บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
คำว่า อจฺฉริยํ ภนฺเต แม้นี้ พึงทราบโดยข้ออัศจรรย์ที่น่าติเตียนเหมือนในเมฆิยสูตร. บทว่า ยาว อปฺปายุกา แปลว่า มีอายุน้อยเพียงไร อธิบายว่า มีชีวิตชั่วเวลานิดหน่อย. บทว่า สตฺตาหชาเต ความว่า ประสูติโดยสัปดาห์ ๑ ชื่อว่าสัตตาหชาตะ ในเมื่อพระองค์ประสูติได้ ๗ วัน. อธิบายว่า ในวันที่ ๗ ที่พระองค์ประสูติ. บทว่า ตุสิตํ กายํ อุปปชฺชิ ความว่า เข้าถึงเทพนิกายชั้นดุสิต โดยการถือปฏิสนธิ. เล่ากันมาว่า วันหนึ่งภายหลังภัตร พระเถระนั่งพักผ่อนกลางวัน ใส่ใจถึงพระรูปโฉมของพระผู้มีพระภาคเจ้า อันประดับด้วยพระลักษณะและพระอนุพยัญชนะ มีพระรูปเลอโฉม เป็นทัสนา ก็ถ้าว่า พระนางมหามายาเทวีพระพุทธมารดา ยังทรงพระชนม์อยู่ไซร้ พระนางก็จะพึงเกิดปิติโสมนัส เพราะได้เห็นพระโฉมของพระผู้มีพระภาคเจ้า เช่นไรหนอ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประสูติได้ ๗ วัน พระเทวีมหามารดาของเราสวรรคตเป็นความเสื่อมอย่างใหญ่หลวงแล. ก็ครั้นคิดอย่างนี้แล้ว จึงเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า กราบทูลความปริวิตกของตน เมื่อจะติเตียนการสวรรคตของพระนาง จึงกราบทูลคำมีอาทิว่า อจฺฉริยํ ภนฺเต. แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า พระนางมหาปชาบดีโคตมี ถึงจะวิงวอนขอบรรพชากะพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยความยากยิ่ง ก็ยังถูกห้าม แต่เราทูลขอด้วยอุบายแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงอนุญาตการบรรพชาและอุปสมบทด้วยการรับครุธรรม ๘ ประการ พระนางรับธรรมเหล่านั้นแล้ว ได้บรรพชาอุปสมบท แล้วจึงเกิดบริษัทที่ ๓ ของพระผู้มีพระภาคเจ้าขึ้น ได้เป็นปัจจัยแก่ ข้อนั้นไม่ใช่เหตุ. จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงอนุญาตการบรรพชาในศาสนาของพระองค์แก่พระมารดา หรือมาตุคามอื่น จึงทรงอนุญาตให้รัดกุมทีเดียว ไม่ใช่ทรงอนุญาตอย่างหละหลวม เพราะทรงมีพระประสงค์ให้พระศาสนาดำรงอยู่ได้นาน. ฝ่ายอาจารย์อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า พระเถระมนสิการถึงพระพุทธคุณหาที่สุด หาประมาณมิได้ ไม่ทั่วไปแก่ผู้อื่น มีทศพลญาณและจตุเวสารัชญาณเป็นต้น จึงเกิดอัศจรรย์จิตขึ้นว่า พระ ก็พระศาสดา เมื่อจะทรงแสดงข้อที่เมื่อพระโพธิสัตว์ประสูติได้ ๗ วัน พระมารดาของพระโพธิสัตว์ก็สวรรคต จัดเป็นการสำเร็จโดยธรรมดา จึงตรัสคำมีอาทิว่า เอวเมตํ อานนฺทํ. ก็ธรรมดานี้นั้น พึงทราบด้วยสามารถที่พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ เคยประพฤติ บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กาลํ กโรนฺติ ความว่า กระทำกาละโดยสิ้นไปแห่งอายุตามที่กล่าวแล้วนั่นแล ไม่ใช่เพราะมีการประสูติเป็นปัจจัย. จริงอยู่ สถานที่ที่พระโพธิสัตว์อยู่ ในอัตภาพสุดท้ายเป็นเช่นกับเรือนพระเจดีย์ ไม่ใช่เป็นสถานที่ที่คนเหล่าอื่นจะใช้สอย และใครๆ ไม่อาจที่จะถอดพระมารดาของพระโพธิสัตว์ออกแล้ว ตั้งหญิงอื่นไว้ในตำแหน่งอัครมเหสี. เพียงเท่านั้นแล จัดเป็นประมาณอายุของพระโพธิสัตว์ เพราะฉะนั้น จึงได้ทำกาละเสียในเวลานั้น. ก็พระมหาโพธิสัตว์ทั้งหลาย หมายถึงเนื้อความนี้นั่นแล