ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 25 / 1อ่านอรรถกถา 25 / 201อรรถกถา เล่มที่ 25 ข้อ 202อ่านอรรถกถา 25 / 203อ่านอรรถกถา 25 / 440
อรรถกถา ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ เอกนิบาต
ตติยวรรค เวปุลลปัพพตสูตร

               อรรถกถาเวปุลลปัพพตสูตร               
               ในเวปุลลปัพพตสูตรที่ ๔ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
               คำว่า บุคคล ในบทว่า เอกปุคฺคลสฺส นี้ เป็นโวหารกถา (กล่าวเป็นโวหาร).
               จริงอยู่ เทศนาของพระพุทธเจ้าผู้มีพระภาคมี ๒ อย่าง คือสมมติเทศนา และปรมัตถเทศนา. ในเทศนา ๒ อย่างนั้น สมมติเทศนามีอย่างนี้ คือ บุคคล สัตว์ หญิง ชาย กษัตริย์ พราหมณ์ เทวดา มาร. ปรมัตถเทศนามีอย่างนี้ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ขันธ์ ธาตุ อายตนะ สติปัฏฐาน.
               ในเทศนา ๒ อย่างนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงสมมติเทศนาแก่บุคคลผู้ฟังเทศนาโดยสมมติ แล้วสามารถบรรลุคุณวิเศษได้. ทรงแสดงปรมัตถเทศนาแก่บุคคลผู้ฟังเทศนาโดยปรมัตถแล้วสามารถบรรลุคุณวิเศษได้.
               พึงทราบอุปมาในข้อนั้นดังต่อไปนี้
               เหมือนอย่างว่า อาจารย์ผู้ฉลาดในภาษาท้องถิ่น พรรณนาความแห่งพระเวท ๓ บอกด้วยภาษาทมิฬแก่ผู้ที่เมื่อเขาสอนด้วยภาษาทมิฬก็รู้ความ บอกด้วยภาษาแก่ผู้ที่รู้ด้วยภาษาใบ้เป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่ง ฉันใด มาณพทั้งหลายเหล่านั้นอาศัยอาจารย์ผู้ฉลาด เฉียบแหลมย่อมเรียนศิลปะได้รวดเร็วฉันนั้น
               ในข้อนั้นพึงทราบว่า
               พระพุทธเจ้าผู้มีพระภาคดุจอาจารย์ พระไตรปิฏกอันตั้งอยู่ในภาวะที่ควรบอก ดุจไตรเพท ความเป็นผู้ฉลาดในสมมติและปรมัตถ์ ดุจความเป็นผู้ฉลาดในภาษาท้องถิ่น เวไนยสัตว์ผู้สามารถแทงตลอดด้วยสมมติและปรมัตถ์ ดุจมาณพผู้รู้ภาษาท้องถิ่นต่างๆ การแสดงด้วยสมมติและปรมัตถ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ดุจการบอกด้วยภาษาทมิฬเป็นต้นของอาจารย์
               ในข้อนี้อาจารย์กล่าวไว้ว่า
                                   พระสัมพุทธเจ้าผู้ประเสริฐกว่าผู้บอกทั้งหลาย
                         ได้ทรงบอกสัจจะสองอย่าง คือสมมติสัจ และปรมัตถสัจ
                         ไม่ได้บอกสัจจะที่ ๓ อันเป็นคำสัจที่กำหนดกันเอาเอง
                         เป็นเหตุสมมติกันในโลก คำอันเป็นปรมัตถสัจมีลักษณะ
                         เป็นของแท้แต่งธรรมทั้งหลาย เพราะฉะนั้น โวหารของ
                         พระศาสดาผู้เป็นที่พึ่งของโลก ผู้ฉลาดในโวหารทรงกล่าว
                         สมมติสัจ ว่าเป็นอริยโวหารแล.
               อีกประการหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสบุคคลกถาด้วยเหตุ ๘ ประการ คือ
                         เพื่อแสดงถึงหิริและโอตตัปปะ ๑
                         เพื่อแสดงความที่สัตว์มีกรรมเป็นของตน ๑
                         เพื่อแสดงความเพียรเครื่องกระทำแห่งบุรุษเฉพาะตน ๑
                         เพื่อแสดงอนันตริยกรรม ๑
                         เพื่อแสดงพรหมวิหารธรรม ๑
                         เพื่อแสดงปุพเพนิวาสญาณ ๑
                         เพื่อแสดงทักษิณาวิสุทธิ ๑
                         เพื่อไม่ละโลกสมมติ ๑
               ก็เมื่อกล่าวว่า ขันธ์ ธาตุ อายตนะ น่ารังเกียจ น่ากลัว ดังนี้ มหาชนย่อมไม่รู้ ย่อมถึงความลุ่มหลง หรือกลายเป็นปรปักษ์ว่า นี่อะไรกัน ขันธ์ ธาตุ อายตนะชื่อว่า น่ารังเกียจ น่ากลัวดังนี้.
               แต่เมื่อกล่าวว่า หญิง ชาย กษัตริย์ พราหมณ์ น่ารังเกียจ น่ากลัวดังนี้ มหาชนย่อมรู้ ย่อมไม่ลุ่มหลง หรือไม่กลายเป็นปรปักษ์.
               เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสบุคคลกถาเพื่อแสดงหิริและโอตตัปปะ.
               แม้เมื่อกล่าวว่า ขันธ์ กัมมัสสกา ธาตุ อายตนะ ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
               เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสบุคคลกถา ก็เพื่อแสดงความที่สัตว์มีกรรมเป็นของตน.
               แม้เมื่อกล่าวว่า มหาวิหารมีเวฬุวันเป็นต้นสร้างขึ้นด้วยขันธ์ ธาตุ อายตนะ ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. แม้เมื่อกล่าวว่า ขันธ์ทั้งหลายฆ่ามารดา ฆ่าบิดา ฆ่าพระอรหันต์ ธาตุ อายตนะกระทำกรรมโลหิตุบาท กรรมสังฆเภท ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. แม้เมื่อกล่าวว่า ขันธ์ ธาตุ อายตนะย่อมมีเมตตาดังนี้ ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. แม้เมื่อกล่าวว่า ขันธ์ ธาตุ อายตนะย่อมระลึกถึงบุพเพนิวาส ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสบุคคลกถาเพื่อแสดงความเพียรเฉพาะตน เพื่อแสดงอนันตริยกรรม เพื่อแสดงพรหมวิหารธรรม และเพื่อแสดงบุพเพนิวาส.
               แม้เมื่อกล่าวว่า ขันธ์ ธาตุ อายตนะ รับทาน มหาชนก็ไม่รู้ ย่อมถึงความลุ่มหลง หรือกลายเป็นปรปักษ์ว่า นี่อะไรกัน ขันธ์ ธาตุ อายตนะ ชื่อว่ารับทาน. แต่เมื่อกล่าวว่า บุคคลทั้งหลายย่อมรับทานดังนี้ มหาชนย่อมรู้ ไม่ลุ่มหลงหรือกลายเป็นปรปักษ์ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสบุคคลกถา เพื่อแสดงทักษิณาวิสุทธิ.
               อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลายผู้ตรัสรู้แล้ว ไม่ทรงละโลกสมมติ ทรงตั้งอยู่ในความงดงามของโลก พร้อมแสดงธรรมตามสมัญญาของโลก เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสบุคคลกถาเพื่อไม่ทรงละโลกสมมติ.
               แม้ในพระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เมื่อจะทรงแสดงอรรถที่ควรแสดงด้วยโลกโวหาร จึงตรัสคำมีอาทิว่า เอกปุคฺคลสฺส ดังนี้.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า เอกปุคฺคลสฺส ได้แก่สัตว์หนึ่ง.
               บทว่า กปฺปํ ได้แก่ ตลอดมหากัป. อันที่จริง บทว่า กปฺปํ นี้ เป็นทุติยาวิภัตติลงในอัจจันตสังโยค (สิ้น ตลอด) พึงถือเอากัปที่สัตว์ทั้งหลายแล่นไป ท่องเที่ยวไป.
               บทว่า อฏฺฐิกกโล ได้แก่ ส่วนของกระดูก. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า อฏฺฐิขโล บ้าง ความว่า สู่สมกระดูก.
               บทว่า อฏฺฐิปุญฺโช ได้แก่ หมู่กระดูก.
               บทว่า อฏฺฐิวาสิ เป็นไวพจน์ของบทว่า อฏฺฐิปุญฺโช นั้นแล. แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ตั้งแต่สะเอวลงมา ชื่อกกละ (ร่าง) บนขึ้นไปชั่วลำตาล ชื่อปุญชะ (ก้อน) จากนั้นขึ้นไปเป็นราสิ (กอง) นั่นเป็นเพียงมติของอาจารย์พวกนั้น ทั้งหมดนั้นเป็นคำกล่าวซ้ำของสมูหศัพท์นั่นเอง
               บทว่า เวปุลฺลสฺส วา ได้แก่ เพราะนำมาโดยความเปรียบเทียบกัน.
               บทว่า สเจ สํหารโก อสฺส ความว่า อาจารย์ย่อมกล่าวด้วยกำหนดว่า ผิว่า ใครๆ จะพึงรวบรวมไปกองไว้โดยไม่ให้เรี่ยราด.
               บทว่า สมฺภตญฺจ น วินสฺเสยฺย อาจารย์ย่อมกล่าวด้วยกำหนดว่า และถ้าส่วนแห่งกระดูกอันใครๆ นำไปแล้ว จะไม่พึงฉิบหายไปเพราะไม่ผุ ไม่เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย โดยไม่อันตรธานไป.
               ในพระสูตรนี้มีอธิบายว่า
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อสัตว์หนึ่งแล่นไป ท่องเที่ยวไปตลอดมหากัปหนึ่งโดยเกิดแล้วเกิดอีกด้วยกรรมกิเลส กองกระดูกใหญ่จะพึงมีอย่างนี้ ขนาดภูเขาเวปุลลบรรพต โดยส่วนสูงและส่วนกว้าง ก็ผิว่าใครๆ จะพึงรวบรวมกองไว้ และถ้าว่าส่วนแห่งกระดูกนั้น อันใครๆ นำไปแล้ว จะไม่พึงฉิบหายไปยังคงตั้งอยู่.
               ก็นัยนี้ท่านกล่าวเว้นอัตภาพที่เป็นโอปปาติกะ ปราศจากการทอดทิ้ง กเลวระอันมีสภาพทำลายไป ดุจประทีปที่ดับแล้ว และอัตภาพเล็กๆ ซึ่งไม่มีกระดูกเป็นชิ้นเป็นอัน. แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า เพราะนำนัยนี้มาด้วยการกำหนด ผิว่า จะพึงมีกองกระดูกของสัตว์เหล่านั้นเสมอเท่าภูเขา ท่านก็กล่าวถึงปริมาณของกองกระดูก. อาจารย์อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า นี่ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะปริมาณนี้ ท่านกล่าวกำหนดด้วยสัพพัญญุตญาณ ด้วยอำนาจกองกระดูกที่ได้ไว้นั่นแหละ ฉะนั้น พึงถือเอาความโดยนัยที่กล่าวแล้วนั่นแล ด้วยประการฉะนี้.
               พึงทราบความในคาถาทั้งหลายดังต่อไปนี้
               บทว่า มเหสินา ความว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชื่อว่าเป็นผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ เพราะค้นหาแสวงหาคุณมีศีลขันธ์เป็นต้นอันใหญ่.
               บทว่า อิติ วุตฺตํ มเหสินา ความว่า ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงพระองค์ ทำดุจผู้อื่นดังในประโยคมีอาทิว่า ทสพลสมนฺนาคโต ภิกฺขเว ตถาคโต ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตประกอบแล้วด้วยกำลัง ๑๐ ดังนี้.
               บทว่า เวปุลฺโล ความว่า ภูเขาได้ชื่อว่าเวปุลละ เพราะภูเขา ๕ ลูก ตั้งล้อมกรุงราชคฤห์อย่างไพบูลย์ ภูเขาเวปุลลบรรพตใหญ่กว่านั้น คือสูงสุดในส่วนของทิศที่ตั้งอยู่.
               บทว่า คิชฺฌกูฏสฺส คิริพฺพเช ได้แก่ ใกล้กรุงราชคฤห์ ชื่อคิริพชบุรี.
               ด้วยข้อความเพียงเท่านี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดถึงโทษในวัฏฏะว่า ปุถุชนผู้มีความไม่กำหนดรู้เป็นพื้นฐาน ยังตัดรากของภพไม่ขาดโดยกาลเพียงนี้ เช่นนี้นี่แลเป็นความรกของป่าช้า.
               บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงว่า ปุถุชนผู้โง่เขลา เพราะไม่รู้ไม่เข้าใจอริยสัจเหล่าใด จึงเป็นผู้รกในป่าช้าอย่างนี้ พระอริยบุคคลผู้เห็นอริยสัจเหล่านั้น จึงไม่เป็นผู้รกในป่าช้า ดังนี้ จึงตรัสคำมีอาทิว่า ยโต จ อริยสจฺจานิ ดังนี้.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า ยโต แปลว่า เมื่อใด.
               บทว่า อริยสจฺจานิ ได้แก่ ชื่อว่าอริยะ เพราะความหมดทุกข์ และชื่อสัจจะ เพราะความเป็นของจริง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าอริยสัจ หรือสัจจะทำความเป็นอริยะ จึงชื่อว่าอริยสัจ. หรือสัจจะอันพระอริยะทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น พึงแทงตลอดจึงชื่อว่าอริยสัจ. อีกอย่างหนึ่ง สัจจะของพระอริยะ ชื่อว่าอริยสัจ.
               จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าชื่ออริยะ เพราะเป็นที่พึ่งไม่เป็นข้าศึกของโลกพร้อมด้วยเทวโลก. ชื่อว่าสัจจะของพระอริยะนั้น เพราะเห็นด้วยสยัมภูญาณนั้น เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่าอริยสัจ.
               บทว่า สมฺมปฺปญฺญาย ปสฺสติ ได้แก่ ย่อมเห็นด้วยมรรคปัญญาอันเป็นไปกับด้วยวิปัสสนาปัญญา โดยชอบ โดยเหตุ โดยความรู้ ด้วยการกำหนดรู้ การละ การทำให้แจ้ง การเจริญและการตรัสรู้.
               บทว่า ทุกฺขํ เป็นต้น แสดงสรูปของอริยสัจ. ในบทว่า ทุกฺขํ นั้นชื่อว่าทุกข์ เพราะความเป็นของน่ารังเกียจ โดยเป็นที่รวมอันตรายหลายอย่าง และเพราะความว่างเปล่าจากความสุขยั่งยืนสดชื่นที่พวกชนพาลหมายมั่นไว้นักหนา.
               ความเกิดแห่งทุกข์ ชื่อว่าทุกขสมุทัย เพราะเป็นเหตุเกิดแห่งทุกข์.
               นิพพานชื่อว่าเป็นธรรมเป็นที่ก้าวล่วงแห่งทุกข์ เพราะเป็นเหตุล่วงไปแห่งทุกข์ หรือเป็นที่ก้าวล่วงทุกข์อันเป็นอารัมมณปัจจัย ชื่อว่าอริยะ เพราะไกลจากกิเลสทั้งหลาย และเพราะหมดความทุกข์.
               อริยมรรคมีองค์ ๘ ด้วยสามารถแห่งองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิเป็นต้น. ชื่อว่ามรรค เพราะฆ่ากิเลสให้สิ้นไป หรือเพราะผู้ต้องการนิพพานย่อมแสวงหา หรือเพราะแสวงหานิพพานเอง.
               ชื่อว่า ทุกฺขูปสมคามี เพราะถึงความสงบ คือความดับแห่งทุกข์ จากมรรคนั้นนั่นเอง. เชื่อมกับบทว่า ยโต สมฺมปฺปญฺญาย ปสฺสติ เมื่อใดบุคคลย่อมพิจารณาเห็นอริยสัจ ด้วยปัญญาอันชอบ ดังนี้.
               บทว่า ส สตฺตกฺขตฺตุํ ปรมํ สนฺธาวิตฺวาน ปุคฺคโล ความว่า พระอริยบุคคลผู้เป็นโสดาบัน มีอินทรีย์อ่อนกว่าทั้งหมด เห็นอริยสัจ ๔ นั้น ท่องเที่ยวไป คือแล่นไป ด้วยเกิดติดต่อกันไปในภพเป็นต้น ๗ ครั้งเป็นอย่างยิ่ง.
               จริงอยู่ พระโสดาบันทั้งหลาย ๓ จำพวก คือ เอกพิชี (มีพืชคือภพเดียว) ๑ โกลังโกละ (ไปสู่กุละจากกุละ กุละหมายถึงภพ) ๑ สัตตักขัตตุปรมะ (มี ๗ ครั้งเป็นอย่างยิ่ง) ๑ โดยความที่มีอินทรีย์แก่กล้า ปานกลางและอ่อน.
               บทว่า ส สตฺตกฺขตตุํ ปรมํ สนฺธาวิตฺวาน นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงพระโสดาบันผู้มีอินทรีย์อ่อนกว่าพระโสดาบันทั้งหมดเหล่านั้น
               บทว่า ทุกฺขสฺสนฺตกโร โหติ ความว่า เป็นผู้ทำที่สุด คือทำเป็นครั้งสุดท้ายแห่งวัฏทุกข์ได้.
               ถามว่า อย่างไร.
               ตอบว่า เพราะสังโยชน์ทั้งปวงสิ้นไป.
               อธิบายว่า เพราะบรรลุมรรคชั้นเลิศโดยลำดับแล้ว สังโยชน์สิ้นไปโดยไม่มีเหลือเลย.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถือเอายอดแห่งเทศนา ด้วยอรหัตผลนั้นแล.

               จบอรรถกถาเวปุลลปัพพตสูตรที่ ๔               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ เอกนิบาต ตติยวรรค เวปุลลปัพพตสูตร จบ.
อ่านอรรถกถา 25 / 1อ่านอรรถกถา 25 / 201อรรถกถา เล่มที่ 25 ข้อ 202อ่านอรรถกถา 25 / 203อ่านอรรถกถา 25 / 440
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=25&A=4809&Z=4830
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=27&A=2045
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=27&A=2045
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๑๘  กุมภาพันธ์  พ.ศ.  ๒๕๔๙
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :