ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 25 / 1อ่านอรรถกถา 25 / 115อรรถกถา เล่มที่ 25 ข้อ 116อ่านอรรถกถา 25 / 119อ่านอรรถกถา 25 / 440
อรรถกถา ขุททกนิกาย อุทาน โสณเถรวรรคที่ ๕ อุโปสถสูตร

               อรรถกถาอุโปสถสูตร               
               อุโปสถสูตรที่ ๕ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
               บทว่า ตทหุ ได้แก่ ในวันนั้น คือในกลางวันนั้น.
               ในคำว่า อุโปสเถ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
               วัน ชื่อว่าอุโบสถ เพราะเป็นที่เข้าจำของคนทั้งหลาย. บทว่า อุปวสนฺติ ความว่า เป็นผู้เข้าจำอยู่ด้วยศีล หรือด้วยการอดอาหาร.
               จริงอยู่ ศัพท์ว่า อุโบสถ นี้มาในศีล ในประโยคมีอาทิว่า๑- เราเข้าจำอุโบสถอันประกอบด้วยองค์ ๘. มาในวินัยกรรม มีปาติโมกข์อุเทศเป็นต้น ในประโยคมีอาทิว่า๒- อุโบสถหรือปวารณา. มาในอุปวาส ในประโยคมีอาทิว่า๓- อุโบสถของนายโคปาล อุโบสถของนิครนถ์. มาในบัญญัติ ในประโยคมีอาทิว่า๔- พญานาค ชื่อว่าอุโบสถ. มาในวัน ในประโยคมีอาทิว่า๕- วันนี้เป็นวันอุโบสถ ๑๕ ค่ำ.
               แม้ในที่นี้ พึงเห็นว่ามาในวันนั้นเอง. เพราะฉะนั้น บทว่า ตทหุโปสเถ ความว่า ในวันอันเป็นวันอุโบสถนั้น.
____________________________
๑- องฺ. ติก. เล่ม ๒๐/ข้อ ๕๑๐ องฺ. ทสก. เล่ม ๒๔/ข้อ ๔๖
๒- วิ. มหา. เล่ม ๔/ข้อ ๑๗๕ ๓- องฺ. ติก. เล่ม ๒๐/ข้อ ๕๑๐
๔- ที. มหา. เล่ม ๑๐/ข้อ ๑๖๕ ๕- วิ. มหา. เล่ม ๔/ข้อ ๑๘๕

               บทว่า นิสินฺโน โหติ ความว่า พระองค์แวดล้อมไปด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ประทับนั่งเพื่อทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์. ก็แลครั้นประทับนั่งแล้ว ทรงตรวจดูจิตของภิกษุเหล่านั้น ทรงเห็นคนทุศีลผู้หนึ่ง ทรงพระดำริว่า ถ้าเราจักแสดงปาติโมกข์ ในเมื่อบุคคลนี้นั่งอยู่ในที่นี้นั่นแหละ ศีรษะของผู้นั้นจักแตก ๗ เสี่ยง ดังนี้แล้ว จึงทรงดุษณีภาพเพื่ออนุเคราะห์ผู้นั้นนั่นแล.
               ก็ในที่นี้ บทว่า อุทฺธสฺตํ อรุณํ ความว่า ครั้นถึงอรุณขึ้น พระเถระวิงวอนพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงพระปาติโมกข์ด้วยคำว่า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงทรงแสดงปาติโมกข์แก่ภิกษุทั้งหลายเถิด พระเจ้าข้า. เพราะในเวลานั้นยังไม่ได้ทรงบัญญัติสิกขาบทว่า๖- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่ควรทำอุโบสถในวันมิใช่อุโบสถ.
____________________________
๖- วิ. มหา. เล่ม ๔/ข้อ ๒๐๓

               บทว่า อปริสุทฺธา อานนฺท ปริสา ความว่า เพราะพระองค์ถูกพระเถระวิงวอน ให้ทรงแสดงพระปาติโมกข์ถึง ๓ ครั้ง เมื่อจะตรัสบอกเหตุการณ์ที่ไม่ทรงแสดง ไม่ตรัสว่า บุคคลโน้นไม่บริสุทธิ์ แต่ตรัสว่า อานนท์ บริษัทไม่บริสุทธิ์.
               ก็เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงให้ ๓ ยามแห่งราตรีล่วงไปอย่างนั้น?
               เพราะจำเดิมแต่นั้น พระองค์มีพระประสงค์จะไม่แสดงโอวาทปาติโมกข์ เพื่อกระทำวัตถุแห่งการไม่ทรงแสดงนั้นให้ปรากฏ.
               บทว่า อทฺทส ได้แก่ ได้เห็นอย่างไร.
               พระเถระกำหนดรู้จิตของภิกษุทั้งหลายในบริษัทนั้น ด้วยเจโตปริยญาณของตน จึงเห็นจิตคือความเป็นผู้ทุศีลของโมฆบุรุษนั้น. ก็เพราะเหตุที่เมื่อเห็นจิตแล้ว ก็เป็นอันชื่อว่าเห็นบุคคลผู้พรั่งพร้อมด้วยจิตนั้น ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวคำมีอาทิว่า ท่านมหาโมคคัลลานะได้เห็นแล้วแล ซึ่งบุคคลผู้ทุศีลนั้น.
               เหมือนอย่างท่านผู้ได้เจโตปริยญาณ ย่อมรู้จิตของบุคคลเหล่าอื่นที่เป็นไปใน ๗ วัน ในอนาคตฉันใด แม้ในอดีตก็ฉันนั้นเหมือนกัน.
               บทว่า ทุสฺสีลํ แปลว่า ผู้ไม่มีศีล อธิบายว่า ผู้เว้นจากศีล.
               บทว่า ปาปธมฺมํ ได้แก่ ผู้มีธรรมอันลามกเป็นสภาวะ เพราะเป็นผู้มีอัธยาศัยเลว เหตุเป็นผู้ทุศีลนั่นเอง.
               บทว่า อสุจึ ได้แก่ ชื่อว่า ผู้ไม่สะอาด เพราะประกอบด้วยกายกรรมเป็นต้นอันไม่บริสุทธิ์.
               บทว่า สงฺกสฺสรสมาจารํ ความว่า ชื่อว่าผู้มีสมาจารอันพึงระลึกโดยความรังเกียจ เพราะคนอื่นเห็นกรรมอันไม่สมควรบางอย่างแล้วรังเกียจอย่างนี้ว่า นี้ชะรอยว่าจักเป็นกรรมอันผู้นี้กระทำแล้ว.
