ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 25 / 1อ่านอรรถกถา 25 / 224อรรถกถา เล่มที่ 25 ข้อ 225อ่านอรรถกถา 25 / 226อ่านอรรถกถา 25 / 440
อรรถกถา ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ ทุกนิบาต
ทุติยวรรค ชาคริยสูตร

               อรรถกถาชาคริยสูตร               
               ในชาคริยสูตรที่ ๑๐ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
               บทว่า ชาคโร ได้แก่ เป็นผู้มีความเพียรเป็นเครื่องตื่น คือปราศจากความหลับ ประกอบความเพียร ขวนขวายในการมนสิการกรรมฐานตลอดคืนและวัน.
               สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า๑-
               ภิกษุในศาสนานี้ชำระจิตจากอาวรณียธรรม (ธรรมเครื่องกั้น) ด้วยการนั่งจงกรมตลอดวัน ชำระจิตจากอาวรณียธรรม ด้วยการนั่งจงกรมตลอดปฐมยามของราตรี สำเร็จสีหไสยาโดยข้างเบื้องขวาตลอดมัชฌิมยามของราตรี มีสติสัมปชัญญะด้วยการทับเท้าด้วยเท้า มนสิการถึงอุฏฐานสัญญา (ความสำคัญในการลุกขึ้น) แล้วชำระจิตจากอาวรณียธรรม ด้วยการลุกขึ้นนั่งจงกรมตลอดปัจฉิมยามแห่งราตรีอย่างนี้ ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ประกอบความเพียร เป็นเครื่องตื่นอยู่ตลอดราตรีต้นและราตรีปลาย.
____________________________
๑- อภิ. วิ. เล่ม ๓๕/ข้อ ๖๐๙

               ศัพท์เป็นสัมปิณฑนัตถะ (มีอรรถรวบรวม) เมื่อพูดตั้งร้อยเป็นต้น ย่อมประมวลด้วย ศัพท์.
               บทว่า อสฺส แปลว่า พึงเป็น. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ชาคโร จ ภิกฺขุ วิหเรยฺย ภิกษุพึงมีความเพียรอยู่. บทว่า สโต ได้แก่ มีสติโดยไม่อยู่ปราศจากสติด้วยไม่ละกรรมฐานในที่ทั้งปวงและโดยกาลทั้งปวง. บทว่า สมฺปชาโน ได้แก่ มีสัมปชัญญะด้วยอำนาจแห่งสัมปชัญญะ ๔ อย่างอันเป็นไปในฐานะของสัตว์. บทว่า สมาหิโต ได้แก่ มีจิตตั้งมั่น คือมีจิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งด้วยอุปจารสมาธิและอัปปนาสมาธิ.
               บทว่า ปมุทิโต ได้แก่ เบิกบาน คือมากด้วยความปราโมทย์ เพราะเห็นอานิสงส์แห่งการปฏิบัติ และเพราะเห็นการปรารภความเพียรไม่เป็นโมฆะด้วยการบรรลุความวิเศษยิ่งๆ ขึ้นไป.
               บทว่า วิปฺปสนฺโน ได้แก่ ผ่องใสด้วยดี เพราะเป็นผู้มากด้วยศรัทธาในสิกขาอันเป็นข้อปฏิบัติจากความเบิกบานนั้น และในพระศาสนาผู้ทรงแสดงข้อปฏิบัติ พึงเชื่อมความว่า สพฺพตฺถ อสฺส พึงมีในที่ทั้งปวง หรือเชื่อม สพฺพตฺถ วิหเรยฺย พึงอยู่ในที่ทั้งปวง.
               บทว่า ตตฺถ กาลวิปสฺสี จ กุสเลสุ ธมฺเมสุ ได้แก่ เห็นแจ้งในกาลนั้น หรือเห็นแจ้งสมควรแก่กาลในการประกอบกรรมฐานนั้น.
