บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
บทว่า ภิทุรายํ ตัดบทเป็น ภิทุโร อยํ บทว่า กาโย ได้แก่ รูปกาย. ก็รูปกายนั้น ชื่อว่ากาย เพราะอรรถว่า เป็นที่ประชุมแห่งอวัยวะน้อยใหญ่ทั้งหลาย มีผมเป็นต้นด้วย และชื่อว่ากาย เพราะมีวิเคราะห์ว่าเป็นอายะ คือเป็นแหล่งเกิดแห่งของน่าเกลียดน่าชังทั้งหลายอย่างนี้บ้าง. ในคำว่า กาย นั้น มีอรรถพจน์ดังต่อไปนี้. อาการชื่อว่า อาโย เพราะเป็นที่มา. ถามว่า อะไรมา. ตอบว่า สิ่งที่น่าเกลียดมีผมเป็นต้นมา. ดังนั้น อาการชื่อว่ากาย เพราะเป็นที่มาแห่งของน่าเกลียดทั้งหลาย ดังนี้บ้าง. แต่โดยใจความแล้ว ได้แก่กองแห่งธรรมทั้งหลาย คือภูตรูปและอุปาทายรูปที่เป็นไปอยู่ด้วยอำนาจแห่งสันตติ ๔ อย่าง. มีพุทธาธิบายดังนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รูปกายที่สำเร็จด้วยมหาภูตทั้ง ๔ นี้ มีการแตกดับ มีการแตกสลายไปเป็นสภาพ มีการกระจัดกระจายไปทุกขณะเป็นสภาพ. ปาฐะว่า ภิทุรายํ ดังนี้ก็มีเนื้อความก็อย่างนั้นนั่นแหละ. บทว่า วิญฺญาณํ ได้แก่ กุศลจิตเป็นต้นที่เป็นไปในภูติ ๓ ส่วนอรรถพจน์มีดังต่อไปนี้. จิตชื่อว่า วิญฺญาณ เพราะรู้ชัดซึ่งอารมณ์นั้นๆ เพราะว่าการแยกความรู้สึกออกจากความจำได้ คือการรู้ชัดอารมณ์ ได้แก่ญาณ (อุปลัทธิ) ชื่อว่าวิญญาณ. บทว่า วิราคธมฺมํ คือ มีการเสื่อมคลายเป็นธรรมดา อธิบายว่า มีการแตกดับไปเป็นธรรมดา. บทว่า สพฺเพ อุปธีติ ความว่า อุปธิเหล่านี้คือ อุปธิคือขันธ์ อุปธิคือกิเลส อุปธิคืออภิสังขาร (กรรม) อุปธิคือเบญจกามคุณ ที่หมายรู้กันว่าอุปธิ เพราะอรรถว่าเป็นที่เข้าไปทรงทุกข์ไว้ แม้ทั้งหมดได้แก่อุปาทานขันธ์ กิเลสเป็นอภิสังขารเป็นเบญจกามคุณ ชื่อว่าไม่เที่ยง เพราะอรรถว่ามี ด้วยประการดังที่พรรณนามานี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงวาระแห่งการพิจารณา (สัมมัสสนญาณ) ตามอัธยาศัยแห่งบุคคลผู้รู้อย่างนั้น โดยมุข คือ อนิจจานุปัสสนา และทุกขาวิปัสสนา ทรงแยกรูปธรรมและวิญญาณออกจากกัน แล้วทรงรวมธรรมอันเป็นไปในภูมิ ๓ แม้ทั้งหมดเข้าเป็นอันเดียวกัน โดยทรงจำแนกออกเป็นอุปธิอีก เพราะบรรดาลักษณะทั้ง ๓ นี้ อนิจจลักษณะเห็นได้ง่าย. ก็ในบรรดาลักษณะทั้ง ๓ นี้ ลักษณะ ๒ อย่างเท่านั้น มีมาในพระบาลี ก็จริง ถึงกระนั้นโดยพระบาลีว่า สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา.๑- พึงเข้าใจว่า แม้อนัตตลักษณะ พระองค์ก็ทรงแสดงไว้แล้ว เหมือนกันด้วยทุกขลักษณะนั่นเอง. ____________________________ ๑- สํ. ข. เล่ม ๑๗/ข้อ ๔๒ พึงทราบวินิจฉัยในพระคาถาดังต่อไปนี้. บทว่า อุปธีสุ ภยํ ทิสฺวา ความว่า เห็นภัยในอุปธิทั้ง ๓ ด้วย บทว่า ชาติมรณมจฺจคา ความว่า ภิกษุพิจารณาอย่างนี้อยู่ จะสืบต่อวิปัสสนาญาณด้วยมรรค แล้วจะบรรลุอรหัตผล ต่อจากมรรคนั้นไป ย่อมชื่อว่าเป็นผู้ล่วงพ้นชาติ และมรณะได้ล่วงพ้นได้อย่างไร? บทว่า สมฺปตฺวา ปรมํ สนฺตึ ความว่า เพราะบรรลุสันติธรรมอันยอดยิ่ง คือสูงสุด ได้แก่ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า คือพระนิพพานอันเป็นที่ระงับสังขารทั้งมวล และภิกษุนั้นเป็นอย่างนี้. บทว่า กาลํ กงฺขติ ภาวิตตฺโต ความว่า ภิกษุชื่อว่ามีตนอบรมแล้ว เพราะความเป็นผู้ ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เราตถาคตไม่คำนึงถึงความตาย ไม่คำนึงถึงชีวิต มุ่งแต่กาลกิริยา (ขันธปรินิพพาน) อย่างเดียว เหมือนลูกจ้างมุ่งแต่ค่าจ้างเท่านั้น ดังนี้.๒- ____________________________ ๒- ขุ. เถร. เล่ม ๒๖/ข้อ ๓๗๗ จบอรรถกถาภินทนสูตรที่ ๘ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ ติกนิบาต ตติยวรรค ภินทนสูตร จบ. |