จึงกระทำมหาวิโลกนะ ๕ ประการ. ถามว่า ก็พระมารดาของพระโพธิสัตว์ทำกาละในวัยไหน? ตอบว่า ในมัชฌิมวัย. จริงอยู่ ในปฐมวัย สัตว์ทั้งหลายมีฉันทราคะกล้าในอัตภาพ เพราะฉะนั้น หญิงทั้งหลายผู้ตั้งครรภ์ในคราวนั้น โดยมากไม่สามารถจะตามรักษาครรภ์ได้. หากพึงถือปฏิสนธิได้ไซร้ สัตว์ที่เกิดในครรภ์ก็จะลำบากมาก. ก็ครั้นล่วง ๒ ส่วนของมัชฌิมวัยไปแล้ว ในส่วนที่ ๓ ครรภ์ก็บริสุทธิ์ เด็กที่เกิดในครรภ์ที่บริสุทธิ์ ก็จะไม่มีโรค เพราะฉะนั้น มารดาของพระโพธิสัตว์จึงได้รับความสมบูรณ์ในปฐมวัย ประสูติในส่วนที่ ๓ ของมัชฌิมวัย แล้วสวรรคตแล. บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า ทรงทราบว่า อายุในอัตภาพของมารดาพระโพธิสัตว์และสรรพสัตว์เหล่าอื่นมีความตายเป็นที่สุด จึงทรงเปล่งอุทานนี้ อันแสดงถึงความอุตสาหะในการปฏิบัติที่หาโทษมิได้ โดยมุขอันแสดงถึงเนื้อความนั้นอย่างแจ่มแจ้ง. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เยเกจิ เป็นบทแสดงอรรถที่ไม่แน่นอน. บทว่า ภูตา แปลว่า บังเกิดแล้ว. บทว่า ภวิสฺสนฺติ แปลว่า จักบังเกิดในอนาคต. วา ศัพท์ เป็นวิกัปปัตถะ. อปิ ศัพท์ เป็นสัมปิณฑนัตถะ. ด้วย อปิ ศัพท์นั้น ท่านสงเคราะห์เอาสัตว์ผู้กำลังบังเกิด. ด้วยลำดับคำเพียงเท่านี้ ท่านกำหนดถือเอาเหล่าสัตว์ผู้นับเนื่องในปฏิสนธิด้วยอำนาจกาลมีอดีตกาลเป็นต้น โดยไม่มีส่วนเหลือ. อีกอย่างหนึ่ง คัพภเสยยกสัตว์ สัตว์ผู้เกิดในครรภ์ ตั้งแต่เวลาออกจากครรภ์ ชื่อว่า ภูตา (สัตว์ผู้เกิดแล้ว). ก่อนแต่เกิดนั้น ชื่อว่าจักเกิด. พวกสังเสทชสัตว์ และอุปปาติกสัตว์ หลังแต่ปฏิสนธิจิตไป ชื่อว่าเกิดแล้ว. ก่อนแต่นั้น ชื่อว่าจักเกิด เนื่องด้วยภพที่จะพึงบังเกิด. หรือว่า สัตว์แม้ทั้งหมด ชื่อว่าเกิดแล้ว เนื่องด้วยปัจจุบันภพ. ชื่อว่าจักเกิด เนื่องด้วยภพใหม่ในอนาคต. ผู้สิ้นอาสวะ ชื่อว่าเกิดแล้ว. จริงอยู่ ท่านผู้สิ้นอาสวะเหล่านั้น เกิดแล้วเท่านั้น ก็จักไม่เกิดต่อไปอีกแล. สัตว์เหล่าอื่นจากผู้สิ้นอาสวะเหล่านั้น ชื่อว่าจักบังเกิด. บทว่า สพฺเพ คมิสฺสนฺติ ปหาย เทหํ ความว่า สัตว์ทั้งปวงต่างกันตามที่กล่าวแล้ว และต่างกันเป็นหลายประเภทโดยภพ กำเนิด คติ วิญญาณฐิติ และสัตตาวาส เป็นต้นทั้งหมด จักละ คือทอดทิ้งร่างกาย คือสรีระของตนไปสู่ปรโลก ส่วนพระอเสขบุคคลจักไปพระนิพพาน. ในข้อนี้ ท่านแสดงไว้ว่า ใครๆ ชื่อว่าไม่มีการจุติ เป็นธรรม หามีไม่. บทว่า ตํ สพฺพชานึ กุสโล วิทิตฺวา ความว่า ท่านผู้ฉลาด คือบัณฑิต ทราบความเสื่อม คือความหายไป ได้แก่ความตาย ของสรรพสัตว์นี้นั้น หรือว่า ทราบถึงความเสื่อม คือความพินาศ ได้แก่ความผุพัง ของสรรพสัตว์ทั้งหมดนั้น ด้วยอำนาจมรณานุสติ หรือด้วยอำนาจมนสิการถึงพระไตรลักษณะมี อนิจจตา เป็นต้น. บทว่า อาตาปิโย พฺรหฺมจริยํ จเรยฺย ความว่า เมื่อบำเพ็ญวิปัสสนา ชื่อว่ามีความเพียร เพราะประกอบด้วยความเพียร คือความเพียรเครื่องเผากิเลส ชื่อว่าปรารภความเพียร ด้วยอำนาจสัมมัปปธาน ๔ พึงประพฤติ คือปฏิบัติมรรคพรหมจรรย์ อันเป็นอุบายเครื่องก้าวล่วงมรณะโดยสิ้นเชิง. จบอรรถกถาอัปปายุกาสูตรที่ ๒ ------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย อุทาน โสณเถรวรรคที่ ๕ อัปปายุกาสูตร จบ. |