![]() |
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
![]() |
![]() | |||||||||||||
อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() หน้าต่างที่ ๗ / ๙. ข้อความเบื้องต้น พระเถระกล่าวธรรมไม่เหมาะแก่งาน ถึงกาลก่อนก็เลอะเหมือนกัน พระศาสดาตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย โลฬุทายีนั่นกล่าวอย่างนั้น ในกาลบัดนี้เท่านั้น ก็หาไม่. ถึงในกาลก่อน โลฬุทายี เมื่อสูตรอื่นอันตนควรกล่าว ก็ไพล่กล่าวสูตรอื่น" อันภิกษุเหล่านั้นทูลอ้อนวอน จึงทรงนำอดีตนิทานมา (ตรัสดังต่อไปนี้) :- บุรพกรรมของพระโลฬุทายี โสมทัตสอนพ่อให้ทูลขอโค เธอพาท่านไปป่าช้า ชื่อวีรณัตถัมภกะแล้ว จึงมัดฟ่อนหญ้าหลายฟ่อน ทำสมมติว่า "ฟ่อนหญ้านี้เป็นเจ้าชีวิต, ฟ่อนหญ้านี้เป็นวังหน้า, ฟ่อนหญ้านี้เป็นเสนาบดี" ดังนี้เป็นต้น แสดงแก่บิดาตามลำดับแล้ว จึงชี้แจงว่า "อันคุณพ่อไปราชสกุลต้องเดินหน้าอย่างนี้ ต้องถอยหลังอย่างนี้. พระเจ้าอยู่หัว ต้องกราบบังคมทูลอย่างนี้, วังหน้า ต้องกราบทูลอย่างนี้, คุณพ่อเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวแล้ว ต้องถวายชัยมงคลอย่างนี้ว่า ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าฯ ขอพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จงทรงชนะเถิด ดังนี้ พึงว่าคาถานี้แล้ว ขอพระราชทานโคเถิด" จึงให้บิดาเรียนคาถาว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ผู้สมมติเทพ โคสำหรับไถนา ของข้าพระพุทธเจ้ามี ๒ ตัว ในโค ๒ ตัวนั้น ตัวหนึ่ง ล้มเสียแล้ว, พระองค์ผู้เทพขัตติยราช ขอพระองค์ผู้ สมมติเทพ จงพระราชทานตัวที่ ๒ เถิด. โสมทัตพาพ่อเข้าเฝ้าพระราชา ในเวลาที่โสมทัตยืนอยู่ในราชสำนัก เป็นผู้มีพระราชปฏิสันถาร อันพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชหทัยยินดี ทรงกระทำแล้ว เมื่อพระองค์ตรัสว่า "ตา แกมานานแล้วหรือ? นี้ที่นั่ง แกจงนั่งแล้วพูดไปเถิด แกต้องการด้วยสิ่งใดเล่า?" จึงว่าคาถานี้ว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ผู้สมมติเทพ โคสำหรับไถนา ของข้าพระพุทธเจ้ามี ๒ ตัว, ในโค ๒ ตัวนั้น ตัวหนึ่ง ล้มเสียแล้ว, พระองค์ผู้เทพขัตติยราช ขอพระองค์ผู้ สมมติเทพ จงทรงถือเอาตัวที่ ๒ มาเสีย. โสมทัตได้รับพระราชทาน เมื่อโสมทัตกราบทูลว่า "ขอเดชะฝ่าละอองธุลี พระบาทผู้สมมติเทวราช โคอันใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานแล้ว จักมีมาก" ดังนี้แล้ว ทรงโปรด ผู้มีสุตะน้อยเหมือนโคถึก พระเจ้าแผ่นดิน ในครั้งกระนั้น เป็นอานนท์, ตาพราหมณ์ ในครั้งกระนั้น เป็นโลฬุทายี, มหาดเล็กโสมทัต ในครั้งกระนั้น เป็นเราตถาคตนี่แหละ" จึงตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย โลฬุทายีนี้ เมื่อคำอื่นอันตนควรพูด ก็ไพล่พูดคำอื่นไปเสีย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน เธอก็พูดแล้ว เพราะความที่ตนเป็นคนมีธรรมได้สดับน้อย เพราะว่า คนมีสุตะน้อย ชื่อว่าเป็นเหมือนโคถึก" จึงตรัสพระคาถาว่า
๑- อรรถกถา. ขุ. ชา เล่ม ๒๗/ข้อ ๒๗๑. แก้อรรถ แต่ได้เรียนกรรมฐานเล็กน้อยประกอบความเพียรเนืองๆ อยู่ ก็เป็นพหุสูตได้ทีเดียว. สองบทว่า พลิพทฺโทว ชีรติ ความว่า เหมือนโคถึกเมื่อแก่ คือเมื่อเฒ่า ย่อมโตขึ้นเพื่อประโยชน์แก่โคแม่พ่อหามิได้เลย แก่โคที่เป็นพี่น้องที่เหลือก็หามิได้ โดยที่แท้ก็แก่ไม่มีประโยชน์เลย ฉันใด, แม้อัปปัสสุตชนนี้ไม่ทำอุปัชฌายวัตร, ไม่ทำอาจริยวัตร, และไม่ทำวัตรอื่น มีอาคันตุกวัตรเป็นต้น, ไม่หมั่นประกอบแม้สักว่าภาวนา ชื่อว่า ย่อมแก่ไม่มีประโยชน์เลย ฉันนั้นนั่นแหละ. บาทพระคาถาว่า มํสานิ ตสฺส วฑฺฒนฺติ มีอธิบายว่า เนื้อของโคถึกที่เจ้าของคิดว่า "อ้ายนี่ไม่อาจจะลากแอกไถเป็นต้นไหวแล้ว" ปล่อยเสียในป่า เที่ยวเคี้ยวกินดื่มอยู่ในป่านั้นแหละ ย่อมเจริญ ฉันใด, เนื้อแม้ของอัปปัสสุตชนนี้ อันพระครุฏฐานิยะมีพระอุปัชฌาย์เป็นต้น ปล่อยเสียแล้ว อาศัยสงฆ์ได้ปัจจัย ๔ ทำกิจมีระบายท้องเป็นต้น เลี้ยงกายอยู่ ย่อมเจริญ คือว่าเธอเป็นผู้มีร่างกายอ้วนพีเที่ยวไป ฉันนั้น นั่นแหละ. สองบทว่า ปญฺญา ตสฺส มีเนื้อความว่า ส่วนปัญญาที่เป็นโลกิยะ โลกุตระของอัปปัสสุตชนนั้น แม้ประมาณองคุลีเดียวก็ไม่เจริญ แต่ตัณหาและมานะ ๙ อย่าง ย่อมเจริญเพราะอาศัยทวาร ๖ เหมือนกอหญ้าลดาวัลย์เป็นต้น เจริญอยู่ในป่าฉะนั้น, ในเวลาจบเทศนา มหาชนบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้นแล้ว ดังนี้แล. เรื่องพระโลฬุทายีเถระ จบ. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ชราวรรคที่ ๑๑ |