บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] หน้าต่างที่ ๖ / ๙. ข้อความเบื้องต้น อัคคิทัตได้เป็นปุโรหิตถึง ๒ รัชกาล อัคคิทัตออกบวชนอกพระพุทธศาสนา เขากราบทูลให้พระราชาพระราชทานพระบรมราชานุญาตการบรรพชาแล้ว ให้คนตีกลองเที่ยวไปในพระนครแล้ว สละทรัพย์ของตนทั้งหมดในเพราะการให้ทานเป็นใหญ่ตลอด ๗ วันแล้ว บวชเป็นนักบวชภายนอก. บุรุษหมื่นหนึ่งอาศัยอัคคิทัตนั้น บวชตามแล้ว. อัคคิทัตนั้นพร้อมด้วยนักบวชเหล่านั้น สำเร็จการอยู่ในระหว่างแคว้นอังคะ แคว้นมคธะและแคว้นกุรุ (ต่อกัน) ให้โอวาทนี้ว่า "พ่อทั้งหลาย บรรดาเธอทั้งหลาย ผู้ใดมีกามวิตกเป็นต้นเกิดขึ้น ผู้นั้นจงขนหม้อทรายหม้อหนึ่งๆ จากแม่น้ำ (มา) เกลี่ยลง ณ ที่นี้." พวกนักบวชเหล่านั้นรับว่า "ดีละ" ในเวลากามวิตกเป็นต้นเกิดขึ้นแล้ว ก็ทำอย่างนั้น. โดยสมัยอื่นอีก ได้มีกองทรายใหญ่แล้ว. นาคราชชื่อ อหิฉัตตะ หวงแหนกองทรายใหญ่นั้น. ชาวอังคะ มคธะ และชาวแคว้นกุรุ นำเครื่องสักการะเป็นอันมากไป ถวายทานแก่พวกนักบวชเหล่านั้นทุกๆ เดือน. อัคคิทัตสอนประชาชนให้ถึงสรณะ พระมหาโมคคัลลานะไปทรมานอัคคิทัต ในตอนเย็น ตรัสกะพระมหาโมคคัลลานเถระว่า "โมคคัลลานะ เธอเห็นอัคคิทัตพราหมณ์ผู้ยังมหาชนให้แล่นไปโดยทางไม่ใช่ท่าไหม? เธอจงไปให้โอวาท พระเถระ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ชนเหล่านั้นเป็นอันมาก ข้าพระองค์ผู้เดียวพึงข่มขี่ไม่ได้, ถ้าแม้พระองค์จักเสด็จมาไซร้ ชนเหล่านั้นจักเป็นอันพึงข่มขี่ได้. พระศาสดา. โมคคัลลานะ แม้เราก็จักมา, เธอจงล่วงหน้าไปก่อน. พระเถระกำลังเดินไปเทียว พลางคิดว่า "ชนเหล่านั้นทั้งมีกำลัง ทั้งมีมาก ถ้าเราจักพูดอะไรๆ ในที่ประชุมของชนทั้งปวงไซร้, ชนแม้ทั้งหมดพึงลุกขึ้น โดยความเป็นพวกๆ กัน" ยังฝนมีเม็ดหยาบให้ตกลงแล้ว ด้วยอานุภาพของตน. ชนเหล่านั้น เมื่อฝนมีเม็ดหยาบตกอยู่ ต่างก็ลุกขึ้นแล้วๆ เข้าไปยังบรรณศาลาของตนๆ. พระเถระยืนอยู่ที่ประตูบรรณาศาลาของอัคคิทัตกล่าวว่า อัคคิทัต. เขาได้ยินเสียงของพระเถระแล้ว กล่าวว่า "นั่นเป็นใคร?" เพราะความเป็นผู้กระด้างเพราะมานะว่า "ในโลกนี้ใครๆ ชื่อว่าผู้สามารถเรียกเราโดย (ออก) ชื่อ ไม่มี, ใครหนอแล? เรียกเราโดย (ออก) ชื่อ." พระเถระ. ข้าพเจ้า พราหมณ์. อัคคิทัต. ท่านพูดอะไร? พระเถระ. ขอท่านจงบอกสถานที่พักอยู่ในที่นี้แก่ข้าพเจ้าสิ้นคืนหนึ่ง ในวันนี้. อัคคิทัต. สถานที่พักอยู่ในที่นี้ ไม่มี, บรรณาศาลาหลังหนึ่งก็สำหรับคนหนึ่งเท่านั้น. พระเถระ. อัคคิทัต ธรรมดาพวกมนุษย์ ย่อมไปสู่สำนักของพวกมนุษย์, พวกโคก็ไปสู่สำนักของโค พวกบรรพชิตก็ไปสู่สำนักของพวกบรรพชิต, ท่านอย่าทำอย่างนั้น ขอจงให้ที่พักอยู่แก่ข้าพเจ้า. อัคคิทัต. ก็ท่านเป็นบรรพชิตหรือ? พระเถระ. เออ ข้าพเจ้าเป็นบรรพชิต. อัคคิทัต. ถ้าท่านเป็นบรรพชิตไซร้ สิ่งของคือสาแหรกบริขารแห่งบรรพชิต ของท่านอยู่ไหน? พระเถระ. บริขารของข้าพเจ้ามีอยู่ ข้าพเจ้าคิดเห็นว่า ก็การถือบริขารนั้นเป็นแผนก เที่ยวไป ลำบาก ดังนี้แล้ว จึงถือบริขารนั้นไว้ โดยภายในนั่นแลเที่ยวไป พราหมณ์." พราหมณ์นั้นโกรธพระเถระว่า "ท่านจักถือบริขารนั้นเที่ยวไปหรือ?" ลำดับนั้น พระเถระจึงพูดกะเขาว่า "(จงหลีกไป) อัคคิทัต ท่านอย่าโกรธ (ข้าพเจ้า), จงบอกสถานที่พักอยู่แก่ข้าพเจ้า." อัคคิทัต. สถานที่พักอยู่ที่นี้ไม่มี. พระเถระ. ก็ใคร? อยู่บนกองทรายนั่น. อัคคิทัต. นาคราชตัวหนึ่ง. พระเถระ. ท่านจงให้ที่นั่นแก่ข้าพเจ้า. อัคคิทัต. ข้าพเจ้าไม่อาจให้ได้, กรรมของนาคราชนั่นร้ายกาจ. พระเถระ. ช่างเถอะ ขอท่านจงให้แก่เราเถิด. อัคคิทัต. ถ้าเช่นนั้น ท่านจงรู้เองเถิด. พระเถระผจญกับนาคราช พระเถระคิดว่า "นาคราชนี้เห็นจะเข้าใจว่า เราเท่านั้นอาจบังหวนควันได้, พวกอื่นย่อมไม่อาจ" ดังนี้แล้ว บังหวนควันแม้เอง. ควันทั้งหลายพุ่งออกจากสรีระแห่งนาคราชและพระเถระ แม้ทั้งสองฝ่าย ตั้งขึ้นจนถึงพรหมโลก. ควันทั้งสองฝ่ายไม่เบียดเบียนพระเถระ เบียดเบียนแต่นาคราชฝ่ายเดียว. นาคราชไม่อาจอดทนกำลังแห่งควันได้ จึงให้ลุกโพลง (เป็นไฟ). ฝ่ายพระเถระเข้าสมาบัติมีเตโชธาตุเป็นอารมณ์แล้ว ให้ลุกโพลง (เป็นไฟ) พร้อมกับนาคราชนั้นเหมือนกัน. เปลวไฟพุ่งขึ้นไปจนถึงพรหมโลก. เปลวไฟแม้ทั้งสองฝ่ายไม่เบียดเบียนพระเถระ เบียดเบียนแต่นาคราชฝ่ายเดียว. นาคราชแพ้พระเถระ พระเถระทรมานนาคราชทำให้หมดพยศแล้ว นั่งบนกองทราย. นาค หมู่ฤษีไปยังสำนักของพระเถระ แต่เช้าตรู่ ด้วยคิดว่า "พวกเราจักรู้ความที่สมณะตายแล้วหรือยังไม่ตาย" เห็นท่านนั่งอยู่ พระเถระ. ท่านทั้งหลายไม่เห็นนาคราชแผ่พังพานดำรงอยู่เบื้องบนแห่งเราหรือ? ฤษีเหล่านั้นพูดกันว่า "น่าอัศจรรย์หนอ! ท่านผู้เจริญ, อานุภาพแห่งสมณะ ชื่อเห็นปานนี้, พระสมณะนี้ทรมานนาคราชได้แล้ว" ได้ยืนล้อมพระเถระอยู่แล้ว. ในขณะนั้น พระศาสดาเสด็จมาแล้ว. พระเถระเห็นพระศาสดาแล้ว ลุกขึ้นถวายบังคม. ลำดับนั้น ฤษีทั้งหลายพูดกะพระเถระนั้นว่า "สมณะนี้ เป็นใหญ่แม้กว่าท่านหรือ?" พระเถระ. พระผู้มีพระภาคเจ้านั่นเป็นพระศาสดา, ข้าพเจ้าเป็นสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้านี้. พวกฤษีชมเชยพระศาสดา พระศาสดาตรัสเรียกอัคคิทัตมาแล้ว ตรัสว่า "อัคคิทัต ท่านเมื่อให้โอวาทแก่สาวกและอุปัฏฐากทั้งหลายของท่าน ย่อมกล่าวว่า อย่างไร? ให้." อัคคิทัต. ข้าพระองค์ให้โอวาทแก่สาวกและอุปัฏฐากเหล่านั้น อย่างนี้ว่า ท่าน สรณะที่เกษมและไม่เกษม ดังนี้แล้ว ได้ทรงภาษิตพระคาถาเหล่านี้ว่า :-
แก้อรรถ บทว่า ปพฺพตานิ เป็นต้น ความว่า มนุษย์เหล่านั้นๆ อันภัยนั้นๆ คุกคามแล้ว อยากพ้นจากภัย หรือปรารถนาลาภทั้งหลาย มีการได้บุตรเป็นต้น ย่อมถึงภูเขา มีภูเขาชื่ออิสิคิลิ เวปุลละและเวภาระเป็นต้น ป่าทั้งหลาย มีป่ามหาวัน ป่าโคสิงคสาลวันเป็นต้น อารามทั้งหลาย มีเวฬุวันและชีวกัมพวันเป็นต้น และรุกขเจดีย์ทั้งหลาย มีอุเทนเจดีย์และโคตมเจดีย์เป็นต้นในที่นั้นๆ ว่าเป็นที่พึ่ง. สองบทว่า เนตํ สรณํ ความว่า ก็สรณะแม้ทั้งหมดนั่นไม่เกษม ไม่อุดม ด้วยว่าบรรดาสัตว์ทั้งหลายผู้มีความเกิดเป็นต้น เป็นธรรมดา แม้ผู้หนึ่ง อาศัยสรณะนั่น ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ทั้งปวง มีชาติเป็นต้นได้. คำว่า โย จ เป็นต้นนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงสรณะอันไม่เกษม ไม่อุดมแล้ว ปรารภไว้เพื่อจะทรงแสดงสรณะอันเกษม อันอุดม. เนื้อความแห่งคำว่า โย จ เป็นต้นนั้น (ดังต่อไปนี้) :- ส่วนบุคคลใดเป็นคฤหัสถ์ก็ตาม เป็นบรรพชิตก็ตาม อาศัยกัมมัฏฐาน คือการตามระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นต้นว่า "แม้เพราะอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต การถึงสรณะนั้นของบุคคลแม้นั้น ยังกำเริบ ยังหวั่นไหว ด้วยกิจทั้งหลายมีการไหว้อัญเดียรถีย์เป็นต้น, แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อจะทรงแสดงความที่การถึงสรณะนั้นไม่หวั่นไหว เมื่อจะทรงประกาศสรณะอันมาแล้วโดยมรรคนั่นแล จึงตรัสว่า ย่อมเห็นอริยสัจ ๔ ด้วยปัญญาชอบ. ด้วยว่าบุคคลใดถึงรัตนะทั้งหลาย มีพระพุทธรัตนะเป็นต้นนั่นว่า เป็นที่พึ่ง ด้วยสามารถแห่งการเห็นสัจจะเหล่านั้น, สรณะนั้นของบุคคลนั้นเกษมและอุดม และบุคคลนั้นอาศัยสรณะนั่น ย่อมพ้นจากทุกข์ในวัฏฏะแม้ทั้งสิ้นได้ เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า "เอตํ โข สรณํ เขมํ" เป็นต้น. ในกาลจบเทศนา ฤษีเหล่านั้นแม้ทั้งหมด บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วย พระศาสดาทรงเหยียดพระหัตถ์ออกจากกลีบจีวร ตรัสว่า "ท่านทั้งหลายจงเป็นภิกษุมาเถิด จงประพฤติพรหมจรรย์." ชาวเมืองเข้าใจว่าอัคคิทัตใหญ่กว่าพระศาสดา อัคคิทัตตัดความสงสัยของชาวเมือง เรื่องปุโรหิตชื่ออัคคิทัต จบ. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท พุทธวรรคที่ ๑๔ |