               ถามว่า ท่านอธิบายไว้อย่างไร
               ตอบว่า ภิกษุเริ่มตั้งวิปัสสนาแล้วพิจารณา ด้วยการพิจารณาเป็นกลุ่มก้อนเป็นต้น เว้นอสัปปายธรรม ๗ มีอาวาสเป็นต้น แล้วเสพสัปปายธรรม ไม่ถึงความสิ้นสุดลงในระหว่าง มีตนส่งไปแล้ว กำหนดอาการที่จิตตั้งมั่น ประพฤติอนิจจานุปัสสนาเป็นต้นในลำดับโดยเคารพ พึงเป็นผู้เห็นแจ้งสมควรแก่กาลในกาลนั้นๆ หรือในการประกอบกรรมฐานนั้นอย่างนี้
               คือ ในกาลใดวิปัสสนาจิตหดหู่ ในกาลนั้นพึงเห็นแจ้ง ในโพชฌงค์มีธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์ และปีติสัมโพชฌงค์. ก็ในกาลใดจิตฟุ้งซ่าน ในกาลนั้นพึงเห็นแจ้งในธรรมคือโพชฌงค์ อันหาโทษมิได้เป็นกุศล ได้แก่ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ดังนี้. แต่สติสัมโพชฌงค์พึงปรารถนาในทุกๆ กาลทีเดียว
               สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
               สติญฺจ ขฺวาหํ ภิกฺขเว สพฺพตฺถกํ วทามิ
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าสติจำต้องปรารถนาในที่ทั้งปวง ดังนี้.
               ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงถึงความเพียรเป็นเครื่องตื่นด้วยเทศนาอันเป็นบุคลาธิษฐานแล้ว จึงทรงประกาศธรรมอันมีการประกอบความเป็นเครื่องตื่นสมบูรณ์.
               พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงวาระแห่งการพิจารณา พร้อมด้วยอุปการกธรรม (ธรรมเกื้อหนุนกัน) ของภิกษุผู้ปรารภวิปัสสนาโดยสังเขปแล้ว.
               บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงถึงความไม่ดูแคลน ต่อการปฏิบัติของผู้ปฏิบัติอยู่อย่างนั้น จึงตรัสคำมีอาทิว่า ชาครสฺส ภิกฺขเว ภิกฺขุโน ดังนี้.
               การยึดถือสติสัมปชัญญะในการประกอบความเพียรนั้น นำมาซึ่งความบันเทิงและความเลื่อมใส อันจำปรารถนาในที่ทั้งปวง การถือเอาห้องแห่งวิปัสสนาอันถึงความแก่กล้าแล้ว ชื่อว่าวิปัสสนาสมควรแก่กาลในการประกอบกรรมฐานนั้น เมื่อวิปัสสนาญาณกล้าแข็งดำเนินไปตามวิถี พ้นจากอุปกิเลสแล้วนำไปอยู่ ความปราโมทย์ยิ่งและความเลื่อมใสของพระโยคี ย่อมมีในที่ใกล้แห่งการบรรลุธรรมวิเศษ ด้วยความปราโมทย์และความเลื่อมใสนั้น.
               สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
                         ยโต ยโต สมฺมสติ    ขนฺธานํ อุทยพฺพยํ
                         ลภติ ปีติปาโมชฺชํ    อมตํ ตํ วิชานตํ
                         ปามุชฺชพหุโล ภิกฺขุ    ปสนฺโน พุทฺธสาสเน
                         อธิคจฺเฉ ปทํ สนฺตํ    สงฺขารูปสมํ สุขํ
                                   เมื่อใดบุคคลพิจารณาเห็นความเกิดและความเสื่อม
                         แห่งขันธ์ทั้งหลาย เมื่อนั้นผู้รู้แจ้งอมตธรรมนั้น ย่อมได้ปีติ
                         และปราโมทย์ ภิกษุผู้มากด้วยความปราโมทย์เลื่อมใสใน
                         พระพุทธศาสนา พึงบรรลุทางอันเป็นความสงบ อันเข้าไป
                         สงบสังขารนำความสุขมาให้ ดังนี้.

