ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 25 / 1อ่านอรรถกถา 25 / 278อรรถกถา เล่มที่ 25 ข้อ 279อ่านอรรถกถา 25 / 280อ่านอรรถกถา 25 / 440
อรรถกถา ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ ติกนิบาต
ปัญจมวรรค ธรรมสูตร

               อรรถกถาธรรมสูตร               
               ในธรรมสูตรที่ ๑๐ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
               บทว่า ธมฺเมน ได้แก่ ญายธรรม คือโดยเหตุ โดยการณ์ กล่าวคือสัมมาปฏิบัติ. อธิบายว่า ภิกษุย่อมเป็นผู้มีวิชชา ๓ ด้วยปฏิปทาใด ปฏิปทานั้นพึงทราบว่า ธรรมในอธิการนี้.
               ก็ปฏิปทานั้น คืออะไร? คือ จรณสัมปทา ๑ วิชชาสัมปทา ๑.
               บทว่า เตวิชฺชํ ความว่า ประกอบแล้วด้วยวิชชา ๓ มีบุพเพนิวาสานุสติญาณ เป็นต้น.
               บทว่า พฺราหฺมณํ ได้แก่ พราหมณ์ผู้ลอยบาปแล้ว.
               บทว่า ปญฺญาเปมิ ความว่า ให้รู้ทั่ว คือแต่งตั้งให้เป็นพราหมณ์.
               บทว่า นาญฺญํ ลปิตลาปนมตฺเตน ความว่า เราตถาคตไม่บัญญัติคนอื่น คือผู้เป็นพราหมณ์เพียงโดยกำเนิดว่าเป็นพราหมณ์ โดยเหตุเพียงการกล่าวตามที่อัฏฐกฤาษีเป็นต้นเรียกขานแล้ว.
               อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ลปิตลาปนมตฺเตน ความว่า ด้วยเหตุเพียงเล่าเรียน หรือให้เล่าเรียนมนต์ทั้งหลาย ก็พราหมณ์ทั้งหลายเรียกขานผู้ใดที่มีวิชชา ๓ เพราะการเล่าเรียนหมวด ๓ แห่งพระเวทมีสามเวทเป็นต้นว่าเป็นพราหมณ์ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงคัดค้านคำของพราหมณ์นั้น.
               แท้จริงโดยปรมัตถ์แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารภเทศนานี้ไว้ ตามอัธยาศัยของผู้ที่จะตรัสรู้อย่างนั้น เพื่อจะทรงแสดงว่า ก็พราหมณโภวาทีเหล่านี้ผู้อันอวิชชาหุ้มห่อแล้ว เรียกขานพราหมณ์ผู้ไม่มีวิชชา ๓ เลยว่าเป็นพราหมณ์ผู้มีวิชชา ๓ แต่ผู้มีวิชชาตามที่กล่าวมานี้ จึงจะชื่อว่าเป็นพราหมณ์.
               ในอธิการนั้น พึงทราบวินิจฉัยดังนี้.
               เพราะผู้ที่ถึงพร้อมด้วยวิชชา ย่อมเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยจรณะโดยแท้ เพราะเว้นจรณสมบัติเสียแล้ว จะมีวิชชาสมบัติไม่ได้ ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระประสงค์จะทรงบัญญัติพราหมณ์ โดยหัวข้อ คือวิชชาเท่านั้น กระทำจรณสมบัติให้หยั่งลงสู่ภายใน ทรงตั้งหัวข้อเทศนาไว้ว่า ธมฺเมนาหํ ภิกฺขเว เตวิชฺชํ พฺราหฺมณํ ปญฺญาเปมิ (ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมบัญญัติบุคคลผู้ได้วิชชา ๓ ว่าเป็นพราหมณ์โดยธรรม) ดังนี้ แล้วทำเป็นกเถตุกัมยตาปุจฉาว่า กถญฺจาหํ ภิกฺขเว ธมฺเมน เตวิชฺชํ พฺราหฺมณํ ปญฺญาเปมิ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เราตถาคตบัญญัติผู้ได้วิชชา ๓ ว่าเป็นพราหมณ์โดยธรรมอย่างไร ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงจำแนกหมวด ๓ แห่งวิชชาโดยเทศนาที่เป็นบุคลาธิษฐาน จึงตรัสคำมีอาทิว่า อิธ ภิกฺขเว ภิกฺขุ ดังนี้.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อเนกวิหิตํ ความว่า มีอย่างมิใช่น้อยหรือเป็นไปแล้ว คือพรรณนาแล้วโดยอเนกประการ.
