บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
ชื่อว่าสังโยชน์ เพราะอรรถว่าผูกมัดบุคคลผู้มีสังโยชน์ไว้ด้วยกรรมและวิบากอันเป็นทุกข์ หรือด้วยลำดับของภพ ในภพ กำเนิด คติ วิญญาณฐิติและสัตตาวาสเป็นต้น. ชื่อว่าตัณหา เพราะอรรถว่าเป็นที่มาของความอยาก. ชื่อว่าตัณหา เพราะอรรถว่า ทำให้สะดุ้งหรือหวาดเสียว. บทว่า สํยุตฺตา ได้แก่ ผูกมัดในอภินิเวสวัตถุ (วัตถุเครื่องยึดมั่น) มีจักษุเป็นต้น. บทที่เหลือมีนัยดังได้กล่าวแล้วนั่นแล. อนึ่ง ในที่นี้แม้อวิชชาก็เป็นสังโยชน์ และตัณหาเป็นนิวรณ์ยังมีอยู่โดยแท้ ถึงดังนั้น ตัณหาย่อมผูกมัดสัตว์ด้วยภพอันมีโทษที่ถูกอวิชชาปกปิดไว้ เพราะเหตุนั้น เพื่อแสดงความต่างกันนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสอวิชชาไว้ในสูตรก่อนโดยความเป็นนิวรณ์ และตรัสตัณหาไว้ในสูตรนี้โดยความเป็นสังโยชน์ ทั้งนี้เพื่อให้เห็นความเป็นใหญ่ของนิวรณ์และสังโยชน์. เหมือนอย่างว่า อวิชชาเป็นใหญ่และเป็นประธานของธรรมเศร้าหมองทั้งหลายโดยความเป็นนิวรณ์ ฉันใด ตัณหาก็เป็นใหญ่ เป็นประธานของธรรมเศร้าหมองเหล่านั้นโดยความเป็นสังโยชน์ฉันนั้น เพราะเหตุนั้น เพื่อแสดงความเป็นใหญ่ของธรรมเศร้าหมองเหล่านั้น จึงตรัสธรรมเหล่านี้อย่างนี้ในสูตรทั้งสอง. อีกอย่างหนึ่ง ด้วยความต่างกันตรัสอวิชชาว่าเป็นนิวรณ์ เพราะห้ามนิพพานสุข ตรัสตัณหาว่าเป็นสังโยชน์ เพราะผูกมัดสัตว์ไว้ด้วยสังสารทุกข์ สูตรทั้งสองตรัสไว้เป็นสองส่วน โดยทำอันตรายแก่การเห็นการบรรลุหรือโดยเป็นข้าศึกของวิชชาและจรณะ อวิชชาเป็นข้าศึกโดยตรงของวิชชา ทำอันตรายอย่างยอดเยี่ยมแก่การเห็นนิพพาน และการเห็นที่ไม่วิปริต ตัณหาเป็นข้าศึกโดยตรงของจรณธรรมทำอันตรายแก่การบรรลุ คือแก่การปฏิบัติชอบ ด้วยประการฉะนี้. บุคคลนี้ถูกอวิชชาหุ้มห่อ ทำให้มืดมัว พัวพันด้วยตัณหาโดยประการทั้งปวง ไม่ฟัง มีกิเลสหนาผูกมัดดุจคนบอด ย่อมไม่ก้าวล่วงมหากันดาร สงสารกันดารไปได้เลย เพื่อแสดงสองหมวดอันเป็นเหตุให้เกิดความพินาศ จึงตรัสสองหมวดโดยสองส่วน. จริงอยู่ บุคคลที่มีอวิชชาย่อมเสื่อมประโยชน์ เพราะความเป็นคนโง่และทำความพินาศให้แก่ตน ผู้ไม่เสพสิ่งไม่เป็นสัปปายะ ทำดุจคนไม่ฉลาดเดือดร้อน ดุจคนไม่รู้เพื่อจะทำในสิ่งไม่เป็นสัปปายะ มักกฏาเลโปปมสูตรเป็นตัวอย่างของเรื่องนี้ ในสูตรนี้ตรัสสองหมวดโดยส่วนสอง เพื่อแสดงมูลเหตุของปฏิจจสมุปบาท ก็โดยความต่างกัน ขอบเขตของอวิชชาเป็นอดีตยาวนาน เพราะสัมโมหะมีกำลังแรง ขอบเขตของตัณหา เป็นอนาคตยาวนาน เพราะความปรารถนามีกำลังแรงกล้า. จริงดังนั้น คนพาลมากด้วยสัมโมหะย่อมเศร้าโศกถึงอดีต ควรแนะนำคนพาลผู้มากด้วยสัมโมหะนั้น ให้เข้าใจถึงปฏิจจสมุปบาททั้งหมดเป็นต้นว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สังขารทั้งหลายมีอวิชชาเป็นปัจจัยดังนี้ คนพาลมากไปด้วยความปรารถนาย่อมบ่นถึงอนาคต ควรแนะนำคนพาลผู้มากด้วยความปรารถนานั้นให้เข้าใจปฏิจจสมุปบาททั้งหมดว่า ตณฺหาปจฺจยา อุปาทานํ อุปาทานมีตัณหาเป็นปัจจัย ดังนี้ หรือว่า ด้วยบทนี้นั่นเองทรงแสดงถึงมูลเหตุของปฏิจจสมุปบาทนั้นตามลำดับ ด้วยการเกี่ยวโยงกันจากส่วนเบื้องต้นถึงส่วนเบื้องปลาย ด้วยประการฉะนี้. ในคาถาทั้งหลายพึงทราบเนื้อความดังต่อไปนี้ บทว่า ตณฺหา ทุติโย คือเป็นเพื่อนกับตัณหา. จริงอยู่ ตัณหาย่อมทำสัตว์ผู้ถูกความระหายครอบงำ ถูกความทุกข์ที่ไม่สนองคุณครอบงำบ้าง อันเป็นหน้าที่ของสหายด้วยความพอใจและชักนำ ดุจความสำคัญว่าน้ำในพยับแดด ในที่กันดารไม่มีน้ำ กระทำไม่ให้เบื่อหน่ายในภพเป็นต้น แล้วเวียนกลับมา เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ตัณหาเป็นเพื่อนของคน ดังนี้ ถามว่า ก็กิเลสเป็นต้นแม้เหล่าอื่นเป็นปัจจัย เพื่อให้เกิดในภพมิใช่หรือ. ตอบว่า ข้อนั้นจริง แต่เป็นปัจจัยพิเศษไม่เหมือนตัณหา เพราะตัณหาเว้นจากกุศล อกุศล ส่วนปัจจัยพิเศษเว้นจากกามาวจรกุศลเป็นต้น เพื่อให้เกิดในภพด้วยรูปาวจรกุศลเป็นต้น เพราะฉะนั้น จึงตรัสว่า สมุทยสจฺจํ ดังนี้. บทว่า อิตฺถภาวญฺญถาภาวํ ได้แก่ ความเป็นอย่างนี้และความเป็นอย่างอื่น ชื่อว่า อิตฺถภาวญฺญถาภาโว สงสารชื่อว่าอิตฺถภาวญฺญถาภาโว เพราะอรรถว่า สงสารมีความเป็นอย่างนี้และความเป็นอย่างอื่น ในบทนั้น ความเป็นอย่างนี้คือความเป็นมนุษย์ ความเป็นอย่างอื่นคือที่อยู่ของสัตว์นอกจากความเป็นมนุษย์นั้น หรือว่าความเป็นอย่างนี้ได้แก่อัตภาพปัจจุบันของเหล่าสัตว์นั้นๆ ความเป็นอย่างอื่นได้แก่อัตภาพอนาคต หรือว่าอัตภาพอื่นมีรูปอย่างนี้ชื่อว่าอิตถภาวะ ไม่มีรูปอย่างนี้ชื่อว่าอัญญถาภาวะ. บุรุษผู้มีตัณหาเป็นเพื่อน ย่อมไม่ก้าวล่วงสงสารอันมีความเป็นอย่างนี้และความเป็นอย่างอื่นนั้น คือลำดับขันธ์ ธาตุ อายตนะไปได้. บทว่า เอตมาทีนวํ ญตฺวา ตณฺหํ ทุกฺขสฺส สมฺภวํ แปลว่า ภิกษุรู้ตัณหาอันเป็นแดนเกิดแห่งทุกข์นี้ โดย อีกอย่างหนึ่ง บทว่า เอตมาทีนวํ ญตฺวา ได้แก่ รู้โทษ คือความชั่วร้ายอันจะไม่ทำให้ก้าวล่วงสงสารตามที่กล่าวแล้วนั้นไปได้ บทว่า ตณฺหํ ทุกฺขสฺส สมฺภวํ ได้แก่ รู้ตัณหาว่าเป็นเหตุให้เกิดวัฏทุกข์โดยนัยที่กล่าวแล้ว. บทว่า วีตตณฺโห อนาทาโน สโต ภิกฺขุ ปริพฺพเช แปลว่า ภิกษุเป็นผู้ปราศจากตัณหา ไม่ถือมั่น มีสติ พึงเว้นเสีย ความว่า ภิกษุกำหนดรู้ด้วยปริญญา ๓ อย่างนี้ เจริญวิปัสสนาไปปราศจากตัณหาตามลำดับมรรค. ชื่อว่าเป็นผู้ปราศจากตัณหา คือมีตัณหาพ้นไปแล้ว โดยประการทั้งปวงด้วยมรรคอันเลิศ. ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ถือมั่น เพราะไม่มีแม้อะไรๆ ในอุปาทาน ๔ เพราะปราศจากตัณหานั้น หรือเพราะไม่มีการยึดถือ อันได้แก่ปฏิสนธิต่อไป. ชื่อว่าเป็นผู้มีสติ เพราะทำอย่างมีสติในที่ทั้งปวง ด้วยมีสติไพบูลย์ เป็นผู้กำจัดกิเลสได้แล้ว พึงเว้น คือพึงประพฤติ หรือพึงออกไปจากความเป็นไปของสังขารด้วยขันธปรินิพพาน. จบอรรถกถากามสูตรที่ ๕ ----------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ เอกนิบาต ทุติยวรรค กามสูตร จบ. |