บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
ถามว่า พระสูตรนี้มีการเกิดขึ้นเป็นอย่างไร? ตอบว่า พระสูตรนี้มีการเกิดขึ้น ดังต่อไปนี้ :- สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อประทับอยู่ที่เมืองสาวัตถี ทรงอยู่ในมหา ได้ยินว่า การประทับอยู่ที่พระเชตวันวิหารในเวลากลางคืนแล้ว เสด็จเข้าไปทรงพักในเวลากลางวัน ในปราสาทของมิคารมารดา และการเสด็จประทับในปราสาทของมิคารมารดาในเวลากลางคืน แล้วเสด็จเข้าไปทรงพักในเวลากลางวันในพระเชตวันวิหาร นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปฏิบัติมาเป็นประจำ. ถามว่า เพราะเหตุไร? ตอบว่า เพื่อทรงอนุเคราะห์สกุลทั้งสองนั้นประการหนึ่ง เพื่อประโยชน์จะ ก็ ณ ภายใต้ปราสาทแห่งมิคารมารดาได้มีเรือนยอดอยู่ ๕๐๐ ห้อง ซึ่งภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูปได้อาศัยอยู่ ณ ปราสาทของมิคารมารดานั้น เมื่อใดพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ภายใต้ปราสาท (ชั้นล่าง) ในกาลนั้นภิกษุทั้งหลายก็ไม่ขึ้นไปบนปราสาทชั้นบน ด้วยความเคารพต่อพระผู้มีพระภาคเจ้า. ก็ในวันนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปยังห้องเรือนยอดในปราสาทชั้นบน เพราะเหตุนั้น ภิกษุจำนวน ๕๐๐ รูปจึงเข้าไปยังห้องทั้ง ๕๐๐ ห้องในปราสาทชั้นล่าง. ก็ภิกษุเหล่านั้นทั้งหมดเทียว เป็นพระบวชใหม่ ได้มาสู่ธรรมวินัยนี้ยังไม่นาน มีจิตใจฟุ้งซ่านดุจไม้อ้อ มีอินทรีย์ยังไม่แก่กล้า ภิกษุเหล่านั้นเข้าไปยังห้องเหล่านั้นแล้ว ก็นอนหลับในเวลากลางวัน ลุกขึ้นในตอนเย็นประชุมกันที่ลานใหญ่ กล่าวสนทนากันว่า วันนี้ท่านได้อะไรในโรงภัต ท่านได้ไปที่ไหน. ภิกษุเหล่านั้นพากันกล่าวอามิสกถามีประการต่างๆ ทำเสียงดังลั่นว่า ดูก่อนอาวุโส กระผมได้ไปยังปราสาทของพระเจ้าโกศล กระผมได้ไปยังบ้านของอนาถปิณฑิกะ ในพระราชวังของ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสดับเสียงนั้น ทรงดำริว่า ภิกษุเหล่านี้ทั้งๆ ที่อยู่กับเรา ก็ยังมัวเมาประมาทอย่างนี้ น่าอนาถ ภิกษุเหล่านี้ได้กระทำสิ่งที่ไม่ควรกระทำ ดังนี้แล้ว จึงทรงดำริถึงการที่จะให้พระมหาโมคคัลลานเถระมา. ในขณะนั้นนั่นเอง ท่านพระมหาโมคคัลลานะผู้มีอายุทราบวาระจิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้มาด้วยฤทธิ์ ได้ถวายบังคม ณ เบื้องพระบาทนั้นเอง. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกพระมหาโมคคัลลานเถระนั้นว่า ดูก่อนโมคคัลลานะ เพื่อนสพรหมจารีของเธอเหล่านี้เป็นผู้มัวเมาประมาท ดีละ เธอจงทำภิกษุเหล่านั้นให้สลดใจ. พระมหาโมคคัลลานเถระผู้มีอายุนั้นรับสนองพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ได้ พระพุทธเจ้าข้า แล้วจึงเข้าอาโปกสิณในทันใดนั้นเอง ใช้หัวแม่เท้าทำพื้นมหาปราสาทซึ่งตั้งอยู่ในชั้นกามภูมิให้หวั่นไหว พร้อมกับส่วนแห่งแผ่นดินซึ่งปราสาทตั้งอยู่ ประดุจพายุใหญ่ทำนาวาให้หวั่นไหวฉะนั้น. ลำดับนั้น ภิกษุเหล่านั้นกลัวแล้วร้องเสียงลั่น ต่างทิ้งจีวรของตนๆ พากันออกไปจากประตูทั้งสี่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงพระองค์แก่ภิกษุเหล่านั้น เป็นราวกะว่าเสด็จเข้าไป สู่พระคันธกุฎีทางประตูอื่น ภิกษุเหล่านั้นเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ก็ได้ยืนถวายบังคม. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า พวกเธอกลัวอะไร ภิกษุทั้งหลาย. ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ปราสาทของมิคารมารดานี้ ใครทำให้หวั่นไหว. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอทราบไหมว่าใครทำให้หวั่นไหว. ภิกษุทั้งหลายทูลว่า ข้าพระองค์ทั้งหลายไม่ทราบ พระเจ้าข้า. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ปราสาทหลังนี้โมคคัลลานะทำให้หวั่นไหวเพื่อจะทำบุคคลเช่นกับพวกเธอซึ่งมีสติหลงลืม ไร้สัมปชัญญะ อยู่ด้วยความประมาท ให้สังเวช แล้วจึงได้ตรัสพระสูตรนี้ เพื่อทรงแสดงพระธรรมแก่ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุฏฺฐหถ ความว่า ท่านทั้งหลายจงลุกขึ้นจากอาสนะ คือว่าจงเพียรพยายาม คือว่าอย่าเกียจคร้าน. บทว่า นิสีทถ ความว่า ท่านทั้งหลายจงนั่งคู้บัลลังก์เพื่อตามประกอบ บาทพระคาถาว่า โก อตฺโถ สุปิเตน โว ความว่า ท่านทั้งหลายซึ่งบวชแล้วเพื่ออนุปาทาปรินิพพาน จะได้ประโยชน์อะไรด้วยการหลับ คือว่าไม่มีใครสามารถจะบรรลุถึงประโยชน์ได้ด้วยการหลับ. บาทพระคาถาว่า อาตุรานํ หิ กา นิทฺทา สลฺลวิธาน รุปฺปตํ ความว่า ก็ชื่อว่าในที่ใด ความหลับย่อมไม่มีแก่มนุษย์ทั้งหลาย ผู้ทุรนทุรายด้วยโรคมีโรคตาเป็นต้นซึ่งตั้งขึ้นแล้วที่ส่วนแห่งร่างกายแม้เล็กน้อย ผู้ถูกลูกศรชนิดใดชนิดหนึ่ง ในบรรดาลูกศรเหล็ก ลูกศรกระดูก ลูกศรงา (ฟัน) ลูกศรเขา และลูกศรไม้ซึ่งเข้าไปสู่ร่างกาย แม้สักว่านิ้วเดียว หรือสองนิ้วก็ในที่นั้น ท่านทั้งหลายซึ่งมีจิตและร่างกายอยู่ทั้งสิ้นผู้บริโภคแล้ว กระวนกระวายอยู่ ด้วยโรคคือกิเลสนานัปการ ซึ่งบังเกิดขึ้นแล้ว และผู้ชื่อว่าถูกลูกศรแทงแล้ว เพราะถูกลูกศร ๕ ชนิด มีลูกศรคือราคะเป็นต้น เสียบแทงเข้าไปในหทัยแล้ว ย่อยยับอยู่ จะมีการหลับได้อย่างไร. พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นตรัสดังนี้แล้ว เพื่อจะทำภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นให้อุตสาหะ และให้สังเวชยิ่งๆ ขึ้นอีก จึงได้ตรัสว่า อุฏฺฐหถ ฯเปฯ วสานุเค ดังนี้. ในพระคาถานั้น มีการพรรณนาเนื้อความพร้อมทั้งอธิบายและโยชนาดังต่อไปนี้ :- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อเธอทั้งหลายถูกลูกศรคือกิเลสเสียบแทงแล้ว อย่างนี้ จะมีเวลามัวเมาประมาทอยู่เพราะเหตุไร ภิกษุทั้งหลาย พระศาสดา (ทรงประกาศพรหมจรรย์) ที่ยอดเยี่ยมที่สุดนี้มาอยู่เฉพาะหน้า (ของท่านทั้งหลาย) ด้วยว่าในกาลก่อนแต่กาลนี้ เธอทั้งหลายหลับแล้ว อยู่ที่ภูเขาทั้งหลาย และแม่น้ำเป็นเวลานาน หลับแล้วที่ยอดไม้อันไม่เสมอกัน ก็เพราะเหตุที่ไม่ เห็นอริยสัจทั้งหลาย เพื่อทำที่สุดแห่งความหลับนั้น เธอทั้งหลายจงลุกขึ้นเถิด จงนั่ง และศึกษาเพื่อสันติให้มั่นคง เนื้อความในบาทแห่งพระคาถานั้นมีนัยอันข้าพเจ้ากล่าวแล้วนั้นแล. ส่วนคำว่า สนฺติ ในบาทที่สอง หมายถึงสันติ ๓ อย่างคือ อัจจันตสันติ (สันติอย่างสูงสุด) ๑ ตทังคสันติ (สันติด้วยองค์นั้น) ๑ สมมติสันติ ๑ (สันติตามสมมติ) คำว่า สันติ นี้เป็นชื่อแห่งพระนิพพาน วิปัสสนา และทิฏฐิคตะ แต่ในที่นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายถึงอัจจันตสันติ คือพระนิพพาน พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ว่า เพื่อประโยชน์แก่พระนิพพาน ขอท่านทั้งหลายจงหมั่นศึกษา คือว่าขอให้ท่านทั้งหลายเป็นผู้มีความบากบั่นไม่ท้อถอย ศึกษาเถิด. ถามว่า เพราะเหตุไร? ตอบว่า พระยามัจจุราชทราบว่าท่านทั้งหลายประมาทแล้ว ก็อย่าได้ทำท่านทั้งหลายผู้ตกอยู่ในอำนาจให้ลุ่มหลงเลย คือว่ามารอันได้นามว่าพระยามัจจุราชทราบอย่างนี้ว่า ภิกษุเหล่านี้เป็นผู้ประมาทแล้ว ก็อย่าได้ทำท่านทั้งหลายผู้ตกอยู่ในอำนาจให้ลุ่มหลงเลย. มีคำอธิบายว่า ท่านทั้งหลายย่อมไปสู่อำนาจของพระยามัจจุราชนั้นได้โดยประการใด พระยามัจจุราชนั้นกระทำท่านทั้งหลายผู้อยู่ในอำนาจโดยประการนั้น ก็อย่าให้ท่านทั้งหลายได้ลุ่มหลงเลย. เพราะเมื่อบุคคลไปอยู่สู่อำนาจของพระยามารนั้น เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายผู้มีความต้องการ อาศัยรูปเป็นต้นดำรงอยู่ได้ด้วยตัณหาใด ท่านทั้งหลายจงข้ามซึ่งตัณหานั้นอันซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ ขณะอย่าได้ล่วงเธอทั้งหลายไปเสีย เพราะว่าผู้ล่วงขณะเสียแล้วเป็นผู้ยัดเยียดกันในนรกย่อมเศร้าโศก คือว่า เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายผู้มี พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นอุตสาหะและสลดใจอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงติเตียนการที่ภิกษุเหล่านั้นอยู่ด้วยความประมาทนั้น แล้วให้ภิกษุเหล่านั้นทุกรูปเทียวดำรงอยู่ในความไม่ประมาท จึงตรัสพระคาถานี้ว่า ปมาโท รโช ดังนี้เป็นต้น. โดยสังเขป ความอยู่ปราศจากสติ ชื่อว่าความประมาทในคาถานั้น ความประมาทนั้น ชื่อว่าเป็นธุลี เพราะอรรถว่าเป็นมลทินของจิต ธุลีนั้นติดตามซึ่งความประมาทนั้น ความผิดซึ่งติดตามความประมาทเกิดขึ้นเพราะความประมาทติดตามมาก็คือความประมาทนั้นเอง ความประมาทแม้นั้นชื่อว่าเป็นธุลี ด้วยว่าแต่ไหนแต่ไรมา ชื่อว่าความประมาทที่ไม่เป็นธุลีไม่มีเลย. ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอรรถอะไรไว้ ด้วยบทว่า ปมาโท นั้น. ตอบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอรรถไว้ว่า ท่านทั้งหลายอย่าได้ถึงความวางใจว่า ขณะนี้พวกเรายังหนุ่มสาวอยู่ก่อน พวกเราจักรู้ได้ในภายหลัง เพราะว่าความประมาทแม้ในเวลาเป็นหนุ่มสาวก็จัดว่าเป็นธุลี ความประมาทในวัยกลางคนก็มี ในวัยแก่ก็มี จัดว่าเป็นธุลีใหญ่ เพราะติดตามความประมาท จึงจัดว่าเป็นกองหยากเยื่อทีเดียว เหมือนกับธุลีที่มีอยู่วันหนึ่งหรือ ๒ วันในเรือน ก็จัดว่าเป็นธุลีอยู่นั้นเอง แต่ธุลีนั้นเมื่อเพิ่มขึ้นเก็บไว้ถึง ๑ ปีก็จัดเป็นกองหยากเยื่อทีเดียว แต่แม้เมื่อเป็นเช่นนี้ เมื่อภิกษุเรียนพุทธพจน์ในปฐมวัย แล้วเจริญสมณธรรมในมัชฌิมวัยและปัจฉิมวัยอยู่ หรือว่าภิกษุเรียนพุทธพจน์ในปฐมวัยแล้วสดับตรับฟัง (เพิ่ม พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงติเตียนการที่ภิกษุเหล่านั้นอยู่ด้วยความประมาทอย่างนี้ เมื่อจะทรงชักชวนในความไม่ประมาทจึงตรัสว่า อปฺปมาเทน วิชฺชาย อพฺพุฬฺเห สลฺลมตฺตโน ดังนี้. เนื้อความแห่งสองบาทพระคาถานั้น พระผู้มีพระภาคทรงยังพระเทศนาให้จบลงด้วยยอดคือพระอรหัตว่า ความประมาทแม้ในกาลทั้งปวงนี้ ชื่อว่าเป็นธุลีอย่างนี้. กุล ในที่สุดแห่งพระธรรมเทศนา ภิกษุเหล่านั้นแม้ ๕๐๐ รูปถึงความสังเวช กระทำ จบการพรรณนาเนื้อความแห่งอุฏฐานสูตร แห่งอรรถกถาขุททกนิกาย ชื่อ ปรมัตถโชติกา -------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย สุตตนิบาต จูฬวรรค อุฏฐานสูตร จบ. |