บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
บทว่า มานํ ได้แก่ มีใจหยิ่งอาศัยชาติเป็นต้น ด้วยว่าคนมีใจพองนั้น ท่านกล่าวว่า มาโน (ผู้มีความถือตัว) เพราะอรรถว่าเป็นเหตุทำให้สำคัญ โดยนัยเป็นต้นว่า เสยฺโยหมสฺมิ เราเป็นผู้ประเสริฐ หรือสำคัญตนเอง หรือเป็นผู้ยกย่องการนับถือ. มานะนี้นั้นมี ๓ อย่าง คือ มานะว่า เราเป็นผู้ประเสริฐกว่า ๑ มานะว่า เราเป็นผู้เสมอเขา ๑ มานะว่า เราเป็นผู้เลว ๑. พึงเห็นมานะมีการหยิ่งเป็นลักษณะอีก ๙ อย่าง คือ มานะว่า เราเป็นผู้ประเสริฐกว่าผู้ประเสริฐ ๑ เสมอกับผู้ประเสริฐ ๑ เลวกว่าผู้ประเสริฐ ๑ ประเสริฐกว่าผู้เสมอ ๑ เสมอกับผู้เสมอ ๑ เลวกว่าผู้เสมอ ๑ ประเสริฐกว่าผู้เลว ๑ เสมอกับผู้เลว ๑ เลวกว่าผู้เลว ๑. มีการถือตัวเป็นกิจรส หรือมีการยกย่องเป็นกิจรส มีความเป็นคนพองเป็นอาการปรากฏ หรือมีความยิ่งใหญ่เป็นอาการปรากฏ เป็นดุจคนบ้า มีความโลภปราศจากทิฏฐิเป็นปทัฏฐาน. บทว่า ปชหถ มีอธิบายว่า เธอทั้งหลายจงพิจารณาโทษมีประเภทเป็นต้นอย่างนี้ว่า มานะทั้งหมดนั้นมีการยกตนและข่มผู้อื่นเป็นนิมิต เป็นเหตุไม่ทำการกราบไหว้การต้อนรับ อัญชลีกรรมและสามีจิกรรมเป็นต้นในท่านผู้อยู่ในฐานะที่ควรเคารพ เป็นเหตุให้ถึงความประมาทโดยความเมาในชาติและเมาในคนเป็นต้น และอานิสงส์ของความไม่มีมานะอันตรงกันข้ามกับโทษนั้น แล้วเริ่มตั้งจิตอ่อนน้อมในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย ดุจคนจัณฑาลเข้าไปสู่ราชสภาแล้วละมานะนั้นด้วยตทังคปหานในส่วนเบื้องต้น เจริญวิปัสสนา ละด้วยอนาคามิมรรค. ในสูตรนี้ ท่านประสงค์มานะอันอนาคามิมรรคพึงฆ่าเท่านั้น. บทว่า มตฺตาเส ได้แก่เป็นผู้มัวเมาด้วยมานะมีมัวเมาในชาติและมัวเมาในคนเป็นต้น อันเป็นเหตุให้ถึงความประมาทเป็นต้น ยกย่องตนแล้วมัวเมา. บทที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล. แต่ใน ๖ สูตร หรือในคาถาทั้งหลายตามลำดับเหล่านี้ พระผู้มีพระภาคเจ้ายังภิกษุทั้งหลายให้ถึงอนาคามิผลแล้วจึงจบเทศนา. ในท่านผู้บรรลุอนาคามิผลนั้นได้เป็นพระอนาคามี ๕ ด้วยอำนาจภพที่เกิด คือ อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิฏฐา. บรรดาพระอนาคามี ๕ เหล่านั้น ท่านที่เกิดในชั้นอวิหา ชื่อว่า อวิหา. ท่านเหล่านั้นมี ๕ คือ อนฺตราปรินิพฺพายี (ท่านผู้จะปรินิพพานในระหว่างอายุยังไม่ทันถึงกึ่ง) ๑ อุปหจฺจปรินิพฺพายี (ท่านผู้จะปรินิพพานต่อเมื่ออายุพ้นกึ่งแล้วจวนถึงที่สุด) ๑ อสงฺขารปรินิพฺพายี (ท่านผู้จะปรินิพพานโดยง่าย ไม่ต้องใช้ความเพียรนัก) ๑ สสงฺขารปรินิพฺพายี (ท่านผู้จะปรินิพพานด้วยต้องใช้ความเพียรเรี่ยวแรง) ๑ อุทฺธํโสโตอกนิฏฺฐคามี (ท่านผู้มีกระแสเบื้องบนไปสู่อกนิฏฐภพ) ๑. ท่านที่ชื่ออตัปปา สุทัสสา สุทัสสี ก็เหมือนอย่างนั้น แต่ท่านผู้เป็นอุทธังโสโตอกนิฏฐคามี ย่อมสิ้นสุดในชั้นอกนิฏฐา. บรรดาพระอนาคามี ๕ เหล่านั้น ท่านผู้เกิดในชั้นอวิหาเป็นต้นแล้ว ปรินิพพานด้วยการดับกิเลสเพื่อบรรลุพระอรหัต ไม่เกินกึ่งอายุ ชื่อว่า อนฺตราปรินิพฺพายี. ท่านผู้ปริ ก็ในสูตรนี้พึงทราบอกนิฏฐคามี ๔ หมวด คือ อุทฺธํโสโต อกนิฏฺฐคามี (ท่านผู้มีกระแสเบื้องบนไปสู่อกนิฏฐภพ) ๑ อุทฺธํโสโต นอกนิฏฺฐคามี (ท่านผู้มีกระแสเบื้องบนไม่ไปสู่อกนิฏฐภพ) ๑ นอุทฺธํโสโต อกนิฏฺฐคามี (ท่านผู้ไม่มีกระแสเบื้องบนไปสู่อกนิฏฐภพ) ๑ น อุทฺธํโสโต น อกนิฏฺฐคามี (ผู้ไม่มีทั้งกระแสเบื้องบน ทั้งไม่ไปสู่อกนิฏฐภพ) ๑. ถามว่า อย่างไร. ตอบว่า ผู้ที่ชำระเทวโลก ๔ ตั้งแต่ชั้นอวิหาแล้วไปสู่ชั้นอกนิฏฐาจึงปรินิพพาน ชื่อ อุทฺธํ บรรดาพระอนาคามีเหล่านั้น พระอนาคามี ๓ จำพวก คือ ท่านผู้เกิดในชั้นอวิหาแล้วปรินิพพานต่ำกว่า ๑๐๐ กัป ๑. ท่านผู้ปรินิพพานในที่สุด ๒๐๐ กัป ๑. ท่านผู้ปรินิพพานในเมื่อยังไม่ถึง ๕๐๐ กัป ๑. ชื่อว่าอันตราปรินิพพายี. สมดังที่ท่านกล่าวว่า อุปฺปนฺนํ วา สมนนฺตรา อปฺปตฺตํ วา เวมชฺฌํ เกิดขึ้นแล้วในระหว่างหรือว่ายังไม่บรรลุในท่ามกลาง ดังนี้. จริงอยู่ ท่านสงเคราะห์แม้มรรคที่บรรลุแล้วด้วย วา ศัพท์. พระอนาคามีผู้เป็นอันตราปรินิพพายี ๓ จำพวกอย่างนี้เป็นอุปหัจจปรินิพพายี พวก ๑ เป็นอุทธังโสโต พวก ๑. ในท่านเหล่านั้น ท่านที่เป็นอสังขารปรินิพพายี ๕ เป็นสสังขารปรินิพพายี ๕ รวมเป็น ๑๐. อนึ่ง สุทธาวาส ๔ คือ ในชั้นอตัปปา สุทัสสา สุทัสสี มีอย่างละ ๑๐ หมวดรวมเป็น ๔๐. เพราะไม่มีกระแสในเบื้องบนในชั้นอกนิฏฐา จึงเป็นอันตราปรินิพพายี ๓ เป็นอุปหัจจปรินิพพายี ๑ เป็นอสังขารปรินิพพายี ๔ เป็นสสังขารปรินิพพายี ๔ รวมเป็น ๘ จึงเป็นพระอนาคามี ๔๘ เหล่านี้ด้วยประการฉะนี้. พึงเห็นว่าในพระสูตรนี้ ท่านถือเอาพระอนาคามีทั้งหมดเหล่านั้น ด้วยคำอันไม่ต่างกัน. จบอรรถกถามานสูตรที่ ๖ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ เอกนิบาต ปฐมวรรค มานสูตร จบ. |