               บทว่า ชาครนฺตา สุณาเถตํ ความว่า เธอทั้งหลายตื่นอยู่ เพื่อตื่นจากความหลับคือความประมาท ความหลับคืออวิชชาโดยส่วนเดียวเท่านั้น คือประกอบความเพียรด้วยการขวนขวายธรรม มีสติสัมปชัญญะเป็นต้น จงฟังคำของเรานี้.
               บทว่า เย สุตฺตา เต ปพุชฺฌถ ความว่า เธอเหล่าใดเป็นผู้หลับ คือเข้าถึงความหลับ ด้วยการนอนหลับตามที่กล่าวแล้ว เธอเหล่านั้นจงยึดอินทรีย์ พละและโพชฌงค์ ด้วยการประกอบความเพียรแล ขวนขวายวิปัสสนา จงตื่นจากหลับนั้นด้วยการปฏิบัติความไม่ประมาทเถิด.
               อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ชาครนฺตา คือ เป็นนิมิตแห่งความเพียรเป็นเครื่องตื่น.
               บทว่า เอตํ ในบทว่า สุณาเถตํ นี้ ท่านกล่าวไว้แล้ว.
               ถามว่า คำนั้นคืออะไร.
               ตอบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วว่า เย สุตฺตา เต ปพุชฺฌถ เธอเหล่าใดหลับ เธอเหล่านั้นจงตื่น.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า เย สุตฺตา ได้แก่ เธอเหล่าใดหลับแล้วด้วยการนอนหลับคือกิเลส เธอเหล่านั้นจงตื่น ด้วยการตรัสรู้อริยมรรค. บทว่า สุตฺตา ชาคริยํ เสยฺโย นี้ เป็นคำกล่าวถึงเหตุแห่งการตรัสรู้ เพราะความเป็นผู้ตื่น คือการตื่นมีประการดังกล่าวแล้ว
               จากการหลับดังกล่าวแล้ว เป็นคุณประเสริฐ คือน่าสรรเสริญ นำประโยชน์สุขมาให้แก่กุลบุตรผู้ใคร่ประโยชน์ ฉะนั้น เธอทั้งหลายจงตื่น.
               บทว่า นตฺถิ ชาครโต ภยํ นี้แสดงถึงอานิสงส์ในความเป็นผู้ตื่นนั้น ด้วยว่าผู้ใดเป็นผู้ตื่น เพราะประกอบด้วยธรรมเป็นเครื่องตื่นมีศรัทธาเป็นต้น ย่อมตื่น คือไม่เข้าถึงการหลับคือความประมาท วัฏภัยแม้ทั้งหมด คืออัตตานุวาทภัย ปรานุวาทภัย ทัณฑภัย ทุคติภัย อันมีชาติเป็นต้นเป็นนิมิต ย่อมไม่มีแก่ผู้นั้น.
               บทว่า กาเลน ได้แก่ โดยกาลแห่งอาวาสสัปปายะอันตนได้แล้ว
               บทว่า โส เป็นเพียงนิบาต.
               บทว่า สมฺมา ธมฺมํ ปริวีมํสมาโน ความว่า พิจารณาโดยรอบ คือเห็นแจ้งโดยอาการทั้งปวงโดยประการที่ความเบื่อหน่ายและความคลายกำหนัดเป็นต้น ย่อมเกิดด้วยการรู้ธรรมอันเป็นไปในภูมิ ๓ อันเป็นอารมณ์แห่งวิปัสสนาโดยชอบ.