               อีกอย่างหนึ่ง เพราะได้เห็นภิกษุทั้งหลายปรึกษากันด้วยกรณียกิจบางอย่างผู้มีสมาจารอันพึงระลึกด้วยความรังเกียจของตนเองว่า ภิกษุเหล่านี้รู้กรรมที่เราทำ จึงปรึกษากันกระมังหนอ.
               ชื่อว่าผู้มีการงานซ่อนเร้น เพราะเธอมีการงานปิดบังไว้ โดยกระทำกรรมที่พึงปกปิด เหตุเป็นกรรมที่พึงละอาย.
               ชื่อว่าผู้ไม่ใช่เป็นสมณะ เพราะไม่ใช่สมณะ เหตุทรงไว้ซึ่งเพศแห่งสมณะอันน่าเกลียด.
               ชื่อว่าผู้ปฏิญญาว่าเป็นสมณะ ในการนับว่า สมณะมีจำนวนเท่าไร ในการจับฉลากเป็นต้น และในการปฏิญญาผิดๆ ว่า แม้เราก็เป็นสมณะ.
               ชื่อว่าผู้ไม่ใช่พรหมจารี เพราะเป็นผู้มีความประพฤติไม่ประเสริฐ.
               ชื่อว่าผู้ปฏิญญาว่าเป็นพรหมจารี เพราะผู้ไม่เป็นพรหมจารี เห็นเพื่อนพรหมจารีเหล่าอื่นผู้นุ่งห่มเรียบร้อย อุ้มบาตรเรียบร้อย กำลังเที่ยวบิณฑบาตในคามและนิคมเป็นต้นเลี้ยงชีพ แม้ตนเองก็ปฏิบัติโดยอาการเช่นนั้น และปรากฏในวันอุโบสถเป็นต้น เป็นเหมือนให้ปฏิญญาว่า แม้เราก็เป็นพรหมจารี.
               ชื่อว่าผู้เน่าใน เพราะกรรมเสีย คือศีลวิบัติเข้าอยู่ในภายใน.
               ชื่อว่าผู้อันราคะรั่วรด เพราะชุ่มด้วยกิเลสเป็นเครื่องไหลออกมามีราคะเป็นต้นทางทวาร ๖.
               ชื่อว่าผู้เป็นดุจหยากเยื่อ เพราะเกิดมีหยากเยื่อคือราคะเป็นต้น และเพราะถูกผู้มีศีลทั้งหลายทอดทิ้ง.
               บทว่า มชฺฌิเม ภิกฺขุสงฺฆสฺส นิสินฺนํ ความว่า ผู้นั่งในภายในภิกษุสงฆ์ เหมือนนับเนื่องในสงฆ์.
               บทว่า ทิฏฺโฐสิ ความว่า เป็นผู้อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นแล้วว่า ผู้นี้ไม่ใช่เป็นภิกษุตามปกติ. ก็ในข้อนี้ พึงเห็นการประกอบบทอย่างนี้ว่า เพราะเหตุที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นเธอ ฉะนั้น เธอ คือท่านไม่มีธรรมเครื่องอยู่ร่วมด้วยกรรมอันเดียวกันกับภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะเหตุที่เธอไม่มีธรรมเครื่องอยู่ร่วมนั้น ฉะนั้น เธอจงลุกขึ้นเถิด อาวุโส.
               บทว่า ตติยมฺปิ โส ปุคฺคโล ตุณฺหี อโหสิ ความว่า บุคคลนั้นเป็นผู้นิ่งเสียด้วยความประสงค์ว่า พระเถระแม้พูดบ่อยๆ ก็จะเบื่อหน่าย งดเว้นไปเอง หรือว่า บัดนี้ เราจักรู้การปฏิบัติของภิกษุเหล่านี้.
               บทว่า พาหายํ คเหตฺวา ความว่า บุคคลผู้ทุศีลนั้น อันพระผู้มีพระภาคเจ้าและเราเห็นตามความเป็นจริงแล้ว และเราก็กล่าวว่า ท่านจงลุกขึ้นถึงครั้งที่ ๓ ก็ไม่ลุกขึ้น จึงจับแขนบุคคลผู้ทุศีลนั้น ด้วยคิดว่า บัดนี้ เป็นเวลาที่ฉุดเธอออกไป อันตรายอุโบสถอย่าได้มีแก่สงฆ์เลย.
               ครั้นจับอย่างนั้นแล้ว.
               บทว่า พหิ ทฺวารโกฏฺฐกา นิกฺขาเมตฺวา ความว่า จึงให้ออกไปภายนอกซุ้มประตู คือจากประตูศาลา. ก็บทว่า พหิ เป็นบทแสดงที่ที่ฉุดให้ออกไป. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า พหิ ทฺวารโกฏฺฐกา ความว่า ให้ออกไปจากภายนอกซุ้มประตู ไม่ใช่ให้ออกไปจากภายในซุ้มประตู. อธิบายว่า กระทำให้อยู่ภายนอกวิหาร แม้โดยประการทั้งสอง ด้วยประการฉะนี้.
               บทว่า สุจิฆฏิกํ ทตฺวา ความว่า ใส่กลอนและลิ่มสลักไว้ข้างบน. อธิบายว่า กั้นไว้ด้วยดี.
               ด้วยบทว่า ยาว พาหาคหณาปิ นาม นี้ ท่านแสดงว่า ก็เพราะได้ฟังพระดำรัสว่า อานนท์ บริษัทไม่บริสุทธิ์ ดังนี้ ก็เมื่อเป็นอย่างนั้น เธอพึงหลีกไปเสีย ครั้นไม่หลีกไปอย่างนั้น โมฆบุรุษนั้นจักคอยอยู่จนถูกจับแขนฉุดออกไปดังนั้น ข้อนี้จึงน่าอัศจรรย์. พึงทราบว่า แม้ข้อนี้ก็เป็นอัศจรรย์ที่น่าติเตียนทีเดียว.
               ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระดำริว่า บัดนี้ เสนียดเกิดขึ้นในภิกษุสงฆ์แล้ว พวกบุคคลไม่บริสุทธิ์มายังอุโบสถ และพระตถาคตทั้งหลายย่อมไม่แสดงอุโบสถแก่บริษัทผู้ไม่บริสุทธิ์ และเมื่อไม่แสดงอุโบสถ อุโบสถของภิกษุสงฆ์ก็ขาด ถ้ากระไร ตั้งแต่นี้ไป เราพึงอนุญาตปาติโมกขุทเทศ (สวดปาติโมกข์) เฉพาะแก่ภิกษุทั้งหลาย ก็แลครั้นทรงพระดำริอย่างนี้แล้ว จึงทรงอนุญาตปาติโมกขุทเทศเฉพาะแก่ภิกษุทั้งหลาย ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อถ โข ภควา ฯเปฯ ปาฏิโมกฺขํ อุทฺทิเสยฺยาถ ดังนี้เป็นต้น.
               ในบทเหล่านั้น ด้วยบทว่า นทานาหํ นี้ เชื่อมด้วย อักษร เฉพาะบทว่า บัดนี้ เราจักไม่ทำอุโบสถ จักไม่สวดพระปาติโมกข์.
               ก็พระปาติโมกข์มี ๒ อย่าง คือ อาณาปาติโมกข์ ๑ โอวาทปาติโมกข์ ๑.
               ใน ๒ อย่างนี้ คำมีอาทิว่า สุณาตุ เม ภนฺเต๗- ชื่อว่าอาณาปาติโมกข์. อาณาปาติโมกข์นั้น พระสาวกทั้งหลายเท่านั้น ย่อมสวดซึ่งสวดกันทุกกึ่งเดือน พระพุทธเจ้าทั้งหลายหาสวดไม่.
               ก็สามคาถาเหล่านี้ คือ ขนฺติ ปรมํ ฯเปฯ สพฺพปาปสฺส อกรณํ ฯเปฯ อนูปวาโท อนูปฆาโต ฯเปฯ เอตํ พุทฺธาน สาสนํ๘- ดังนี้ ชื่อว่าโอวาทปาติโมกข์. โอวาทปาติโมกข์นั้น พระพุทธเจ้าทั้งหลายเท่านั้นย่อมแสดง สาวกหาแสดงไม่. โดยล่วงไป ๖ พรรษาจึงทรงแสดง.
               จริงอยู่ ในเวลาที่พระพุทธเจ้าผู้มีพระชนมายุยืนนาน ยังทรงอยู่ ก็ปาติโมกขุทเทศนี้แหละ สำหรับพระพุทธเจ้าผู้มีพระชนมายุน้อย ในปฐมโพธิกาลเท่านั้น ก็ปาติโมกขุทเทศนี้ ต่อแต่นั้นก็เป็นอย่างอื่น.
               ก็ปาติโมกข์นั่นแล เฉพาะภิกษุทั้งหลายเท่านั้นย่อมสวด พระพุทธเจ้าทั้งหลายหาสวดไม่ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้ของเราทั้งหลาย จึงทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ เพียง ๒๐ ปี พอเห็นอันตรายนี้แล้ว หลังจากนั้นก็ไม่ทรงแสดง.
____________________________
๗- วิ. มหา. เล่ม ๔/ข้อ ๑๔๙
๘- ที. มหา. เล่ม ๑๐/ข้อ ๕๔ ขุ. ธ. เล่ม ๒๕/ข้อ ๒๔

               บทว่า อฏฺฐานํ แปลว่า เหตุอันไม่สมควร. บทว่า อนวกาโส เป็นไวพจน์ของเหตุอันไม่สมควรนั้นเหมือนกัน.
               จริงอยู่ เหตุท่านเรียกว่าฐานะ เพราะเป็นที่ตั้งอยู่แห่งผล เหตุมีความเป็นไปเนื่องกับผลนั้นฉันใด เหตุอันไม่สมควรนั้น ท่านจึงเรียกว่า อนวกาโส ดังนี้ก็มีฉันนั้นแล.
               บทว่า ยํ เป็นกิริยาปรามาส. บทว่า ยํ นั้น พึงประกอบโดยนัยที่กล่าวแล้วในหนหลัง.
               ถามว่า ในบทว่า อฏฺฐิเม ภิกฺขเว มหาสมุทฺเท นี้ มีอนุสนธิอย่างไร?
               ตอบว่า การไม่แสดงพระปาติโมกข์แก่บริษัทผู้ไม่บริสุทธิ์ ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้วนั้นจัดเป็นอัจฉริยอัพภูตธรรม ในพระธรรมวินัยนี้ เพราะฉะนั้น พระศาสดามีพระประสงค์จะจำแนกแสดงการไม่สวดพระปาติโมกข์นั้น พร้อมกับอัจฉริยอัพภูตธรรม ๗ ประการ นอกนี้ อันดับแรก เมื่อจะทรงแสดงอัจฉริยอัพภูตธรรม ๘ ประการ ในมหาสมุทร โดยความเป็นอุปมาแก่ภิกษุเหล่านั้นก่อน จึงตรัสพระดำรัสมีอาทิว่า อฏฺฐิเม ภิกฺขเว มหาสมุทฺเท ดังนี้.
               บทว่า อสุรา ความว่า ชื่อว่าอสุระ เพราะไม่เล่น คือไม่รื่นเริง ได้แก่ไม่ไพโรจน์ เหมือนเทพ (ปกติ).
               อีกอย่างหนึ่ง เทพ ชื่อว่าอสูร เพราะเป็นข้าศึกต่อเทพผู้ชื่อว่าสุระเหล่านั้น ได้แก่เทพผู้ให้การประหารต่อเทพเวปจิตติอสูรเป็นต้น. ภพของอสูรเหล่านั้นมีในส่วนภายใต้ภูเขาสิเนรุ. เทพเหล่านั้นกำลังเข้าออกในภพแห่งอสูรเหล่านั้นๆ เนรมิตมณฑปเป็นต้น ณ เชิงเขาสิเนรุ เล่นอภิรมย์อยู่. เพราะเห็นคุณเหล่านี้ด้วยความยินดียิ่งของเทพเหล่านั้น ในภพนั้น เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เทพอสูรเหล่าใดพอได้เห็น ได้เห็นเข้า จึงอภิรมย์ในมหาสมุทร ดังนี้ เป็นต้น.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อภิรมนฺติ แปลว่า ย่อมประสบความยินดี อธิบายว่า ไม่เบื่อหน่ายอยู่. บททั้งหมดมีอาทิว่า อนุปุพฺพนินฺโน เป็นไวพจน์แห่งความเป็นสถานที่ลาดลุ่ม ตามลำดับนั้นแล.
               บทว่า นายตเกเนว ปปาโต ความว่า ไม่ใช่เหวแต่ก่อนมาทีเดียว เหมือนบึงใหญ่ที่โกรกชัน. จริงอยู่ เหวนั้น จำเดิมแต่ส่วนแห่งฝั่งไป เป็นส่วนที่ลุ่มลึก โดยองคุลีหนึ่ง สององคุลี คืบหนึ่ง ศอกหนึ่ง ไม้เส้าหนึ่ง ชั่วโคอุสภหนึ่ง กึ่งคาวุต คาวุตหนึ่ง และโยชน์หนึ่งเป็นต้น ลึกไป ลึกไป จนถึงขนาดลึก ๘,๔๐๐ โยชน์ ณ เชิงสิเนรุบรรพต ท่านแสดงไว้ดังนี้.
               บทว่า ฐิตธมฺโม ได้แก่ มีความตั้งอยู่เป็นสภาวะ คือมีความตั้งลงเป็นสภาวะ.
               บทว่า มเตน กุณเปน ได้แก่ ด้วยซากช้างและม้าเป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่ง.
               บทว่า วาเหติ แปลว่า ลอยไป.
               บทว่า ถลํ อุสฺสาเทติ ความว่า ซัดขึ้นบนบก ด้วยคลื่นกระทบคราวเดียวเท่านั้น เหมือนเอามือจับโยนไปฉะนั้น.
               บทว่า คงฺคา ยมุนา ความว่า แม่น้ำที่ไหลออกจากทางด้านทิศใต้แห่งสระอโนดาต จัดเป็นแม่น้ำ ๕ สาย ถึงการนับโดย ๕ สาย มีแม่น้ำคงคาเป็นต้น ในที่ที่ไหลไป.
               ในข้อนั้น มีกถาแสดงการเกิดขึ้นตั้งแต่ต้นแห่งแม่น้ำ ๕ สายเหล่านี้ดังต่อไปนี้
               จริงอยู่ ชมพูทวีปนี้ มีปริมาณหมื่นโยชน์. ในชมพูทวีปนั้น ประเทศมีประมาณ ๔,๐๐๐ โยชน์ ถูกน้ำเซาะ ถึงการนับว่าสมุทร. พวกคนอาศัยอยู่ในที่ประมาณ ๓,๐๐๐ โยชน์. ภูเขาหิมพานต์ตั้งจรดในที่ประมาณ ๓,๐๐๐ โยชน์ สูง ๕๐๐ โยชน์ ประดับไปด้วยยอด ๘๔,๐๐๐ ยอด วิจิตรไปด้วยแม่น้ำใหญ่ ๕ สายอันไหลมาโดยรอบ อันเป็นที่ที่ว่า โดยส่วนยาวกว้างและลึก มีประมาณ ๕๐ โยชน์ วัดโดยกลมประมาณ ๑๕๐ โยชน์ อันเป็นที่ตั้งอยู่แห่งสระใหญ่ ๗ สระ คือสระอโนดาต สระกัณณมุณฑะ สระรถการะ สระฉัททันตะ สระกุณาละ สระมันทากินิและสระสีหัปปปาตะ.
               ในสระใหญ่ ๗ สระนั้น สระอโนดาตล้อมรอบไปด้วยยอดบรรพต ๕ ยอดเหล่านี้ คือยอดเขาสุทัสสนะ ยอดเขาจิตตะ ยอดเขากาฬะ ยอดคันธมาทน์และยอดเขาไกลาส.
               ในยอดเขา ๕ ยอดเหล่านั้น ยอดเขาสุทัสสนะล้วนแล้วด้วยทองคำ สูง ๓๐๐ โยชน์ ภายในคด มีทรวดทรงคล้ายปากกา ตั้งปิดบังสระนั้นนั่นแหละไว้. ยอดเขาจิตตะล้วนแล้วด้วยแก้ว ๗ ประการ. ยอดเขากาฬะล้วนแล้วด้วยดอกอัญชัน. ยอดเขาคันธมาทน์ล้วนแล้วด้วยเพชรตาแมว ภายในมีสีเหมือนถั่วเขียว ตั้งโชติช่วงเหมือนถ่านเพลิงที่ลุกโพลง ในวันอุโบสถข้างแรม อันดาดาษไปด้วยโอสถนานัปการ มากไปด้วยกลิ่น ๑๐ กลิ่นเหล่านี้ คือ กลิ่นที่ราก กลิ่นที่แก่น กลิ่นที่กระพี้ กลิ่นที่เปลือก กลิ่นที่สะเก็ด กลิ่นที่ลำต้น กลิ่นที่รส กลิ่นที่ดอก กลิ่นที่ผล และกลิ่นที่ใบ. ยอดเขาไกลาศ ล้วนแล้วไปด้วยเงิน. ยอดเขาทั้งหมดนั้น มีทรวดทรงสงเสมอกัน กับเขาสุทัสสนะ ตั้งปิดบังสระนั้นนั่นแลไว้.
               ในยอดเขาเหล่านั้น ฝนตกด้วยเทวานุภาพ และน้ำไหลด้วยนาคานุภาพ. น้ำทั้งหมดนั้นไหลเข้าไปยังสระอโนดาตเท่านั้น. พระจันทร์และพระอาทิตย์โคจรทางด้านทิศใต้หรือทางด้านทิศเหนือ ทำแสงสว่างในที่นั้น โดยระหว่างแห่งภูเขา. แต่เมื่อโคจรไปโดยตรงๆ หาทำไม่. ด้วยเหตุนั้นนั่นแหละ สระนั้นจึงเกิดการนับว่า อโนดาต. ในสระอโนดาตนั้นพื้นแห่งมโนศิลา ไม่มีปลาและเต่า เสมือนแก้วผลึกที่ปราศจากมลทิน น้ำไม่ขุ่นมัว บังเกิดแต่กรรมทีเดียว เป็นท่าสำหรับอาบของเหล่าสัตว์ผู้ใช้น้ำนั้น เป็นที่ที่พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระสาวก ทั้งฤาษี ผู้มีฤทธิ์ ทำการอาบเป็นต้น ฝ่ายเทพและยักษ์เป็นต้นก็พากันเล่นน้ำ.
               ในข้างทั้ง ๔ ของสระอโนดาตนั้น มีทางน้ำไหลอยู่ ๔ ทาง คือทางราชสีห์ ทางช้าง ทางม้า และทางโคอุสภะ อันเป็นเหตุให้แม่น้ำทั้ง ๔ ไหลไป. ในฝั่งแม่น้ำที่ไหลออกจากทางราชสีห์ มีสีหไกรสรอยู่เป็นอันมาก. โดยทางช้างเป็นต้นก็เหมือนกัน มีช้างม้าและโคอุสภะเป็นจำนวนมาก. แม่น้ำที่ไหลออกจากทิศตะวันออกไหลวนขวา ๓ รอบสระอโนดาต ไม่ไหลไปยังแม่น้ำ ๓ สายนอกนี้ ไหลไปทางที่ไม่มีคน ด้านภูเขาหิมพานต์ทิศตะวันออกนั้นเอง แล้วไหลเข้ามหาสมุทร. ฝ่ายแม่น้ำที่ไหลออกจากทิศตะวันตกและทิศเหนือ ไหลวนขวาอย่างนั้นเหมือนกัน ไหลไปทางที่ไม่มีคน ด้านภูเขาหิมพานต์ทิศตะวันตก และทิศเหนือเหมือนกัน แล้วไหลเข้ามหาสมุทร. ส่วนแม่น้ำที่ไหลจากทางทิศใต้ แล้วไหลวนขวา ๓ รอบสระอโนดาตนั้น ไหลตรงไปทางทิศใต้หลังศิลาดาดนั้นเองได้ ๖๐ โยชน์ แล้วกระทบภูเขาพุ่งขึ้น เป็นสายน้ำประมาณ ๓ คาวุตโดยรอบ ไหลไปทางอากาศ ๖๐ โยชน์แล้ว ก็ตกลงที่ศิลาดาด ชื่อติยังคละ. ศิลาดาดแตกออก เพราะกำลังสายน้ำ. ในที่นั้น เกิดเป็นสระโปกขรณีใหญ่ชื่อติยังคละมีประมาณได้ ๕๐ โยชน์. พังฝั่งสระโปกขรณี ไหลเข้าศิลาดาด ไหลไปได้ ๖๐ โยชน์ แต่นั้นก็พังแผ่นดินทึบเจาะเป็นอุโมงค์ได้ ๖๐ โยชน์ กระทบภูเขาที่ตั้งขวาง ชื่อว่าวิชฌะ เกิดเป็นแม่น้ำ ๕ สาย เช่นกับนิ้ว ๕ นิ้ว ที่ฝ่ามือ. ในที่ที่ไหลไปไหลไป วนเวียนขวาสระอโนดาด แม่น้ำนั้น เรียกว่าอาวัตตคงคา. ในที่ที่ไหลไปตรงทางหลังศิลาดาด ประมาณ ๖๐ โยชน์ เรียกว่ากัณณคงคา. ในที่ที่ไหลไปทางอากาศประมาณ ๖๐ โยชน์ เรียกว่าอากาศคงคา. ที่ขังอยู่บนศิลาดาด ชื่อติยังคละมีโอกาสประมาณได้ ๕๐ โยชน์ เรียกว่าติยังคลโปกขรณี. ในที่ที่พังฝั่งไหลไปยังศิลาดาดได้ประมาณ ๖๐ โยชน์ เรียกว่าพหลคงคา. ในที่ที่ไหลไปทางอุโมงค์ประมาณได้ ๖๐ โยชน์ เรียกว่าอุมมังคคงคา. ในที่ที่กระทบภูเขาที่ตั้งขวางชื่อว่าวิชฌะ เกิดเป็น ๕ สาย นับเป็น ๕ สาย คือแม่น้ำคงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู และมหี.
               แม่น้ำ ๕ สายเหล่านี้ดังว่ามานี้ พึงทราบว่าไหลออกจากภูเขาหิมพานต์.
               บรรดาบทเหล่านั้น คำว่า นที นินฺนคา ดังนี้เป็นต้น จัดเป็นโคตร. คำว่า คงฺคา ยมุนา ดังนี้เป็นต้น จัดเป็นชื่อ.
               บทว่า สวนฺติโย ได้แก่ แม่น้ำใหญ่ หรือแม่น้ำน้อยชนิดใดชนิดหนึ่ง ที่ไหลไปไหลไป. บทว่า อปฺเปนฺติ แปลว่า ย่อมไหลไป คือย่อมไหลรวมกันไป. บทว่า ธารา ได้แก่ สายฝน. บทว่า ปูรตฺตํ แปลว่า ความที่สายฝนขังเต็ม.
               จริงอยู่ มหาสมุทรเป็นธรรมดาดังต่อไปนี้ ใครๆ ไม่อาจจะกล่าวมหาสมุทรนั้นว่า ในเวลานี้ฝนตกน้อย พวกเราถือเอาเครื่องดักสัตว์ มีข่ายและไซเป็นต้น จับเอาปลาและเต่า หรือว่าในเวลานี้ ฝนมีมากเกินไป พวกเราไม่ได้สถานที่เป็นที่เหยียดหลัง.
               จริงอยู่ ตั้งแต่เวลาปฐมกัปมา ฝนตกน้ำขังจรดแดนเขาสิเนรุ แต่นั้นน้ำแม้ประมาณองคุลีหนึ่ง ก็ไหลลงภายใต้เลย ไม่ไหลขึ้นข้างบน.
               บทว่า เอกรโส ได้แก่ มีรสไม่เจือปน. บทว่า มุตฺตา ได้แก่ แก้วมุกดาหลายชนิด มีชนิดเล็กใหญ่กลมและยาวเป็นต้น. บทว่า มณิ ได้แก่ แก้วมณีหลายชนิด มีชนิดแดงและเขียวเป็นต้น. บทว่า เวฬุริโย ได้แก่ แก้วไพฑูรย์หลายชนิด โดยสัณฐานมีสีไม้ไผ่ และสีดอกซึกเป็นต้น. บทว่า สงฺโข ได้แก่ สังข์หลายชนิด มีชนิดสังข์ทักษิณาวัฏ สังข์ท้องแดง และสังข์สำหรับเป่าเป็นต้น. บทว่า สิลา ได้แก่ ศิลาหลายชนิดมีชนิดสีขาว ดำ และสีถั่วเขียวเป็นต้น. บทว่า ปวาฬํ ได้แก่ แก้วประพาฬหลายชนิด มีชนิดเล็กใหญ่ แดงอ่อน และแดงแก่เป็นต้น. บทว่า โลหิตงฺกํ ได้แก่ ทับทิมหลายชนิด มีชนิดปทุมราคเป็นต้น. บทว่า มสารคลฺลํ ได้แก่ แก้วลาย (เพชรตาแมว). อาจารย์บางพวก กล่าวว่า จิตฺตผลิกํ แก้วผลึกอันไพจิตร ดังนี้ก็มี.
               บทว่า มหตํ ภูตานํ ได้แก่ สัตว์ใหญ่. ปลา ๓ ชนิดคือ ปลาติมิ ๑ ปลาติมิงคิละ ๑ ปลาติมิติมิงคิละ ๑. ปลาที่สามารถจะกลืนกินปลาติมิ ชื่อว่าปลาติมิงคิละ. ปลาที่สามารถจะกลืนกินปลาติมิ และปลาติมิงคิละ เขาเรียกว่าปลาติมิติมิงคิละ.
               บทว่า นาคา ได้แก่ นาคที่อยู่บนหลังคลื่นบ้าง นาคที่อยู่ในวิมานบ้าง.
               ด้วยบทว่า เอวเมว โข พระศาสดาทรงสามารถเพื่อจะแสดงจำแนก อัจฉริยอัพภูตธรรม ๑๖ บ้าง ๓๒ บ้าง ยิ่งกว่านั้นบ้าง ในพระธรรมวินัยนี้ ก็จริง ถึงกระนั้น เมื่อทรงแสดงจำแนกธรรมที่ควรจะพึงอุปมาเหล่านั้น เพียง ๘ อย่างโดยสมควรแก่อรรถ ที่ถือเอาโดยความเป็นอุปมาในขณะนั้น จึงตรัสคำมีอาทิว่า อย่างนั้นนั่นแล ภิกษุทั้งหลาย อัจฉริยอัพภูตธรรม ๘ อย่าง ย่อมมีในธรรมวินัยนี้ ดังนี้.
               ในธรรมเหล่านั้น ท่านถือเอาสิกขา ๓ ด้วยอนุปุพพสิกขา การศึกษาไปตามลำดับ. ธุดงค์ธรรม ๑๓ ถือเอาด้วยอนุปุพพกิริยา การทำไปตามลำดับ. อนุปัสสนา ๗ มหาวิปัสสนา ๑๘ การจำแนกอารมณ์ ๓๘ และโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ท่านถือเอาด้วยอนุปุพพปฏิปทา การปฏิบัติไปตามลำดับ.
               บทว่า นายตเกเนว อญฺญาปฏิเวโธ ความว่า ธรรมดาการไม่ทำศีลเป็นต้นให้บริบูรณ์ ตั้งแต่ต้นมาแล้วแทงตลอดพระอรหัต ย่อมไม่มี เหมือนการไปเกิดขึ้นแห่งมัณฑุกเทพบุตร ฉะนั้น ส่วนการทำศีลสมาธิและปัญญาให้บริบูรณ์ไปตามลำดับก่อนแล้ว จึงบรรลุพระอรหัตได้ ย่อมมี.
               ด้วยบทว่า มม สาวกา พระองค์ตรัสหมายถึงพระอริยบุคคลมีพระโสดาบันเป็นต้น.
               บทว่า น สํวสติ ได้แก่ ย่อมไม่ทำสังวาสด้วยอำนาจอุโบสถกรรมเป็นต้น. บทว่า อุกฺขิปติ แปลว่า ย่อมผลักออกไป. บทว่า อารกา ว ได้แก่ ในที่ไกลนั่นแล.
               บทว่า น เตน นิพฺพานธาตุยา อูนตฺตํ วา ปูรตฺตํ วา ความว่า ใครๆ ไม่อาจจะกล่าวว่า แม้เมื่อกัปยังไม่สิ้นไป พระพุทธเจ้าทั้งหลายยังไม่เสด็จอุบัติ แม้สัตว์ตนหนึ่งก็ไม่สามารถจะปรินิพพานได้ แม้ในกาลนั้น ก็ไม่อาจจะพูดว่า นิพพานธาตุว่าง แต่ในครั้งพุทธกาล สัตว์ทั้งหลายแม้นับไม่ถ้วนในสมาคมหนึ่งๆ ก็พากันยินดีอมตธรรม แม้ในกาลนั้น ใครๆ ก็ไม่อาจจะพูดได้ว่า นิพพานธาตุเต็ม.
               บทว่า วิมุตฺติรโส แปลว่า มีการหลุดพ้นจากกิเลสเป็นรส. จริงอยู่ ศาสนสมบัติทั้งสิ้น ย่อมดำรงอยู่เพียงเพื่อจิตหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลายเพราะไม่ถือมั่น.
               บทว่า รตนานิ ความว่า ชื่อว่ารัตนะ เพราะอรรถว่าให้เกิดความยินดี.
               จริงอยู่ เมื่อเจริญสติปัฏฐานเป็นต้น ปิติและปราโมทย์มีประมาณไม่น้อยย่อมบังเกิดในส่วนเบื้องต้น. ในส่วนเบื้องปลายไม่จำต้องกล่าวถึง
               สมจริงดังพระดำรัสที่ตรัสไว้ว่า
                                   พระโยคีย่อมพิจารณาเห็นความเกิดและความดับ
                         แห่งขันธ์ทั้งหลายในกาลใดๆ ในกาลนั้นๆ ท่านย่อมได้
                         ป๊ติและปราโมทย์ นั้นเป็นอมตะของผู้รู้แจ้ง.
๙-
               ก็ปีติและปราโมทย์อันมีโลกิยรัตนะเป็นเหตุ ย่อมไม่ถึงส่วนแห่งเสี้ยวของอมตธรรมนั้น อรรถดังว่ามานี้ ท่านแสดงไว้ในหนหลังแล้วแล
               อีกอย่างหนึ่ง
                                   สิ่งที่ธรรมดาทำให้วิจิตร มีค่ามากหาที่เปรียบปาน
                         มิได้ เห็นได้ยากเป็นเครื่องใช้สอยของสัตว์ผู้ไม่ต่ำทราม
                         ท่านเรียกว่า รัตนะแล.

____________________________
๙- ขุ. ธ. เล่ม ๒๕/ข้อ ๓๕

               ก็ถ้าชื่อว่ารัตนะ ย่อมมีได้โดยภาวะที่ธรรมดาทำให้วิจิตรเป็นต้นไซร้ ถึงอย่างนั้น สติปัฏฐานเป็นต้นนั่นแล ก็เป็นรัตนะได้เพราะเป็นของมีอยู่จริง.
               จริงอยู่ ภาวะแห่งสติปัฏฐานเป็นต้นนั้น เป็นอานุภาพของโพธิปักขิยธรรม เพราะเป็นเหตุใกล้ซึ่งทำให้พระสาวกบรรลุสาวกบารมีญาณ พระปัจเจกพุทธเจ้าบรรลุปัจเจกโพธิญาณ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ.
               จริงอยู่ เหตุที่สืบๆ กันมาเป็นอุปนิสัยแห่งทานเป็นต้น รวมความว่า สติปัฏฐานเป็นต้นเป็นรัตนะเป็นความดียิ่งแห่งโพธิปักขิยธรรม เพราะอรรถว่าทำให้เกิดความยินดี และเพราะอรรถว่าเป็นของอันธรรมดาทำให้วิจิตร. ด้วยเหตุนั้น พระองค์จึงตรัสว่า ในธรรมเหล่านั้นรัตนะเหล่านี้ คือ สติปัฏฐาน ๔.
               บรรดาธรรมเหล่านั้น ชื่อว่าปัฏฐาน เพราะอรรถว่าหยั่งลงปรากฏในอารมณ์ กรรมเริ่มแรกคือสติ ชื่อว่าสติปัฏฐาน. ก็เพราะอารมณ์มี ๔ อย่างด้วยอำนาจกายเป็นต้น ท่านจึงกล่าวว่าสติปัฏฐาน ๔. จริงอย่างนั้น สติปัฏฐาน ๔ เหล่านั้น ท่านแยกออกเป็นกายานุปัสสนาเป็นต้น เพราะละความสำคัญในกายว่างาม เวทนาว่าเป็นสุข จิตว่าเป็นของเที่ยง และในธรรมว่าเป็นอัตตา และเพราะยึดถือในกายว่าเป็นของไม่งาม ในเวทนาว่าเป็นทุกข์ ในจิตว่าเป็นของไม่เที่ยงและในธรรมว่าเป็นอนัตตา.
               ชื่อว่าสัมมัปปธาน เพราะเป็นเหตุให้พระโยคีเริ่มตั้งโดยชอบ หรือว่าตนเองเริ่มตั้งโดยชอบ หรือการเริ่มตั้งที่บัณฑิตสรรเสริญหรือเป็นความดี.
               อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าสัมมัปปธาน เพราะเป็นเหตุให้บุคคลทำความเพียรโดยชอบนั่นเอง คำว่าสัมมัปปธานนี้เป็นชื่อของวิริยะความเพียร. ก็สัมมัปปธาน ความเพียรนั้นก็เรียกว่าสัมมัปปธาน ๔ เพราะทำกิจ ๔ อย่างคือ
                         ไม่ให้อกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดมิให้เกิดขึ้น ๑
                         ละอกุศลธรรมที่เกิดขึ้น ๑
                         ทำกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น ๑
                         ทำกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญ ๑.
               ชื่อว่าฤทธิ์ เพราะอรรถว่าสำเร็จ อธิบายว่า สัมฤทธิ์ คือเผล็ดผล. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าฤทธิ์ เพราะเป็นเหตุสำเร็จ คือสัมฤทธิ์ เจริญถึงความสูงสุดแห่งสัตว์ทั้งหลาย. ด้วยอรรถแรก บาทคือความสำเร็จ ชื่อว่าอิทธิบาท อธิบายว่า ส่วนแห่งความสำเร็จ. ด้วยอรรถที่ ๒ บาท คือที่ตั้ง ได้แก่อุบายเครื่องบรรลุถึงความสำเร็จ เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าอิทธิบาท. จริงอยู่ สัตว์ทั้งหลายย่อมถึง คือบรรลุความสำเร็จ กล่าวคือคุณวิเศษสูงๆ ขึ้นไปด้วยอิทธิบาทนั้น. อิทธิบาทนี้นั้น ท่านเรียกว่าอิทธิบาท ๔ เพราะทำอธิบดีธรรม ๔ มีฉันทาธิบดีเป็นต้นให้เป็นธุระ คือให้เป็นใหญ่บังเกิดขึ้น.
               บทว่า ปญฺจินฺทฺริยานิ ได้แก่ อินทรีย์ ๕ มีสัทธินทรีย์เป็นต้น. ในอินทรีย์ ๕ นั้น ศรัทธาชื่อว่าอินทรีย์ เพราะครอบงำความเป็นผู้ไม่มีศรัทธา แล้วทำให้เป็นใหญ่ในลักษณะแห่งการน้อมใจเชื่อ. ปัญญาชื่อว่าอินทรีย์ เพราะครอบงำโกสัชชะแล้วทำให้เป็นใหญ่ในลักษณะแห่งการประคองไว้ ครอบงำปมาทะแล้วทำให้เป็นใหญ่ในลักษณะปรากฏ ครอบงำความฟุ้งซ่านแล้วทำให้เป็นใหญ่ในลักษณะแห่งความไม่ฟุ้งซ่าน ครอบงำความไม่รู้แล้วทำให้เป็นใหญ่ในลักษณะแห่งทัสสนะ
               อินทรีย์ ๕ เหล่านั้นแหละพึงทราบว่าพละ เพราะความเป็นธรรมชาติมั่นคงในสัมปยุตธรรมทั้งหลาย ด้วยอรรถว่าไม่หวั่นไหว โดยที่ความไม่มีศรัทธาเป็นต้นครอบงำไม่ได้.
               บทว่า สตฺต โพชฺฌงฺคา ความว่า โพชฌงค์ เพราะอรรถว่าเป็นองค์แห่งธรรมสามัคคีเครื่องตรัสรู้ หรือของบุคคลผู้ตรัสรู้. พระอริยสาวกย่อมตรัสรู้ คือออกจากกิเลสนิทรา คือแทงตลอดอริยสัจ ๔ หรือทำให้แจ้งเฉพาะพระนิพพาน ด้วยธรรมสามัคคีใด กล่าวคือ สติ ธัมมวิจยะ วีริยะ ปิติ ปัสสัทธิ สมาธิและอุเบกขาอันเป็นปฏิปักษ์ต่ออันตรายเป็นอเนก เช่นการตั้งอยู่และการประมวลมาซึ่งความหดหู่และความฟุ้งซ่าน การประกอบในกามสุขัลลิกานุโยค และอัตตกิลมถานุโยค และการยึดมั่นอุจเฉททิฏฐิและสัสสตทิฏฐิเป็นต้น อันเกิดขึ้นในขณะโลกุตรมรรค เพราะเหตุนั้น ธรรมสามัคคีนั้น ท่านเรียกว่า โพธิ ชื่อว่าโพชฌงค์ เพราะเป็นองค์แห่งโพธิ กล่าวคือธรรมสามัคคีนั้นบ้าง เหมือนองค์ของฌาน และองค์ของมรรคเป็นต้น.
               ชื่อว่าโพชฌงค์ แม้เพราะเป็นองค์แห่งพระอริยสาวกผู้ตรัสรู้ซึ่งเรียกว่า โพธิ เพราะวิเคราะห์ว่าตรัสรู้ด้วยธรรมสามัคคี มีประการดังกล่าวแล้ว เหมือนองค์ของเสนา และองค์ของรถเป็นต้น. ด้วยเหตุนั้น พระโบราณาจารย์ทั้งหลาย จึงกล่าวว่า
               ชื่อว่าโพชฌงค์ เพราะเป็นองค์แห่งบุคคลผู้ตรัสรู้
               พึงทราบอรรถแห่งโพชฌงค์ แม้โดยนัยมีอาทิว่า๑๐- ชื่อว่าโพชฌงค์ เพราะเป็นไปเพื่อธรรมสามัคคีเครื่องตรัสรู้ ดังนี้.
____________________________
๑๐- ขุ. ปฏิ. เล่ม ๓๑/ข้อ ๕๕๗

               บทว่า อริโย อฏฺฐงฺคิโก มคฺโค ความว่า ชื่อว่าอริยะ เพราะไกลจากกิเลสอันมรรคนั้นๆ พึงฆ่า เพราะกระทำความเป็นพระอริยะและเพราะให้ได้อริยผล. ชื่อว่าอัฏฐังคิกะ เพราะมรรคนั้นมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิเป็นต้น. อีกอย่างหนึ่ง องค์ ๘ นั่นแหละ ชื่อว่าอัฏฐังติกะ. ชื่อว่ามรรค เพราะฆ่ากิเลสทั้งหลายให้ตายไป หรือเพราะผู้ต้องการพระนิพพานแสวงหา หรือตนเองแสวงหาพระนิพพาน. พึงทราบการจำแนกอรรถแห่งสติปัฏฐานเป็นต้นเหล่านั้นอย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้.
               บทว่า โสตาปนฺโน ได้แก่ พระอริยบุคคลผู้ถึง คือบรรลุกระแส กล่าวคือมรรคดำรงอยู่ อธิบายว่า ผู้ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล.
               บทว่า โสดาปตฺติผลสจฺฉิกิริยาย ปฏิปนฺโน ได้แก่ พระอริยบุคคลผู้ดำรงอยู่ในปฐมมรรคผู้กำลังปฏิบัติเพื่อทำโสดาปัตติผลให้ประจักษ์แก่ตน ซึ่งเรียกพระอริยบุคคลที่ ๘ ดังนี้ก็มี.
               บทว่า สกทาคามี ได้แก่ พระอริยบุคคลผู้ดำรงอยู่ในผลที่ ๒ ผู้จะมาสู่โลกนี้คราวเดียวเท่านั้น โดยการถือปฏิสนธิ.
               บทว่า อนาคามี ได้แก่ พระอริยบุคคลผู้ดำรงอยู่ในผลที่ ๓ ผู้มีปกติไม่มาสู่กามโลก โดยการถือปฏิสนธิ.
               ก็การจำแนกพระอริยบุคคลมีอาทิอย่างนี้ว่า สัทธานุสารี ๑ ธัมมานุสารี ๑ เอกพีชี ๑ เป็นประเภทของพระอริยบุคคลเหล่านั้นนั่นแล.
               คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วแล.
               บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า ทรงทราบความ กล่าวคือความไม่มีธรรมเครื่องอยู่ร่วมกันกับบุคคลทุศีลผู้ประดุจซากสัตว์ตายในพระธรรมวินัยของพระองค์นี้.
               บทว่า อิมํ อุทานํ ความว่า ทรงเปล่งอุทานนี้ อันแสดงเหตุแห่งการจำแนกบุคคลผู้ไม่ควรอยู่ร่วมและผู้ควรอยู่ร่วม.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ฉนฺนมติวสฺสติ ความว่า ภิกษุต้องอาบัติแล้วปกปิดไว้ ย่อมต้องอาบัติตัวอื่นใหม่อีก ย่อมต้องอาบัติมากขึ้นๆ ฝนคืออาบัติ ได้แก่ ฝนคือกิเลส ย่อมรั่วรดมากขึ้นอย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้.
               บทว่า วิวฏํ นาติวสฺสติ ความว่า ภิกษุผู้ต้องอาบัติแล้ว ไม่ปกปิดอาบัตินั้นไว้เปิดเผย ประกาศแก่เพื่อนสพรหมจารี กระทำคืน แสดงออก (จากอาบัติ) ตามธรรม ตามวินัยไม่ต้องอาบัติตัวอื่นใหม่ เพราะเหตุนั้น ฝนคืออาบัติ ฝนคือกิเลส ที่ภิกษุนั้นเปิดเผยแล้วย่อมไม่รั่วรดอีก ก็เพราะเหตุที่ข้อนั้นเป็นอย่างนั้น ฉะนั้น ท่านทั้งหลายพึงเปิดคือประกาศอาบัติที่ปิด คือที่ปกปิดไว้.
               บทว่า เอวนฺตํ นาติวสฺสติ ความว่า เมื่อเป็นอย่างนั้น ฝนคือกิเลสย่อมไม่ทำลายอัตภาพแล้วรั่วรด คือไม่เปียกบุคคลผู้ต้องอาบัตินั้น. อธิบายว่า บุคคลนั้นไม่ถูกกิเลสรั่วรดอย่างนั้น เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ มีใจมั่น เริ่มตั้งวิปัสสนาพิจารณาอยู่ ย่อมบรรลุถึงพระนิพพานโดยลำดับ.

               จบอรรถกถาอุโปสถสูตรที่ ๕               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย อุทาน โสณเถรวรรคที่ ๕ อุโปสถสูตร จบ.
อ่านอรรถกถา 25 / 1อ่านอรรถกถา 25 / 115อรรถกถา เล่มที่ 25 ข้อ 116อ่านอรรถกถา 25 / 119อ่านอรรถกถา 25 / 440
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=25&A=2991&Z=3144
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=26&A=7076
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=26&A=7076
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๓  กุมภาพันธ์  พ.ศ.  ๒๕๔๙
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :