บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] [๑๐] [๑๑] [๑๒] [๑๓] [๑๔] หน้าต่างที่ ๙ / ๑๔. ข้อความเบื้องต้น กุลบุตร ๓๐ คนออกบวช ____________________________ ๑- อุปสมฺปทาย ปญฺจวสฺสา หุตฺวา เป็นผู้มีพรรษา ๕ โดยการอุปสมบท. พระศาสดาตรัสถามว่า "พวกเธอจักไปยังที่ไหน?" เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า "สถานชื่อโน้น", ได้ทรงทราบว่า "ภัยจักเกิดขึ้นในที่นั้นแก่ภิกษุเหล่านั้น เพราะอาศัยคนกินเดนคนหนึ่ง ก็แต่ว่าเมื่อสังกิจจสามเณรไปแล้ว ภัยนั้นจักระงับ, เมื่อเป็นเช่นนั้น กิจบรรพชิตของภิกษุเหล่านั้นจักถึงความบริบูรณ์." ประวัติของสังกิจจสามเณร ได้ยินว่า มารดาของสังกิจจสามเณรนั้น เป็นธิดาของตระกูลมั่งคั่งในกรุงสาวัตถี. เมื่อสามเณรนั้นยังอยู่ในท้อง มารดานั้นได้ทำกาละในขณะนั้นนั่นเอง ด้วยความเจ็บไข้อย่างหนึ่ง. เมื่อมารดานั้นถูกเผาอยู่ เนื้อส่วนที่เหลือไหม้ไป เว้นแต่เนื้อท้อง. ลำดับนั้น พวกสัปเหร่อยกเนื้อท้องของนางลงจากเชิงตะกอน แทงด้วยหลาวเหล็กในที่ ๒-๓ แห่ง. ปลายหลาวเหล็กกระทบหางตาของทารก. พวกสัปเหร่อแทงเนื้อท้องอย่างนั้นแล้ว จึงโยนไปบนกองถ่าน ปกปิดด้วยถ่านนั่นแลแล้วหลีกไป. เนื้อท้องไหม้แล้ว ส่วนทารกได้เป็นเช่นกับรูปทองคำบนกองถ่าน เหมือนนอนอยู่ในกลีบแห่งดอกบัว. แท้จริง สัตว์ผู้มีในภพเป็นที่สุด แม้ถูกภูเขาสิเนรุทับอยู่ ชื่อว่ายังไม่บรรลุพระอรหัตแล้วสิ้นชีวิตไม่มี. ในวันรุ่งขึ้น พวกสัปเหร่อมาด้วยคิดว่า "จักดับเชิงตะกอน" เห็นทารกนอนอยู่อย่างนั้น เกิดอัศจรรย์และแปลกใจ คิดว่า "ชื่ออย่างไรกัน? เมื่อสรีระทั้งสิ้นถูกเผาอยู่บนฟืนเท่านี้ ทารกไม่ไหม้แล้ว จักมีเหตุอะไรกันหนอ?" จึงอุ้มเด็กนั้นนำไปภายในบ้านแล้ว ถามพวกหมอทายนิมิต. พวกหมอทายนิมิตพูดว่า "ถ้าทารกนี้จักอยู่ครองเรือน พวกญาติตลอด ๗ เครือสกุลจักไม่ยากจน, ถ้าจักบวช จักเป็นผู้อันสมณะ ๕๐๐ รูปแวดล้อมเที่ยวไป." พวกญาติขนานนามว่า สังกิจจะ เพราะหางตาของเขาแตกด้วยขอเหล็ก. สมัยอื่น เด็กนั้นปรากฏว่า "สังกิจจะ" ครั้งนั้น พวกญาติเลี้ยงเขาไว้ ด้วยปรึกษากันว่า "ช่างเถิด, ในเวลาที่เขาเติบโตแล้ว พวกเราจะให้เขาบวชในสำนักพระสารีบุตรผู้เป็นเจ้าของเรา. ในเวลาที่ตนมีอายุได้ ๗ ขวบ สังกิจจะนั้นได้ยินคำพูดของพวกเด็กๆ ว่า "ในเวลาที่เจ้าอยู่ในท้อง มารดาของเจ้าได้กระทำกาละแล้ว, เมื่อสรีระมารดาของเจ้านั้นแม้ถูกเผาอยู่ เจ้าก็ไม่ไหม้" จึงบอกแก่พวกญาติว่า "เขาว่า ฉันพ้นภัยเห็นปานนั้น, ประโยชน์อะไรของฉันด้วยเรือน ฉันจักบวช." ญาติเหล่านั้นรับว่า "ดีละพ่อ" แล้วนำไปยังสำนักพระสารีบุตรเถระ ได้ถวายด้วยกล่าวว่า "ท่านเจ้าข้า ขอท่านจงให้เด็กนี้บวช." พระเถระให้ตจปัญจกกัมมัฏฐานแล้วก็ให้บวช สามเณรนั้นบรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ในเวลาปลงผมเสร็จนั่นเอง ชื่อว่าสังกิจจสามเณรเพียงเท่านี้. รับสั่งให้ภิกษุไปลาพระสารีบุตร พระเถระ คิดว่า "ภิกษุเหล่านี้ จักเป็นผู้ที่พระศาสดาทรงเห็นเหตุอย่างหนึ่งแล้วส่งมาที่นี่, นี่อะไรกันหนอแล? รู้เรื่องนั้นแล้ว จึงกล่าวว่า "ผู้มีอายุ ก็สามเณรของพวกท่านมีหรือ?" พวกภิกษุ. ไม่มี ท่านผู้มีอายุ. พระเถระ. ถ้าไม่มี, พวกท่านจงพาสังกิจจสามเณรนี้ไป. พวกภิกษุ. อย่าเลย ท่านผู้มีอายุ, เพราะอาศัยสามเณร ความกังวลจักมีแก่พวกกระผม, ประโยชน์อะไรด้วยสามเณร สำหรับพวกภิกษุผู้ที่อยู่ในป่า. พระเถระ. ท่านผู้มีอายุ เพราะอาศัยสามเณรนี้ ความกังวลจักไม่มีแก่พวกท่าน, ก็แต่ว่าเพราะอาศัยพวกท่าน ความกังวลจักมีแก่สามเณรนี้. ถึงพระศาสดา เมื่อจะทรงส่งพวกท่านมายังสำนักเรา ทรงหวังจะส่งสามเณรไปกับพวกท่านจึงทรงส่งมา พวกท่านจงพาสามเณรนี้ไปเถิด. ภิกษุ ๓๐ รูปไปทำสมณธรรม ครั้งนั้น พวกมนุษย์จัดแจงที่พักกลางคืนที่พักกลางวัน ที่จงกรมและบรรณศาลา ถึงความอุตสาหะว่า "วันนี้ พวกเรา, พรุ่งนี้ พวกเรา" ได้ทำการบำรุงภิกษุเหล่านั้น. พวกภิกษุตั้งกติกากันอยู่จำพรรษา ทุคตบุรุษมาอาศัยอยู่กับพวกภิกษุ ____________________________ ๑- อนามัฏฐบิณฑบาต ภิกษุละเมิดธรรมเนียมนี้ ท่านปรับอาบัติทุกกฏ. พวกภิกษุ. ไม่มีการนิมนต์ดอก อุบาสก, พวกมนุษย์ถวายอาหารเช่นนี้แหละทุกวันๆ. ทุคตบุรุษคิดว่า "เราแม้ขยันขันแข็งทำงานตลอดกาลเป็นนิตย์ ก็ไม่อาจได้อาหารเช่นนั้น, ประโยชน์อะไรของเราด้วยการไปที่อื่น เราจักเป็นอยู่ในสำนักของภิกษุเหล่านี้นี่แหละ." ลำดับนั้น จึงกล่าวกะภิกษุเหล่านี้ว่า "กระผมปรารถนาจะทำวัตรปฏิบัติอยู่ในสำนักของพวกพระผู้เป็นเจ้า." พวกภิกษุ. ดีละ อุบาสก. ทุคตบุรุษหนีพวกภิกษุไปเยี่ยมธิดา เขาถูกโจรจับในกลางดง พวกโจร. พวกเราจักฆ่าเจ้า ทำพลีกรรมแก่เทวดา ด้วยเนื้อและเลือดของเจ้า. บุรุษนั้นถูกมรณภัยคุกคาม มิได้คิดถึงอุปการะนั้นของพวกภิกษุ เมื่อจะรักษาชีวิตของตนอย่างเดียวเท่านั้น จึงกล่าวอย่างนี้ว่า "นาย ข้าพเจ้าเป็นคนกินเดน กินภัตที่เป็นเดนเติบโต ขึ้นชื่อว่าคนกินเดน เป็นคนกาลกิณี, ก็พวกพระผู้เป็นเจ้า แม้ออกบวชจากสกุลใดสกุลหนึ่ง เป็นกษัตริย์ทีเดียว ภิกษุ ๓๑ รูปอยู่ในที่โน้น พวกท่านจงฆ่าภิกษุเหล่านั้นแล้วทำกรรม เทวดาของพวกท่านจักยินดีเป็นอย่างยิ่ง." พวกโจรไปจับภิกษุเพื่อทำพลีกรรม หัวหน้าโจรตีระฆังแล้ว. พวกภิกษุได้ยินเสียงระฆัง คิดว่า "ใครตีระฆังผิดเวลา ความไม่ผาสุกจักมีแก่ใคร" ดังนี้แล้ว จึงมานั่งบนแผ่นหินที่เขาแต่งตั้งไว้ โดยลำดับตรงกลางวิหาร พระสังฆเถระแลดูพวกโจรแล้ว ถามว่า "อุบาสก ใครตีระฆังนี้." หัวหน้าโจรตอบว่า "ข้าพเจ้าเองขอรับ." พระสังฆเถระ. เพราะเหตุไร? หัวหน้าโจร. พวกข้าพเจ้าบนบานเทพยดาประจำดงไว้ จักจับภิกษุรูปหนึ่งไป เพื่อต้องการทำพลีกรรมแก่เทวดานั้น. พวกภิกษุยอมตัวให้โจรจับ ภิกษุทั้งหมดไม่เป็นบุตรของมารดาเดียวกันเลย ไม่เป็นบุตรของบิดาเดียวกัน ทั้งยังไม่สิ้นราคะ แต่ สังกิจจสามเณรยอมมอบตัวให้แก่โจร พวกภิกษุ. ผู้มีอายุ เราทั้งหมดแม้จักถูกฆ่ารวมกัน ก็จักไม่ยอมสละเธอผู้เดียว. สามเณร. เพราะเหตุไร? ขอรับ. พวกภิกษุ. ผู้มีอายุ เธอเป็นสามเณรของพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถระ ถ้าเราจักสละเธอ พระเถระจักติว่า พวกภิกษุพาสามเณรของเราไปมอบให้แก่พวกโจร, เราไม่อาจจะสลัดคำติเตียนนั้นได้ ด้วยเหตุนั้น เราจักไม่สละเธอ. สามเณร. ท่านขอรับ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงส่งพวกท่านไปยังสำนักพระอุปัชฌายะ สามเณรนั้นไหว้ภิกษุทั้ง ๓๐ รูปแล้ว กล่าวว่า "ท่านขอรับ ถ้าโทษของกระผมมีอยู่ ขอท่านจงอดโทษ" ดังนี้ แล้วก็ออกไป. ความสลดใจอย่างใหญ่เกิดขึ้นแก่พวกภิกษุแล้ว, ตาเต็มไปด้วยน้ำตา เนื้อหัวใจสั่นแล้ว. พระมหาเถระพูดกะพวกโจรว่า "อุบาสก เด็กนี้เห็นพวกท่านก่อไฟ เสี้ยมหลาว ลาดใบไม้จักกลัว ท่านทั้งหลายพักสามเณรนี้ไว้ในที่ส่วนหนึ่ง พึงทำกิจเหล่านั้น." พวกโจรพาสามเณรไปพักไว้ในที่ส่วนหนึ่ง แล้วทำกิจทั้งปวง. นายโจรลงมือฆ่าสามเณร แท้จริง บุคคลแม้จะเอาภูเขาสิเนรุทับสามเณรในเวลานั้น ชื่อว่าสามารถจะให้สามเณรตายไม่มีเลย จะป่วยกล่าวไปไยถึงว่าจะเอาดาบฟันให้ตาย. หัวหน้าโจรเห็นปาฏิหาริย์นั้นแล้วคิดว่า "เมื่อก่อนดาบของเรา ย่อมตัดเสาหินหรือตอไม้ นายโจรเลื่อมใสในปาฏิหาริย์ของสามเณร จึงกล่าวคาถานี้ว่า :- ความหวาดเสียวไม่มีแก่ท่าน, ความกลัวก็ไม่มี, วรรณะผ่องใสยิ่งนัก, เหตุไร ท่านจึงไม่คร่ำครวญ ใน เพราะภัยใหญ่หลวงเห็นปานนี้เล่า? สามเณรออกจากฌาน เมื่อจะแสดงธรรมแก่หัวหน้าโจรนั้น จึงกล่าวว่า "ท่านผู้เป็นนายบ้าน ขึ้นชื่อว่า "ท่านผู้เป็นนายบ้าน ทุกข์ทางใจย่อมไม่มีแก่ท่านผู้ ไม่มีความห่วงใย, ท่านผู้แสวงหาคุณ สิ้นสัญโญชน์แล้ว ก้าว ล่วงภัยทุกอย่างได้, ตัณหาอันนำไปสู่ภพของพระขีณาสพนั้น สิ้นแล้ว, ท่านเห็นธรรมแล้วตามเป็นจริง หรือโดยถ่องแท้, ความตาย [ของท่าน] หมดภัยดังปลงภาระลงฉะนั้น." นายโจรขอบรรพชากะสามเณร พวกโจร. ก็ท่านเล่า? นาย. นายโจร. กิจในท่ามกลางเรือนของฉันไม่มี เพราะเห็นปาฏิหาริย์เห็นปานนี้ก่อน ฉันจักบวชในสำนักพระผู้เป็นเจ้า. พวกโจร. แม้เราจักทำอย่างนั้นเหมือนกัน. นายโจร. ดีละ พ่อ. ลำดับนั้น โจรทั้ง ๕๐๐ คนไหว้สามเณรแล้ว จึงขอบรรพชา. สามเณรนั้นตัดผมและชายผ้าด้วยคมดาบของโจรเหล่านั้นเอง ย้อมด้วยดินแดง ให้ครองผ้ากาสายะเหล่านั้น ให้ตั้งอยู่ในศีล ๑๐ เมื่อพาสามเณรเหล่านั้นไป คิดว่า "ถ้าเราจักไม่เยี่ยมพระเถระทั้งหลายไปเสีย, พระเถระเหล่านั้นจักไม่อาจทำสมณ ____________________________ ๑- ถือเอาความว่า ไม่เป็นอันตั้งหน้าทำกัมมัฏฐานได้. สามเณรกลับไปเยี่ยมพวกภิกษุ ผู้มีศีลประเสริฐกว่าผู้ทุศีล เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-
แก้อรรถ บทว่า สีลวนฺตสฺส ความว่า ความเป็นอยู่แม้วันเดียว คือแม้ครู่เดียวของผู้มีศีล มีฌานด้วยฌาน ๒ ประการ ประเสริฐ คือสูงสุดกว่าความเป็นอยู่ ๑๐๐ ปีของผู้ทุศีล. ในเวลาจบเทศนา ภิกษุแม้ ๕๐๐ นั้นบรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย, ธรรมเทศนาได้มีประโยชน์แม้แก่มหาชนผู้ประชุมกัน. ประวัติอธิมุตตกสามเณร ครั้งนั้น พระเถระเรียกสามเณรนั้นมาในเวลามีอายุครบส่งไปด้วยคำว่า "เราจักทำการอุปสมบทเธอ, จงไปถามจำนวนอายุในสำนักพวกญาติแล้วจงมา." อธิมุตตกสามเณรนั้น เมื่อไปสำนักของมารดาบิดา ถูกพวกโจร ๕๐๐ คนจะฆ่าให้ตาย เพื่อต้องการทำพลีกรรมในระหว่างทาง แสดงธรรมแก่โจรเหล่านั้นเป็นผู้อันพวกโจรมีจิตเลื่อมใส ปล่อยไปด้วยคำว่า "ท่านไม่พึงบอกความที่พวกผมมีอยู่ในที่นี้แก่ใครๆ" เห็นมารดาบิดาเดินสวนทางมา ก็รักษาสัจจะไม่บอกแก่มารดาบิดาเหล่านั้น แม้เดินไปทางนั้นนั่นแหละ. เมื่อมารดาบิดานั้นถูกพวกโจรเบียดเบียน คร่ำครวญพูดว่า "ชะรอยว่าแม้ท่านก็เป็นพวกเดียวกันกับพวกโจรจึงไม่บอกแก่เรา" โจรเหล่านั้นได้ยินเสียงแล้ว รู้ความที่สามเณรไม่บอกแก่มารดาบิดา ก็มีจิตเลื่อมใส ขอบรรพชา. แม้อธิมุตตกสามเณรนั้นก็ยังโจรเหล่านั้นทั้งหมดให้บวชแล้ว เหมือนสังกิจจสามเณร นำมายังสำนักพระอุปัชฌาย์ ผู้อันพระอุปัชฌาย์นั้นส่งไปยังสำนักพระศาสดา พาภิกษุเหล่านั้นไป กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระศาสดาแล้ว. พระศาสดาตรัสถามว่า "เขาว่าอย่างนั้นหรือ? ภิกษุทั้งหลาย" เมื่อพวกภิกษุทูลว่า "ถูกแล้ว พระเจ้าข้า" เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรมโดยนัยก่อนนั้นแล จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :- ก็ผู้ใดทุศีล มีใจไม่ตั้งมั่น พึงเป็นอยู่ ๑๐๐ ปี, ความเป็นอยู่วันเดียวของผู้มีศีล มีฌาน ประเสริฐ กว่า (ความเป็นอยู่ของผู้นั้น). (ชื่อเรื่องอธิมุตตกสามเณร) แม้นี้ ข้าพเจ้าก็กล่าวไว้แล้วด้วยพระคาถานี้เหมือนกัน. เรื่องสังกิจจสามเณร จบ. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท สหัสสวรรคที่ ๘ |