บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
บทว่า รตฺตนฺธการติมิสายํ ได้แก่ ความมืดมิดโดยการมืดสนิทในราตรี. จริงอยู่ แม้ราตรีในคืนวันเพ็ญสว่างไสวด้วยแสงจันทร์ข้างขึ้น เป็นอันชื่อว่าเว้นจากความมืดมิด. แม้ความมืด ก็ไม่ควรจะกล่าวว่ามืดมิด ในเมื่อกลางวันปราศจากความหมองด้วยหมอกเป็นต้น. จริงอยู่ ความมืดมิด ท่านเรียกว่า ติมิสา. ก็ความมืดนี้คือ วันดับ กลางคืน ฝนตก และปกคลุมด้วยกลีบเมฆ. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า บทว่า รตฺตนฺธการติมิสายํ ได้แก่ ความมืดมิดด้วยความมืดสนิทในราตรี ดังนี้. บทว่า อพฺโภกาเส ได้แก่ ในโอกาสที่ไม่ปกปิด ได้แก่ลานวิหาร. บทว่า เตลปฺปทีเปสุ ฌายมาเนสุ ได้แก่ เมื่อประทีปโชติช่วงด้วยน้ำมัน. ถามว่า ก็รัศมีด้านละวาของพระผู้มีพระภาคเจ้าตามปกติ แผ่ซ่านไปตลอดที่ประมาณวาหนึ่งข่มแสงจันทร์และแสงอาทิตย์ ฉายแสงสว่างของพระพุทธเจ้าที่หนาทึบตั้งกำจัดความมืดมิด แม้รัศมีแห่งพระวรกายก็ฉายพุทธรังสีที่หนาทึบ มีพรรณ ๖ ประการ มีสีเขียวและเหลืองเป็นต้น ตามปกติทีเดียว ทั้งทำที่มีประมาณ ๘๐ ศอก โดยรอบให้สว่างไสว เมื่อเป็นเช่นนั้น ในโอกาสที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่ง อันมีแสงสว่างเป็นอันเดียวกัน กับแสงสว่างของพระพุทธเจ้านั่นแล ไม่จำต้องมีกิจคือการตามประทีปมิใช่หรือ? ตอบว่า ไม่มีก็จริง แม้ถึงอย่างนั้น อุบาสกผู้ต้องการบุญ ก็ต้องการตามประทีปน้ำมันทุกวันๆ เพื่อทำการบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้า และภิกษุสงฆ์. สมจริงดังคำที่ท่านกล่าวไว้ในสามัญญผลสูตรว่า ประทีปเหล่านั้นย่อมโพลงอยู่ในโรงกลม ดังนี้. แม้คำว่า รตฺตนฺธการติมิสายํ นี้ท่านกล่าวไว้ เพื่อระบุถึงความเป็นจริงของ ก็ในวันนั้น อุบาสกชาวเมืองสาวัตถีจำนวนมากชำระร่างกายแต่เช้าตรู่ ไปยังวิหารสมาทานองค์อุโบสถ นิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข เข้าไปสู่พระนครให้มหาทานเป็นไปแล้ว ส่งเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า และส่งภิกษุสงฆ์กลับแล้ว ไปยังเรือนของตนๆ บริโภคด้วยตนเอง นุ่งห่มผ้าเรียบร้อย มีอุตราสงค์เฉวียงบ่า ต่างถือของหอมและดอกไม้เป็นต้น พากันไปยังวิหารบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้า บางพวกเข้าไปหาภิกษุผู้ที่ตนชอบใจและนับถือ บางพวกใส่ใจโดยแยบคายยับยั้งอยู่ตลอดวัน. ครั้นเวลาเย็น อุบาสกเหล่านั้นก็ฟังธรรมในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อพระศาสดาประทับนั่งบนบวรพุทธอาสน์ที่บรรจงจัดไว้ในกลางแจ้งใกล้พระคันธกุฎี ตั้ง ครั้งนั้น อุบาสกเหล่านั้นตามประทีปน้ำมันเป็นอันมาก เพื่อบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าและภิกษุสงฆ์ แล้วเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้วประคองอัญชลีแด่ภิกษุสงฆ์ นั่ง ณ ส่วนสุดภิกษุสงฆ์ สังสนทนากันว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พวกเดียรถีย์เหล่านี้กล่าวยึดถือทิฏฐิต่างๆ และเมื่อกล่าวอย่างนั้น บางคราวกล่าวว่าเที่ยง บางคราวกล่าวว่าไม่เที่ยง ไม่ตั้งอยู่ในทิฏฐิอย่างใดอย่างหนึ่ง มีอุจเฉททิฏฐิเป็นต้น เป็นเสมือนคนบ้า ยกย่องทิฏฐิใหม่ๆ ว่า สิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่า เดียรถีย์เหล่านั้นผู้ยึดถืออย่างนั้น มีคติเป็นอย่างไร อภิสัมปรายภพของพวกเขาเป็นอย่างไร. ก็สมัยนั้น แมลงเม่าเป็นอันมาก เมื่อตกลง ก็ตกลงที่ประทีปน้ำมันเหล่านั้น. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ก็สมัยนั้นแล แมลงเม่าเป็นอันมากตกลง. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อธิปาตกา แปลว่า แมลงเม่าซึ่งท่านกล่าวว่า สลภา ดังนี้ก็มี. จริงอยู่ แมลงเม่าเหล่านั้น ท่านประสงค์เอาว่า อธิปาตกา เพราะตกลงสู่เปลวประทีป. บทว่า อาปาตปริปาตํ แยกเป็น อาปาตํ ปริปาตํ อธิบายว่า ตกลงทั่วๆ ตกลงรอบๆ คือหมุนตกลงตรงหน้าแล แล้วตกลง. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ตกลงรอบๆ ในทางไปมา. อธิบายว่า ในทางที่มา เมื่อมีประทีปอยู่ในทางมาของตน ก็ตกลงๆ. บทว่า อนยํ แปลว่า ความไม่เจริญ คือความทุกข์. บทว่า พฺยสนํ แปลว่า ความพินาศ. จริงอยู่ ด้วยบทต้น ท่านแสดงถึงทุกข์ปางตาย ด้วยบทหลัง ท่านแสดงถึงความตายของแมลงเม่าเหล่านั้น. ในแมลงเม่าเหล่านั้น สัตว์บางพวกตายพร้อมกับการตกลง บางพวกก็ถึงทุกข์ปางตาย. บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า ทรงทราบถึงการที่แมลงเม่าทั้งหลายไม่รู้ประโยชน์ตน ถึงความวอดวายไร้ประโยชน์ด้วยความพยายามของตนนี้ จึงทรงเปล่งอุทานนี้ อันแสดงถึงความวอดวายของทิฏฐิคติกบุคคล โดยการถือผิดเหมือนแมลงเม่าเหล่านั้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุปาติธาวนฺติ น สารเมนฺติ ความว่า ไม่ถึงธรรมอันเป็นสาระ ต่างโดย ศีล สมาธิ ปัญญา และวิมุตติ เป็นต้น คือไม่ถึงโดยการตรัสรู้สัจจะ ๔. แต่เมื่อธรรมอันเป็นสาระพร้อมทั้งอุบายนั้น ยังดำรงอยู่นั่นแหละ พวกเขาเป็นเสมือนเข้าถึงธรรมอันเป็นสาระนั้น เพราะหวังธรรมเป็นเครื่องหลุดพ้น ย่อมแล่นไป คือเลยไปด้วยทิฏฐิวิปัลลาส. อธิบายว่า ยึดมั่นถือมั่นในอุปาทานขันธ์ ๕ ว่าเที่ยง งาม สุข มีตัวตน. บทว่า นวํ นวํ พนฺธนํ พฺรูหยนฺติ ความว่า ก็เมื่อยึดถืออย่างนั้น ชื่อว่าย่อมพอกพูน คือขยายธรรมเป็นเครื่องผูกใหม่ๆ กล่าวคือตัณหาและทิฏฐิ. บทว่า ปตนฺติ ปชฺโชตมิวาธิปาตา ทิฏฺเฐ สุเต อิติเหเก นิวิฏฺฐา ความว่า สมณ อธิบายว่า เขาไม่อาจจะเงยศีรษะขึ้นได้ จากหลุมถ่านเพลิงนั้น. จบอรรถกถาอุปาติสูตรที่ ๙ ----------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย อุทาน ชัจจันธวรรคที่ ๖ อุปาติสูตร จบ. |