลชื่อว่าทิฏฐิปปัตตะ เพราะรู้ เห็น รู้แจ้ง ทำให้แจ้ง ถูกต้องด้วยปัญญาว่า สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ ความดับสังขารเป็นสุขดังนี้. แต่เมื่อว่าโดยพิสดาร บุคคลแม้นั้นย่อมมี ๖ จำพวก ดุจกายสักขีบุคคลฉะนั้น. ด้วยเหตุนั้นนั่นแล ท่านจึงกล่าวว่า บุคคลบางคนในพระศาสนานี้ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ปฏิปทาเป็นเครื่องยังสัตว์ให้ถึงความดับทุกข์ดังนี้ และเป็นผู้มีธรรมทั้งหลายที่พระตถาคตประกาศแล้ว ซึ่งตนเห็นด้วยปัญญาอันตนประพฤติแล้วด้วยปัญญา. บุคคลนี้ ท่านเรียกว่าทิฏฐิปปัตตะ ผู้ถึงอริยสัจจ์ที่ตนเห็นแล้ว. บุคคลชื่อว่าสัทธาวิมุตตะ เพราะหลุดพ้นด้วยศรัทธา สัทธาวิมุตตบุคคลแม้นั้นก็มี ๖ จำพวก โดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าว บุคคลบางคนในพระศาสนานี้ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ปฏิปทาเป็นเครื่องให้ถึงความดับทุกข์ และย่อมเป็นผู้มีธรรมที่พระตถาคตประกาศแล้ว ซึ่งตนเห็นแล้วด้วยปัญญา อันตนประพฤติแล้วด้วยปัญญา ฯลฯ บุคคลนี้ ท่านเรียกว่าสัทธาวิมุตตะ หลุดพ้นด้วยศรัทธา. แต่ว่าไม่เป็นเหมือนความหลุดพ้นของทิฏฐิปปัตตะบุคคล เพราะความสิ้นกิเลสของสัทธาวิมุตตะบุคคลนี้ เหมือนความสิ้นกิเลสของบุคคลผู้เชื่ออยู่ ปักใจเชื่ออยู่ และน้อมใจเชื่ออยู่ ในมัคคขณะอันเป็นส่วนเบื้องต้นฉะนั้น. ญาณอันเป็นเครื่องตัดกิเลสในมัคคขณะอันเป็นส่วนเบื้องต้นของทิฏฐิปปัตตะบุคคล เป็นญาณไม่ชักช้า กล้าแข็ง แหลมคม ตัดกิเลสผ่านไปไม่ได้ เพราะเหตุนั้น เหมือนอย่างว่า บุคคลใช้ดาบที่ไม่คม ตัดต้นกล้วย รอยขาดของต้นกล้วยย่อมเกลี้ยงเกลา ดาบก็ไม่นำ (ตัด) ไปได้โดยฉับพลัน ยังได้ยินเสียงต้องทำความพยายามอย่างแรงกล้าฉันใด มรรคภาวนาอันเป็นส่วนเบื้องต้นของสัทธาวิมุตตบุคคลนั้น พึงทราบเหมือนฉันนั้น. แต่บุคคลเอาดาบที่ลับดีแล้วตัดต้นกล้วย รอยขาดของต้นกล้วยย่อมเกลี้ยงเกลา ดาบย่อมนำ (ตัด) ได้ฉับพลัน ไม่ได้ยินเสียง ไม่ต้องใช้ความพยายามอย่างแรงกล้าฉันใด มรรคภาวนาอันเป็นส่วนเบื้องต้นของปัญญาวิมุตตบุคคล ก็พึงทราบฉันนั้นเหมือนกัน. บุคคลชื่อว่าธัมมานุสารี เพราะตามระลึกถึงธรรม. ปัญญาชื่อว่าธรรม. อธิบายว่า บุคคลย่อมเจริญมรรคอันมีปัญญาเป็นตัวนำ. แม้ในบุคคลผู้สัทธานุสารีก็นัยนี้เหมือนกัน. บุคคลทั้ง ๒ นั้น ก็คือบุคคลผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรคนั่นแล. สมจริงดังคำที่ธรรมสังคาหกาจารย์กล่าวไว้ว่า บุคคลใดปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งโสดาปัตติผล ปัญญินทรีย์ย่อมมีจำนวนมาก บุคคลนั้นชื่อว่าย่อมเจริญอริยมรรคอันมีปัญญาเป็นตัวนำ บุคคลนี้ท่านเรียกว่าธัมมานุสารี. ในธัมมานุสารีนั้น มีความสังเขปเพียงเท่านี้. แต่เมื่อว่าโดยพิสดาร กถาว่าด้วยอุภโตภาควิมุตตะ จบอรรถกถาปุคคลสูตรที่ ๔ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา อังคุตตรนิกาย สัตตกนิบาต ปฐมปัณณาสก์ อนุสยวรรคที่ ๒ ๔. ปุคคลสูตร จบ. |