บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
บทว่า ยสฺส กสฺสจิ เป็นคำกล่าวถึงบุคคลที่ไม่ได้กำหนดแน่นอน เพราะฉะนั้น อันบุคคลผู้ใดบุคคลหนึ่งจะเป็นคฤหัสถ์ก็ตาม บรรพชิตก็ตาม. บทว่า ราโค อปฺปหีโน ความว่า กิเลสชื่อว่าราคะ เพราะอรรถว่ากำหนัดอันผู้ใดผู้หนึ่งยังละไม่ได้แล้ว ด้วยสามารถแห่งการตัดขาด (สมุจเฉทปหาน) คือไม่ให้ถึงการไม่ให้เกิดขึ้นเป็นธรรมดาด้วยมรรค แม้ในโทสะและโมหะทั้งหลายก็มีนัยนี้เหมือนกัน บรรดากิเลสเหล่านั้น ราคะโทสะโมหะที่จะให้ไปอบายจะละได้ด้วยปฐมมรรค. กามราคะอย่างหยาบและโทสะอย่างหยาบ จะละได้ด้วยทุติยมรรค. กามราคะและโทสะเหล่านั้นแหละจะละไม่มีเหลือเลย ได้ด้วยตติยมรรค. ภวราคะและโมหะที่เหลือ จะละได้ด้วยมรรคที่ ๔ เมื่อละกิเลสเหล่านี้ได้อย่างนี้ กิเลสแม้ทั้งหมดก็ย่อมละได้เหมือนกัน เพราะตั้งอยู่ในที่เดียวกันกับกิเลสเหล่านั้น. ราคะเป็นต้นเหล่านี้ตามที่พรรณนามานี้ ผู้ใดผู้หนึ่งจะเป็นภิกษุก็ตาม ภิกษุณีก็ตาม อุบาสกก็ตาม อุบาสิกาก็ตาม ยังละไม่ได้แล้วด้วยมรรค. บทว่า พนฺโธ มารสฺส ความว่า บุคคลนี้ เราตถาคตเรียกว่าถูกมารคือกิเลสผูกไว้แล้ว และเขาถูกกิเลสมารผูกไว้แล้วด้วยบ่วงอันเลิศใด ก็เป็นอันถูกแม้อภิสังขารมารเป็นต้นผูกไว้แล้ว ด้วยบ่วงอันเลิศนั้นเหมือนกัน. บทว่า ปฏิมุกฺกสฺส มารปาโส ความว่า กิเลสกล่าวคือบ่วงแห่งมาร เป็นอันเขาคือบุคคลนี้ผู้ยังละกิเลสไม่ได้สวมไว้แล้ว เพราะยังละกิเลสไม่ได้นั้นนั่นเอง. อธิบายว่า คล้องไว้แล้ว คือสอดเข้าไปแล้ว ในจิตสันดานของตน ได้แก่ถูกมารนั้นบังคับให้ผูกเอง. อีกอย่างหนึ่ง บ่วงมารพึงเป็นของที่เขาสวมแล้ว. พึงทราบอธิบายในธรรมฝ่ายขาวต่อไปนี้. บทว่า โอมุกกสฺส ความว่า บ่วงมารนั้น พึงเป็นของอันเขาเปลื้อง คือแก้แล้ว ได้แก่ตั้งอยู่ไม่ได้. คำที่เหลือพึงทราบตามบรรยายที่ตรงข้ามจากที่กล่าวมาแล้ว. ในพระสูตรนี้ คาถามีมาแล้วด้วยสามารถแห่งธรรมที่เป็นฝ่ายขาวเท่านั้น ในพระคาถานั้นมีความสังเขปดังต่อไปนี้. พระอริยะทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น กล่าวถึงพระอริยบุคคลผู้สำรอกราคะ โทสะและอวิชชาออกแล้ว คือให้ดับไปแล้วด้วยมรรคอันเลิศ (อรหัตผล) ผู้มีกายอันอบรมแล้วว่าเป็นผู้ประเสริฐ คือเป็นพระพรหม หรือเป็นผู้ประเสริฐสุด คือบรรลุพระอรหัตแล้วองค์ใดองค์หนึ่ง คือองค์หนึ่งภายในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลายผู้ชื่อว่าอบรมตนแล้ว เพราะมีศีล สมาธิและปัญญา พระขีณาสพอื่นๆ เป็นผู้ประกอบ อีกอย่างหนึ่ง ท่านเหล่านั้นแทงตลอดลักษณะที่แท้จริงแห่งขันธ์เป็นต้นตามความเป็นจริง ท่านเหล่านั้นรู้ยิ่งแล้วซึ่งทุกข์เป็นต้นอันเป็นธรรมที่แท้จริงโดยไม่ผิดพลาด และท่านเหล่านั้นเห็นอารมณ์ทั้งหลายมีรูปเป็นต้นด้วยสามารถเพียงเห็นเท่านั้น. อีกอย่างหนึ่ง พระอริยบุคคล ๘ จำพวกเหล่านี้มีวาจาเป็นไปแล้วด้วยสามารถแห่งอริยโวหารอย่างเดียว โดยเว้นโวหารที่ไม่ใช่ของพระอริยะ มีกายเป็นไปแล้วเหมาะสมแก่วาจา และมีวาจาเป็นไปแล้วเหมาะสมแก่กายฉันใด พระอริยะทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้นกล่าว คือเรียก ได้แก่สรรเสริญบุคคลนั้นผู้ไปแล้วอย่างนั้นว่า ท่านผู้นี้เป็นพระอริยบุคคล ผู้ชื่อว่ารู้แล้ว เพราะรู้อริยสัจ ๔. ผู้ก้าวล่วงบุคคลเวร (เวรเกิดจากบุคคล) กิเลสเวร (เวรเกิดจากกิเลส) และภัยมีการติเตียนตนเป็นต้น ชื่อว่าเป็นผู้ล่วงพ้นเวรภัย. ผู้ชื่อว่าละกิเลสทุกอย่างได้ เพราะละกิเลสและอภิสังขารเป็นต้นทั้งมวลได้ ฉันนั้น. จบอรรถกถาปฐมราคสูตรที่ ๙ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ ติกนิบาต ทุติยวรรค ราคสูตรที่ ๑ จบ. |