               บทว่า เอโกทิภูโต ได้แก่ ชื่อว่า เอโกทิ สมาธิ เพราะมีสมาธิอันเป็นธรรมเอก คือประเสริฐที่สุดผุดขึ้น. ชื่อว่า เอโกทิภูโต เพราะมีสมาธิอันเป็นธรรมเอกผุดขึ้น พึงเห็นคำอันเป็นบทแห่งภูตศัพท์ในบทนี้ ดุจบทแห่งศัพท์ว่า อคฺคิอาหิตาทิ ไฟถูกจุดแล้ว.
               อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า เอโกทิภูโต เพราะเป็นธรรมเอกผุดขึ้นคือถึงแล้ว ในบทว่า เอโกทิ นี้ ท่านประสงค์เอาสมาธิอันเลิศ. ก็ในบทว่า สมาหิโต นี้ได้แก่ วิปัสสนาสมาธิพร้อมด้วยสมาธิอันมีฌานเป็นบาท.
               อีกอย่างหนึ่ง บทว่า กาเลน คือโดยกาลแทงตลอดมรรค.
               บทว่า สมฺมา ธมฺมํ ปริวีมํสมาโน ได้แก่ พิจารณาจตุสัจจธรรมด้วยปริญญาภิสมัย (การตรัสรู้ด้วยการกำหนดรู้) เป็นต้นโดยชอบ คือตรัสรู้ด้วยเอกาภิสมัย (ตรัสรู้ธรรมเป็นเอก).
               บทว่า เอโกทิภูโต ได้แก่ ชื่อว่า เอโกทิ เพราะเป็นธรรมเอก คือประเสริฐ ไม่มีธรรมร่วมผุดขึ้น ทำกิจ ๔ ให้สำเร็จ คือตั้งไว้โดยชอบ ธรรมนั้นเป็นธรรมเอกผุดขึ้นแล้ว.
               บททั้งปวงเช่นกับบทก่อนนั่นเอง.
               บทว่า วิหเน ตมํ โส ได้แก่ พระอริยสาวกผู้เป็นอย่างนี้นั้นพึงกำจัด คือพึงตัดความมืดคืออวิชชา ด้วยอรหัตมรรคโดยไม่เหลือ.
               พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงความที่การปฏิบัติไม่เป็นโมฆะด้วยประการฉะนี้ บัดนี้ เมื่อทรงชี้ชวนให้มั่นคงในข้อนั้น จึงตรัสคาถาสุดท้ายว่า ตสฺมา หเว ดังนี้.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า ตสฺมา ความว่า เพราะการเจริญสมถะและวิปัสสนาของผู้ตื่นอยู่ ด้วยการไม่อยู่ปราศจากสติเป็นต้น ย่อมถึงความบริบูรณ์ อริยมรรคย่อมปรากฏโดยลำดับ จากนั้นวัฏภัยทั้งหมดย่อมไม่มีแก่ภิกษุนั้น.
               บทว่า หเว คือ มั่นคงโดยส่วนตัว.
               บทว่า ภเชถ แปลว่า พึงคบ. อธิบายว่า ภิกษุคบธรรมเป็นเครื่องตื่นอยู่อย่างนี้ และประกอบด้วยคุณมีความเป็นผู้มีความเพียรเป็นต้นทำลายสังโยชน์ พึงถูกต้อง คือพึงบรรลุสัมโพธิญาณอันยอดเยี่ยม ได้แก่ญาณอันเป็นผลเลิศ.
               บทที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.

               จบอรรถกถาชาคริยสูตรที่ ๑๐               
               -----------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ ทุกนิบาต ทุติยวรรค ชาคริยสูตร จบ.
อ่านอรรถกถา 25 / 1อ่านอรรถกถา 25 / 224อรรถกถา เล่มที่ 25 ข้อ 225อ่านอรรถกถา 25 / 226อ่านอรรถกถา 25 / 440
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=25&A=5316&Z=5340
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=27&A=4337
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=27&A=4337
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๑๖  มีนาคม  พ.ศ.  ๒๕๔๙
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :