บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
บทว่า โกณฺฑญฺโญ ในบทว่า อญฺญาโกณฺฑญฺโญ นี้เป็นชื่อของท่านที่มาโดยโคตร. ก็ในบรรดาสาวกทั้งหลาย พระเถระปรากฏในพระศาสนาว่า อัญญาโกณฑัญญะนั่นแล โดยคำอุทานที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า อญฺญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ๑- เพราะตรัสรู้อริยสัจ ๔ ก่อนพระสาวกทั้งหมด. ____________________________ ๑- วิ. มหา. เล่ม ๔/ข้อ ๑๗ บทว่า ตณฺหาสงฺขยวิมุตฺตึ ชื่อว่า ธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา เพราะเป็นที่สิ้นตัณหา คือเป็นที่ละตัณหา ได้แก่พระนิพพาน. ความหลุดพ้นในเพราะความสิ้นไปแห่งตัณหานั้น. อีกอย่างหนึ่ง อริยมรรค ชื่อว่าธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา เพราะเป็นเหตุสิ้นคือเป็นเหตุละตัณหา. ชื่อว่าตัณหาสังขยวิมุตติ เพราะวิมุตติเป็นผลหรือ บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า พระองค์ ครั้นทรงทราบการพิจารณาอรหัตผลของพระอัญญาโกณฑัญญะนี้แล้ว จึงทรงเปล่งอุทานนี้ อันแสดงถึงความนั้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยสฺส มูลํ ฉมา นตฺถิ ความว่า พระอริยบุคคลใดไม่มีอวิชชาอันเป็นดุจรากของต้นไม้คืออัตภาพ และไม่มีแผ่นดิน กล่าวคืออาสวะ นีวรณ์ และ พึงทราบสัมพันธ์บทในบทว่า ปณฺณา นตฺถิ กุโต ลตา นี้ว่า เครือเถาไม่มี ใบไม้จะมีแต่ที่ไหน. อธิบายว่า แม้เครือเถา กล่าวคือกิ่งใหญ่กิ่งน้อยเป็นต้น อันต่างด้วยมานะและอติมานะเป็นต้น ย่อมไม่มี ใบไม้คือมทะ ปมาทะ มายา และสาไถยเป็นต้น จักมีแต่ที่ไหนเล่า. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ปณฺณา นตฺถิ กุโต ลตา ความว่า เมื่อหน่อไม้งอกงามขึ้น ใบไม้ก็บังเกิดขึ้นก่อน ภายหลัง ท่านกล่าวตั้งชื่อว่า ลตา คือกิ่งใหญ่ กิ่งน้อย. ในคำนั้น มูลคืออวิชชา และกิเลสมีอาสวะเป็นต้น อันเป็นที่ตั้งอาศัยของมูล คืออวิชชานั้น ย่อมไม่มีแก่ต้นไม้ คืออัตภาพใด อันควรแก่การเกิดขึ้น ในเมื่อไม่มีการเจริญอริยมรรค เพราะเจริญอริยมรรคแล้ว. ก็ในที่นี้ ด้วยมูลศัพท์นั่นเอง พึงทราบว่า ท่านถือเอาแม้ภาวะที่กรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งพืช เพราะเป็นเหตุแห่งมูลนั่นเอง. ก็เมื่อพืชคือกรรมไม่มี หน่อคือวิญญาณ ซึ่งมีพืช คือกรรมเป็นเครื่องหมาย และใบ กิ่ง มีนามรูปสฬายตนะเป็นต้นเป็นอาทิ อันมีหน่อคือวิญญาณเป็นเครื่องหมาย จักไม่บังเกิดขึ้นเลย. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า พระอริยบุคคลใดไม่มีอวิชชาเป็นมูลราก ไม่มีเครือเถาคือมานะเป็นต้น ใบคือความมัวเมาเป็นต้น จักมีแต่ที่ไหน. บทว่า ตํ ธีรํ พนฺธนา มุตฺตํ ความว่า ซึ่งพระอริยบุคคลนั้น ผู้ชื่อว่าธีระ เพราะชำนะมาร ด้วยการประกอบความเพียร คือสัมมัปปธาน ๔ ผู้พ้นจากเครื่องผูก คืออภิสังขารอันเป็นตัวกิเลสทั้งหมดนั้นนั่นแล. บทว่า ตํ ในบทว่า โก ตํ นินฺทิตุมรหติ นี้เป็นนิบาต. ใครเล่าผู้มีชาติแห่งวิญญู บทว่า เทวาปิ นํ ปสํสนฺติ ความว่า โดยที่แท้ ทวยเทพผู้รู้คุณวิเศษ มีท้าวสักกะเป็นต้น ก็ย่อมสรรเสริญด้วยอปิศัพท์ แม้มนุษย์มีกษัตริย์ผู้เป็นบัณฑิตเป็นต้น ก็ย่อมทรงสรรเสริญ. ยิ่งขึ้นไปอีกเล็กน้อย แม้พรหมก็สรรเสริญ คือมหาพรหมก็ดี พรหม นาค ยักษ์ และคนธรรพ์เป็นต้น แม้เหล่าอื่นก็ดี ก็ย่อมสรรเสริญ คือย่อมชมเชยเหมือนกันแล. จบอรรถกถาตัณหักขยสูตรที่ ๖ ----------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย อุทาน จูฬวรรคที่ ๗ ตัณหักขยสูตร จบ. |