               บทว่า ปุพฺเพนิวาสํ ได้แก่ ขันธสันดานที่ตนเคยอยู่อาศัยแล้วในภพนั้นๆ เริ่มต้นแต่ภพที่เป็นอดีตอันหาระหว่างคั่นไม่ได้.
               บทว่า นิวุฏฺฐํ ความว่า อันตนเคยอยู่อาศัยแล้ว คือเป็นมาแล้วตามลำดับ ได้แก่ขันธ์ที่เกิดแล้วดับไปในสันดานของตน.
               อีกอย่างหนึ่ง ได้แก่ ขันธ์มีการอยู่อาศัยแล้วเป็นธรรมดา คือว่าขันธ์ที่ตนเคยอาศัยแล้ว โดยโคจรเป็นที่อยู่อาศัย ได้แก่ขันธ์ที่รู้แล้วด้วยวิญญาณของตน หรือที่รู้แล้วด้วยวิญญาณของผู้อื่น ในเพราะการระลึกถึงการหมุนเวียนที่ขาดไปแล้วเป็นต้น.
               บทว่า อนุสฺสรติ ความว่า ตามระลึกโดยลำดับชาติอย่างนี้ว่า ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง หรือได้แก่ระลึกถึงเนืองๆ คือเมื่อจิตโน้มไปแล้ว ย่อมระลึกในลำดับแห่งบริกรรม.
               ศัพท์ว่า เสยฺยถีทํ เป็นนิบาตใช้ในอรรถที่แสดงถึงอาการที่ปรารภแล้ว.
               ด้วยบทว่า เสยฺยถีทํ นั้นแหละ พระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อจะทรงแสดงอาการแห่งบุพเพนิวาสญาณนี้ที่ชื่อว่าเป็นอันพระโยคาวจรปรารภแล้ว จึงตรัสคำมีอาทิว่า เอกํปิ ชาตึ ดังนี้.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอกํปิ ชาตึ ได้แก่ ขันธสันดานแม้อันหนึ่ง ซึ่งมีปฏิสนธิเป็นมูล มีจุติเป็นปริโยสาน นับเนื่องแล้วในภพหนึ่ง แม้ในบทว่า เทฺวปิ ชาติโย เป็นต้น ก็มีนัยนี้.
               และพึงทราบวินิจฉัยในบทว่า อเนเกปิ สํวฏฺฏกปฺเป ดังต่อไปนี้
               กัปที่เสื่อมชื่อว่าสังวัฏฏกัป กัปที่เจริญชื่อว่าวิวัฏฏกัป.
               ในกัปทั้ง ๒ อย่างนั้น สังวัฏฏัฏฐายีกัปทรงถือเอาแล้วด้วย สังวัฏฏกัปและวิวัฏฏัฏฐายีกัปทรงถือเอาแล้วด้วยวิวัฏฏกัป เพราะมีสังวัฏฏกัปนั้นเป็นมูล.
               ก็เมื่อเป็นเช่นนี้ อสังไขยกัป ๔ เหล่านั้นใดที่ตรัสไว้ว่า
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อสงไขยกัปเหล่านี้มี ๔ อย่าง.๑-
               ๔ อย่างคืออะไรบ้าง? คือ สังวัฏฏกัป (ระยะกาลที่จักรวาลเริ่มถูกทำลายด้วยไฟ น้ำ หรือลม ทุกสิ่งในจักรวาลสลายไปสู่ธาตุเดิม ย่อยไปไม่มีเหลือ) ๑ สังวัฏฏัฏฐายีกัป (ระยะกาลที่ไม่มีอะไร ไปจนถึงเริ่มกำเนิดของและสิ่งต่างๆ) ๑ วิวัฏฏกัป (ระยะกาลเริ่มก่อตัวขึ้นใหม่ ของสิ่งทั้งหลาย จนถึงทุกสิ่งในจักรวาลเจริญเต็มที่) ๑ วิวัฏฏัฏฐายีกัป (ระยะกาลที่จักรวาลสมบูรณ์จนถึงเริ่มเสื่อมสลายอีก) ๑.
               อสังไขยกัปเหล่านั้น ย่อมเป็นอันพระองค์ทรงกำหนดถือเอาแล้ว.
๑- องฺ. จตุกฺก. เล่ม ๒๑/ข้อ ๑๕๖

               ในอสังไขยกัป ๔ อย่างเหล่านั้น สังวัฏฏกัปมี ๓ คือ เตโชสังวัฏฏกัป ๑ อาโปสังวัฏฏกัป ๑ วาโยสังวัฏฏกัป ๑.
               เขตแห่งสังวัฏฏกัปมี ๓ คือ ชั้นอาภัสสรพรหม ๑ สุภกิณหพรหม ๑ เวหัปผลพรหม ๑. เวลาที่กัปพินาศด้วยไฟ ไฟไหม้ต่ำกว่าชั้นอาภัสสรพรหม. เวลาที่กัปพินาศด้วยน้ำ ย่อมทำลายต่ำกว่าชั้นสุภกิณหพรหม. เวลาที่กัปพินาศด้วยลม ลมพัดทำลายต่ำกว่าชั้นเวหัปผลพรหม. แต่ว่าโดยพิสดารแล้ว แสนแห่งจักรวาล ย่อมพินาศร่วมกันหมด.
               ภิกษุเห็นปานนี้ นี้ เมื่อระลึกถึงขันธ์ที่ตนเคยอยู่อาศัยมาก่อน ดังพรรณนามานี้ ย่อมระลึกได้หลายสังวัฏฏกัปบ้าง หลายวิวัฏฏกัปบ้าง หลายสังวัฏฏวิวัฏฏกัปบ้าง.
               ระลึกได้อย่างไร?
               ระลึกได้โดยนัยมีอาทิว่า อมุตราสึ ดังนี้.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อมุตราสึ ความว่า เราได้ (เกิด) มีแล้ว ในสังวัฏฏกัปโน้น หรือในภพโน้น หรือในกำเนิดโน้น หรือในคติโน้น หรือในวิญญาณฐิติโน้น หรือในสัตตาวาสโน้น หรือในสัตตนิกายโน้น.
               บทว่า เอวํ นาโม ความว่า เรามีชื่อว่า ติสสะ หรือมีชื่อว่าปุสสะ.
               บทว่า เอวํ โคตฺโต ความว่า เราเป็นโคตมโคตรหรือ เราเป็นกัสสปโคตร.
               บทว่า เอวํ วณฺโณ ความว่า เรามีสีขาว หรือมีสีคล้ำ.
               บทว่า เอวมาหาโร ความว่า เรามีข้าวสุกแห่งข้าวสาลี และเนื้อเป็นอาหาร หรือบริโภคผลไม้ที่เป็นไปแล้ว.
               บทว่า เอวสุขทุกฺขปฏิสํเวที ความว่า หรือเราเสวยสุขและทุกข์ ต่างโดยเป็นสามิสสุขและนิรามิสสุขเป็นต้น อันเป็นไปทางกาย และทางใจ มีประการมิใช่น้อย.
               บทว่า เอวมายุปริยนฺโต ความว่า เรามีอายุประมาณ ๑๐๐ ปีเป็นกำหนด หรือมีอายุประมาณ ๘๔ แสนกัปเป็นกำหนด.
               บทว่า โส ตโต จุโต อมุตฺร อุทปาทึ ความว่า เรานั้นครั้นจุติจากภพ จากกำเนิด จากคติ จากวิญญาณฐิติ จากสัตตาวาส หรือจากสัตตนิกายนั้นๆ แล้ว มาเกิดในภพ ในกำเนิด ในคติ ในวิญญาณฐิติ ในสัตตาวาส หรือในสัตตนิกายชื่อโน้น.
               บทว่า ตฺตราปาสึ ความว่า หรือว่าเราเป็นเช่นนั้นมาแล้ว ได้กลับมามีในภพ ในกำเนิด ในคติ ในวิญญาณฐิติ ในสัตตาวาส หรือในสัตตนิกายแม้นั้นอีก.
               บทว่า เอวนฺนาโม เป็นต้น มีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแหละ.
               อีกอย่างหนึ่ง เพราะคำว่า เราได้มีแล้วในภพโน้น นี้เป็นการระลึกถึงตามสมควรแก่อภินิหารตามกำลังของตน ของพระโยคาวจรผู้พิจารณาเจริญขึ้นไปโดยลำดับ.
               คำว่า เรานั้นจุติจากภพนั้นแล้วนี้ เป็นการพิจารณาของพระโยคาวจรผู้พิจารณาย้อนหลัง ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อมุตร อุทปาทึ (เราได้เกิดในภพโน้น) ในลำดับแห่งการบังเกิดในภพนี้ นี้ว่า อิธูปปนโน (เราเกิดแล้วในภพนี้).
               บทว่า ตฺตราปาสึ ความว่า เราได้ (เกิด) มีแล้วในภพ ฯลฯ หรือในสัตตนิกายแม้นั้น.
               บทว่า เอวํ นาโม ความว่า เราชื่อทัตตะ หรือชื่อมิตตะ.
               บทว่า เอวํ โคตฺโต ความว่า เราเป็นวาสิฏฐโคตร หรือกัสสปโคตร.
               บทว่า เอวํ วณฺโณ ความว่า เรามีสีดำหรือสีขาว.
               บทว่า เอวมาหาโร ความว่า เรามีอาหารบริสุทธิ์ หรือมีข้าวสุกแห่งข้าวสาลีเป็นต้น เป็นอาหาร.
               บทว่า เอวํสุขทุกขปฏิสํเวที ความว่า เราเสวยสุขอันเป็นทิพย์ หรือเสวยสุขและทุกข์อันเป็นของมนุษย์.
               บทว่า เอวมายุปริยนฺโต ความว่า เรามีอายุเท่านั้นๆ เป็นอย่างยิ่ง เป็นกำหนดอย่างนี้.
               บทว่า โส ตโต จุโต ความว่า เรานั้นจุติจากภพเป็นต้นนั้นๆ.
               บทว่า อิธูปปนฺโน ความว่า เราเกิดเป็นมนุษย์ในภพสุดท้ายนี้.
               บทว่า อิติ แปลว่า ด้วยประการฉะนี้.
               บทว่า สาการํ สอุทฺเทสํ ความว่า พร้อมทั้งอุทเทส ด้วยสามารถแห่งนามและโคตรเป็นต้น พร้อมทั้งอาการด้วยสามารถแห่งวรรณะเป็นต้น. อธิบายว่า สัตว์ทั้งหลายย่อมเรียกร้องกันว่าติสสะ ว่าโคตมะ โดยชื่อและโคตร ย่อมปรากฏโดยความแตกต่างกัน เป็นคนผิวคล้ำ เป็นคนผิวขาว โดยวรรณะเป็นต้น เพราะฉะนั้น นามและโคตรจึงเป็นอุเทศ นอกนี้เป็นอาการ.
               บทว่า อยมสฺส ปฐมา วิชฺชา อธิคตา ความว่า วิชชานี้ชื่อว่าที่หนึ่ง โดยเป็นวิชชาที่ภิกษุนี้ได้บรรลุเป็นครั้งแรก คือวิชชา ย่อมชื่อว่าเป็นอันภิกษุบรรลุแล้ว กระทำให้แจ้งแล้ว ด้วยอรรถว่า กระทำให้ปรากฏ.
               ถามว่า ก็ภิกษุนี้กระทำอะไรให้แจ่มแจ้ง?
               ตอบว่า กระทำบุพเพนิวาสญาณให้แจ่มแจ้ง. โมหะอันปกปิดเสียซึ่งวิชชานั้น ท่านเรียกว่าอวิชชา เพราะอรรถว่ากระทำบุพเพนิวาสญาณนั้นแหละ ไม่ให้ปรากฏ.
               บทว่า ตโม ความว่า โมหะนั่นแหละท่านเรียกว่าตโม (ความมืด) เพราะอรรถว่าปกปิดไว้.
               บทว่า อาโลโก ความว่า วิชชานั่นแหละ ชื่อว่าอาโลกะ เพราะอรรถว่ากระทำเพื่อแสงสว่าง.
               ก็ในบทว่า อาโลโกนี้ ได้ความดังนี้ว่า วิชชาอันภิกษุนั้นบรรลุแล้ว.
               บทที่เหลือเป็นการกล่าวสรรเสริญ.
               ก็ในอธิการนี้ บัณฑิตพึงประกอบความว่า วิชชานี้แล อันภิกษุนั้นบรรลุแล้ว คือความไม่รู้ซึ่งวิชชาที่ภิกษุนั้นบรรลุแล้วอันเธอกำจัดแล้ว คือทำให้พินาศแล้ว.
               ถามว่า เพราะเหตุไร?
               ตอบว่า เพราะวิชชา บังเกิดแล้ว แม้ในบททั้งสองที่เหลือก็มีนัยนี้แหละ.
               บทว่า ยถา ในบทว่า ยถาตํ นี้ใช้ในอรรถว่า อุปมา.
               บทว่า ตํ เป็นเพียงนิบาต. อธิบายว่า ชื่อว่าผู้ไม่ประมาท เพราะไม่อยู่ปราศจากสติ. ชื่อว่ามีความเพียร เพราะมีความเพียรเครื่องยังกิเลสให้เร่าร้อน. ชื่อว่าผู้มีตนอันส่งไปแล้ว คือมีจิตอันส่งไปแล้ว เพราะไม่อาลัยในร่างกายและชีวิต.
               ท่านกล่าวคำอธิบายไว้ดังนี้.
               เมื่อภิกษุผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนอันส่งไปแล้วอยู่ อวิชชาพึงถูกกำจัด วิชชาพึงบังเกิดขึ้น ความมืดพึงถูกกำจัด แสงสว่างพึงเกิดขึ้นฉันใด
               อวิชชาอันภิกษุนั้นกำจัดแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว ความมืดอันภิกษุนั้นกำจัดแล้ว แสงสว่างเกิดขึ้นแล้ว ฉันนั้นเหมือนกัน เธอได้ผลอันสมควรแก่การตามประกอบความเพียรนั้นแล้วอยู่ดังนี้.
               ในบทว่า ทิพฺเพน จกฺขุนา นี้ คำใดที่ควรกล่าว คำนั้นข้าพเจ้ากล่าวไว้หมดแล้วในหนหลัง
               บทว่า วิสุทฺเธน ความว่า ทิพยจักษุชื่อว่าย่อมบริสุทธิ์ เพราะเป็นเหตุแห่งทิฏฐิวิสุทธิ โดยมองเห็นสัตว์ผู้จุติและอุปบัติ. อธิบายว่า ภิกษุใดเห็นเพียงสัตว์ที่จุติเท่านั้น ไม่เห็นสัตว์ที่อุปบัติ ภิกษุนั้นย่อมถือเอาซึ่งอุจเฉททิฏฐิ. ภิกษุใดเห็นเพียงสัตว์ที่อุปบัติเท่านั้น ไม่เห็นสัตว์ที่จุติ ภิกษุนั้นย่อมถือเอานวสัตตปาตุภาวทิฏฐิ (ทิฏฐิคือความปรากฏในสัตตาวาส ๙) ก็เพราะเหตุที่ภิกษุผู้เห็นทั้งสองอย่าง ย่อมก้าวล่วงทิฏฐิแม้ทั้งสองได้ ฉะนั้น ทัสสนะนั้นของภิกษุนั้นจึงเป็นเหตุแห่งทิฏฐิวิสุทธิ
               ก็ภิกษุผู้เป็นพุทธบุตรนี้ย่อมเห็นทั้งสองอย่าง (ทั้งสัตว์ที่กำลังจุติและสัตว์ที่กำลังอุปบัติ) ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ทิพยจักษุชื่อว่าวิสุทธิ เพราะความเป็นเหตุแห่งทิฏฐิวิสุทธิ โดยมองเห็นสัตว์ผู้จุติและอุปบัติ.
               อีกอย่างหนึ่ง ทิพยจักษุชื่อว่าวิสุทธิ เพราะเว้นจากอุปกิเลส ๑๑ อย่าง.
               เหมือนอย่างที่ท่านกล่าวไว้ว่า ทิพยจักษุชื่อว่าบริสุทธิ์แล้ว เพราะไม่เข้าไปเศร้าหมองด้วยอุปกิเลส ๑๑ อย่างที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้วอย่างนี้ว่า
               ดูก่อนอนุรุทธะ เพราะเรารู้ว่า วิจิกิจฉาเป็นอุปกิเลสของจิต ดังนี้แล้วจึงละวิจิกิจฉาอันเป็นอุปกิเลสแห่งจิตเสีย รู้ว่าอโยนิโสมนสิการ ถีนมิทธะ ความหวาดเสียว ความเย่อหยิ่ง ความชั่วร้าย ความเพียรที่ปรารภเกินไป ความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไป ตัณหาที่คอยกระซิบ ความสำคัญสภาวะว่าต่างกัน ลักษณะที่เพ่งเล็งรูปเกินไป เป็นอุปกิเลสของจิต ดังนี้แล้ว จึงละถีนมิทธะ ฯลฯ ลักษณะที่เพ่งเล็งรูปเกินไป อันเป็นอุปกิเลสของจิตเสีย๒- ดังนี้.
____________________________
๒- ม. อุ. เล่ม ๑๔/ข้อ ๔๖๕

               ชื่อว่าก้าวล่วงจักษุอันเป็นของมนุษย์ เพราะเห็นรูปได้ไกลเกินกว่า (ทัสสนวิสัย) อันเป็นอุปจารของมนุษย์. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าก้าวล่วงจักษุอันเป็นของมนุษย์ เพราะก้าวล่วงมังสจักษุอันเป็นของมนุษย์ ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงเสียซึ่งจักษุของมนุษย์นั้น.
               บทว่า สตฺเต ปสฺสติ ความว่า ย่อมเห็นคือมองดู ได้แก่เล็งเห็นหมู่สัตว์ทั้งหลาย เหมือนมนุษย์มองดูด้วยมังสจักษุ.
               ในบทว่า จวมาเน อุปปชฺชมาเน นี้ ท่านแสดงความว่า ในขณะที่จุติหรือในขณะที่อุปบัติ พระอริยบุคคลไม่สามารถเพื่อจะเห็นได้ แม้ด้วยจักษุอันเป็นทิพย์ แต่สัตว์เหล่าใดใกล้จะจุติ (หรือ) จักจุติในบัดนี้ สัตว์เหล่านั้น ท่านประสงค์เอาว่ากำลังจุติ และสัตว์เหล่าใดถือปฏิสนธิแล้ว หรือเกิดแล้วในบัดเดี๋ยวนี้ สัตว์เหล่านั้น ท่านประสงค์เอาว่ากำลังอุปบัติ. พระอริยบุคคลย่อมเห็นสัตว์เหล่านั้นผู้กำลังจุติ ผู้กำลังอุปบัติเห็นปานนี้.
               บทว่า หีเน ความว่า น่าดูหมิ่น น่าดูแคลน ด้วยสามารถแห่งชาติ ตระกูล และโภคะเป็นต้น เพราะประกอบไปด้วยผลของโมหะ. บทว่า ปณีเต ความว่า ตรงข้ามกับความเลวทรามนั้น เพราะประกอบไปด้วยผลของอโมหะ.
               บทว่า สุวณฺเณ ความว่า ประกอบแล้วด้วยวรรณะอันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เพราะประกอบด้วยผลของอโทสะ. บทว่า ทุพฺพณฺเณ ความว่า ประกอบไปด้วยวรรณะอันไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ เพราะประกอบไปด้วยผลของโทสะ. อธิบายว่า มีรูปงาม มีรูปชั่ว.
               บทว่า สุคเต ความว่า ไปสู่สุคติ (ได้ดี) หรือมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก เพราะประกอบไปด้วยวิบากคืออโลภะ. บทว่า ทุคฺคเต ความว่า ไปสู่ทุคติ (ตกยาก) หรือยากจน มีน้ำและข้าวไม่สมบูรณ์ เพราะประกอบไปด้วยผลคือโลภะ.
               บทว่า ยถากมฺมูปเค ความว่า ในหมู่สัตว์ผู้ไปตามกรรม ตามที่ตนสั่งสมไว้.
               บรรดาบทเหล่านั้น กิจของทิพยจักษุ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วด้วยบทมีอาทิว่า ปุริเมหิ จวมาเน ดังนี้.
               ก็ด้วยบทนี้เป็นอันพระองค์ตรัสถึงกิจของญาณที่ต้องเข้าไปกำหนดว่าสัตว์ทั้งหลายต้องเป็นไปตามกรรม และลำดับแห่งการบังเกิดขึ้นนี้ของญาณนั้นดังนี้. ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้เจริญอาโลกกสิณ มุ่งหน้าตรงไปยังนรกเบื้องล่าง ย่อมเห็นเหล่าสัตว์นรกกำลังเสวยทุกข์อย่างมหันต์ การเห็นนี้เป็นกิจของทิพยจักขุญาณอย่างเดียว. ก็ภิกษุนั้นมนสิการอยู่อย่างนี้ว่า สัตว์เหล่านี้กระทำกรรมอะไรหนอแล จึงเสวยทุกข์เช่นนี้. ลำดับนั้น ญาณมีกรรมนั้นเป็นอารมณ์ว่ากระทำกรรมชื่อนี้ จะเกิดแก่ภิกษุนั้น.
               ในเบื้องบนก็เหมือนกัน ภิกษุเจริญอาโลกกสิณมุ่งหน้าตรงไปยังเทวโลก ย่อมเห็นสัตว์ทั้งหลายในสวนนันทนวัน มิสสกวันและปารุสกวันเป็นต้น กำลังเสวยสมบัติอยู่. แม้การเห็นนี้ก็จัดเป็นกิจของทิพยจักขุญาณเหมือนกัน.
               ภิกษุนั้นมนสิการอยู่อย่างนี้ว่า สัตว์เหล่านี้กระทำกรรมอะไรหนอแล จึงเสวยสมบัตินี้.
               ลำดับนั้น เธอจะเกิดญาณที่มีกรรมนั้นเป็นอารมณ์ว่าทำกรรมชื่อนี้.
               นี้ชื่อว่ายถากมมูปคญาณ (ญาณที่จะต้องเข้าไปกำหนดว่าสัตว์ทั้งหลายต้องเป็นไปตามกรรม) และแม้ยถากัมมูปคญาณนี้ก็ไม่มีการแยกบริกรรม แม้อนาคตังสญาณก็ไม่มีการแยกบริกรรม เหมือนยถากัมมูปคญาณฉะนั้น.
               อธิบายว่า ญาณเหล่านี้มีทิพยจักษุเป็นบาททั้งนั้น ย่อมสำเร็จพร้อมกันกับทิพยจักษุ คำใดที่จะต้องกล่าวในบทมีอาทิว่า กายทุจฺจริเตน คำนั้นข้าพเจ้ากล่าวไว้หมดแล้วในหนหลัง.
               ในวาระนี้ วิชชาที่สัมปยุตด้วยทิพยจักขุญาณ ชื่อว่าวิชชา. อวิชชาที่ปกปิดจุติและปฏิสนธิของสัตว์ทั้งหลายไว้ ชื่อว่าอวิชชา. คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วทั้งหมด. ในตติยวาร วิชชาที่สัมปยุตด้วยอรหัตมรรคญาณ ชื่อว่าวิชชา. อวิชชาที่ปกปิดสัจจธรรมทั้ง ๔ ไว้ ชื่อว่าอวิชชา.
               คำที่เหลือเข้าใจได้ง่ายทั้งนั้น เพราะมีนัยดังกล่าวไว้แล้วในหนหลัง.
               บทว่า เอวํ โข เป็นต้น เป็นนิคมนพจน์.
               ในพระคาถาทั้งหลาย มีความย่อดังต่อไปนี้.
               ภิกษุใดได้รู้แล้วคือบรรลุซึ่งบุพเพนิวาสญาณตามที่กล่าวแล้ว ได้แก่รู้โดยกระทำให้ปรากฏ ตามนัยที่กล่าวแล้ว.
               ปาฐะเป็น โย เวทิ ก็มี อธิบายว่า ภิกษุใดกระทำบุพเพนิวาสญาณให้ปรากฏ ดำรงอยู่แล้ว ภิกษุย่อมเห็นสวรรค์ กล่าวคือเทวโลก ๒๖ ชั้นและอบาย ๔ อย่างด้วยทิพยจักษุ โดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแหละ.
               บทว่า อถ ความว่า ต่อแต่นั้น เธอถึงคือบรรลุพระอรหัต กล่าวคือความสิ้นไปแห่งชาติ หรือพระนิพพานนั่นเอง. ลำดับนั้น เธอรู้สัจจธรรมทั้ง ๔ อันพระอริยบุคคลพึงรู้ด้วยมรรคปัญญา ที่ตั้งมั่นเพราะอภิญญา ชื่อว่าอยู่จบพรหมจรรย์ คือประสบความสำเร็จแล้ว เพราะเสร็จกิจแล้ว ชื่อว่าเป็นมุนี คือเป็นพระขีณาสพ เพราะประกอบด้วยโมไนยธรรม ย่อมชื่อว่าเป็นพราหมณ์ผู้มีวิชชา ๓ เพราะประกอบด้วยวิชชา ๓ ตามที่กล่าวแล้วเหล่านี้ และเพราะลอยบาปได้แล้วโดยประการทั้งปวงด้วยวิชชาที่ ๓ ต่อแต่นั้น เพราะเหตุใด เพราะเหตุนั้น เราตถาคตจึงเรียกภิกษุนั้นแหละ ว่าเป็นพราหมณ์ผู้มีวิชชา ๓ แต่เราตถาคตไม่เรียกคนอื่น คือคนผู้มีการกล่าวตามที่เขาเรียกขาน ได้แก่บุคคลอื่นผู้ท่องบทแห่งมนต์ มียชุเพทเป็นต้น ว่าเป็นพราหมณ์ผู้มีวิชชา ๓.
               ด้วยประการดังพรรณนามานี้ พึงทราบว่าในวรรคนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสวัฏฏะไว้ในสูตรที่ ตรัสวิวัฏฏะไว้ในสูตรที่ ที่ และที่ ๑๐ ตรัสทั้งวัฏฏะและวิวัฏฏะไว้ในพระสูตรนอกนี้.

               จบอรรถกถาธรรมสูตรที่ ๑๐               
               จบวรรควรรณนาที่ ๕               
               จบอรรถกถาติกนิบาต อิติวุตตกะ               
               ในอรรถกถาขุททกนิกาย ชื่อว่าปรมัตถทีปนี               
               ------------------------------------------------               
               รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ
                         ๑. ปสาทสูตร
                         ๒. ชีวิตสูตร
                         ๓. สังฆาฏิสูตร
                         ๔. อัคคิสูตร
                         ๕. อุปปริกขยสูตร
                         ๖. อุปปัตติสูตร
                         ๗. กามสูตร
                         ๘. กัลยาณสูตร
                         ๙. ทานสูตร
                         ๑๐. ธรรมสูตร และอรรถกถา.

               ------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ ติกนิบาต ปัญจมวรรค ธรรมสูตร จบ.
อ่านอรรถกถา 25 / 1อ่านอรรถกถา 25 / 278อรรถกถา เล่มที่ 25 ข้อ 279อ่านอรรถกถา 25 / 280อ่านอรรถกถา 25 / 440
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=25&A=6471&Z=6526
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=27&A=7848
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=27&A=7848
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๓๑  มีนาคม  พ.ศ.  ๒๕๔๙
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :