บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
บทว่า เรวโต เป็นชื่อของพระเถระนั้น. จริงอยู่ พระเถระนั้นได้บรรพชาอุปสมบทในพระศาสนาแล้ว เป็นผู้มีศีล มีกัลยาณธรรมอยู่. แต่เธอเป็นผู้มากไปด้วยความสงสัย กล่าวคือความรังเกียจในพระวินัย โดยมีอาทิว่า๑- ถั่วเขียวที่เป็นอกัปปิยะ ย่อมไม่ควรเพื่อจะบริโภค และว่าน้ำอ้อยงบที่เป็นอกัปปิยะ ย่อมไม่ควรเพื่อจะบริโภค. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงปรากฏชื่อว่า กังขาเรวตะ. ____________________________ ๑- วิ. มหา. เล่ม ๕/ข้อ ๔๘ ครั้นภายหลัง ท่านเรียนพระกัมมัฏฐานในสำนักพระศาสดา เพียรพยายามอยู่ ทำให้แจ้งอภิญญา ๖ ยับยั้งอยู่ด้วยสุขอันเกิดแต่ฌาน และสุขอันเกิดแต่ผลจิต. แต่โดยมาก ท่านพิจารณาอริยมรรคที่ตนบรรลุแล้ว ทำได้หนักแน่น. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า พิจารณาอยู่ซึ่งกังขาวิตรณวิสุทธิของตน ดังนี้เป็นต้น. จริงอยู่ ปัญญาที่สัมปยุตด้วยมรรค ในที่นี้ ท่านประสงค์เอาว่า กังขาวิตรณวิสุทธิ เพราะข้าม คือก้าวล่วงความสงสัยทั้งปวง โดยไม่มีส่วนเหลือ คือความสงสัยมีวัตถุ ๑๖ อันเป็นไปโดยนัยมีอาทิว่า ตลอดอดีตกาลยาวนาน เราได้มีแล้วหรือหนอ.๒- ความสงสัยมีวัตถุ ๘ ที่ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ว่า ย่อมสงสัยในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ฯลฯ ย่อมสงสัยในปฏิจจสมุปปันนธรรม.๓- จะป่วยกล่าวไปไยถึงความสงสัยนอกนี้เล่า และเพราะความบริสุทธิ์โดยส่วนเดียว จากกิเลสเหล่าอื่นที่ตนพึงละ. ก็ท่านผู้มีอายุนี้ เพราะเหตุที่ท่านมีความสงสัยเป็นปกติมานาน ท่านจึงนั่งพิจารณาอริยมรรคที่ตนบรรลุแล้วนั้น ให้หนักแน่นว่า เราละความสงสัยเหล่านี้ได้เด็ดขาด เพราะอาศัยมรรคธรรมนี้ ไม่ใช่นั่งพิจารณาเห็นนามรูปพร้อมด้วยปัจจัย เพราะการข้ามความสงสัยเสียได้นั้น มีความไม่เที่ยงเป็นที่สุด. ____________________________ ๒- ม. มู. เล่ม ๑๒/ข้อ ๑๒ สํ. นิ. เล่ม ๑๖/ข้อ ๖๓ ๓- อภิ. สงฺ. เล่ม ๓๔/ข้อ ๖๗๒ บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า ทรงทราบอรรถนี้ คือการข้ามความสงสัยแห่งอริยมรรคได้เด็ดขาด แล้วจึงทรงเปล่งอุทานนี้ อันแสดงถึงความนั้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยากาจิ กงฺขา อิธ วา หุรํ วา ความว่า ความสงสัยในอัตภาพนี้ คืออัตภาพที่เป็นปัจจุบันนี้ที่เกิดขึ้น โดยนัยมีอาทิว่า เราย่อมเป็นหรือหนอ หรือว่าเราไม่เป็นหนอ.๔- หรือในอัตภาพอื่น คือในอัตภาพที่เป็นอดีตและอนาคตที่เกิดขึ้น โดยนัยมีอาทิว่า ตลอดอดีตกาลยาวนาน เราได้มีแล้วหรือหนอ.๕- ____________________________ ๔- ม. มู. เล่ม ๑๒/ข้อ ๔๕๑ ๕- ม. มู. เล่ม ๑๒/ข้อ ๑๒ บทว่า สกเวทิยา วา ปรเวทิยา วา ความว่า ความสงสัยนั้น คือความเคลือบแคลงอย่างใดอย่างหนึ่งในความรู้ของตนที่จะพึงได้ คือที่เป็นไปโดยเป็นอารมณ์ในอัตภาพของตนอย่างนี้ คือโดยนัยดังกล่าวแล้ว หรือในความรู้ของผู้อื่นที่จะพึงได้ในอัตภาพของผู้อื่น คือที่จะพึงได้ ได้แก่ที่เป็นไปในอัตภาพอันสูงสุด โดยนัยมีอาทิว่า เป็นพระพุทธเจ้าหรือหนอ หรือว่าไม่เป็นหนอ. บทว่า ฌายิโน ตา ปชหนฺติ สพฺพา อาตาปิโน พฺรหฺมจริยํ จรนฺตา ความว่า คนเหล่าใด ชื่อว่าผู้เพ่งฌาน ด้วยอารัมมณูปนิชฌาน และลักขณูปนิชฌาน เจริญวิปัสสนา ชื่อว่ามีความเพียร เพราะบริบูรณ์ด้วยสัมมัปปธาน ๔ ประพฤติอยู่ คือได้รับมรรคพรหมจรรย์ ผู้ตั้งอยู่ในปฐมมรรค ต่างโดยประเภทแห่งสัทธานุสารีบุคคลเป็นต้น ย่อมละ คือย่อมตัดขาดซึ่งความสงสัยทั้งปวงนั้นในขณะแห่งมรรค. ก็ต่อแต่นั้น เป็นอันชื่อว่า คนเหล่านั้นละความสงสัยเหล่านั้นเสียได้. เพราะฉะนั้น จึงมีอธิบายว่า การละความสงสัยเหล่านั้นอื่นจากนี้ได้เด็ดขาด ย่อมไม่มี. ดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงชมเชยการบรรลุอริยมรรคของท่านพระกังขาเรวตะ โดยฌานมุข คือโดยยกฌานขึ้นเป็นประธาน จึงทรงเปล่งอุทานด้วยอำนาจความชมเชย. ก็ด้วยเหตุนั้นนั่นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงสถาปนาท่านไว้ในเอตทัคคะ โดยความเป็นผู้มีฌานว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บรรดาภิกษุผู้สาวกของเราผู้มีฌาน กังขาเรวตะเป็นเลิศแล.๖- ____________________________ ๖- องฺ. เอก. เล่ม ๒๐/ข้อ ๑๔๗ จบอรรถกถากังขาเรวตสูตรที่ ๗ ------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย อุทาน โสณเถรวรรคที่ ๕ กังขาเรวตสูตร จบ. |